ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 596 เขากว่างเฉิงติดอาวุธอย่างครบครัน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่เก็บของอย่างง่ายๆ จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวจัดการเรื่องฝังศพผู้อาวุโสของตน หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทาง

เยี่ยนจ้าวเกอรั้งอยู่ที่เขากว่างเฉิง ทางหนึ่งจัดการธุระในมือ ทางหนึ่งเฝ้าดูสถานการณ์ในโลกแปดพิภพ

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ล่มสลายแล้ว

สำนักหนึ่ง หากผู้นำหรือยอดฝีมือเสียชีวิต ขอแค่ยังไม่ตาย ยังมีวันที่ฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง

สำนักถูกทำลาย ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นวันสิ้นโลก ระบบสำนักถูกตัดขาด

ทว่าในสถานการณ์ที่ผู้คนรุมผลักกำแพงคลอนแคลน[1] ยอดฝีมือแทบจะสูญสิ้น อีกทั้งยังสูญเสียการปกป้องจากชัยภูมิของสำนัก สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์คิดดิ้นรนจึงเป็นเรื่องลำบาก

เหล่าคนที่จงรักภักดีได้แต่หลบซ่อนเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ต้องให้เขากว่างเฉิงลงมา เขาไร้พรมแดนกับเมืองทะเลมรกตก็สามารถไล่ล่าให้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยได้แล้ว

อย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มมีคนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ถูกกดดันในการดำรงชีวิต ทรยศสำนักของตัวเอง ขอยอมแพ้และสวามิภักดิ์กับขุมกำลังอื่น เปลี่ยนสำนักของตัวเอง

ถึงอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอกับเขากว่างเฉิงก็ทำลายระบบสำนักของพวกเขา หากให้พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อเขากว่างเฉิง ปกติแล้วไม่มีใครมีหนังหน้าหนาขนาดนี้

คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ส่วนใหญ่เข้ากับหอคลื่นโหม เขาไร้พรมแดน และเมืองทะเลมรกต

เขากว่างเฉิงไม่สนใจเรื่องนี้ คนพวกนี้เปลี่ยนสำนัก ทรยศบรรพบุรุษ คนที่ไม่มีวันอภัยให้พวกเขาก็คือผู้ภักดีต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์

และต่อให้พวกเขายังมีความแค้นก็ยังไม่อาจผ่านด่านหอคลื่นโหมได้ ด้วยพลังการควบคุมของแดนศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นไปได้ในการฟื้นขึ้นมาจากความตายแทบจะเป็นศูนย์

นอกเสียจากจะมียอดฝีมือจำนวนมากมาจากสำนักแสงสว่าง ทำลายเขากว่างเฉิงและกดดันทุกสำนัก

ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ สำนักแสงสว่างมีความเป็นไปได้ว่าจะเลือกตัวแทนใหม่จากในสำนักหอคลื่นโหมสามสำนัก ใช่ว่าจะสนับสนุนให้สร้างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่

และในช่วงเวลาต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอก็วางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความเป็นไปได้นี้เป็นจริง

ในขณะเดียวกันเขากว่างเฉิงก็ระดมพลเช่นกัน

คิดจะเพิ่มพลังในการควบคุมโลกแปดพิภพของสำนัก ย่อยชัยชนะที่ได้มาหลังจากทำลายสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ พวกเขาทราบดีว่าอิทธิพลในอัคคีพิภพและอัสนีพิภพของศัตรูไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ด้วยวาจาไม่กี่คำ จำเป็นต้องมีการทำงานที่เป็นรูปธรรมจำนวนมาก และเวลาที่ยาวนาน

ณ เขากว่างเฉิง วังฝูงมังกรกดทับอยู่บนยอดเขาร่องนทีด้านหลังสำนัก เยี่ยนจ้าวเกอพักอยู่ที่นี่

เมื่อมีเยี่ยนจ้าวเกอกับวังฝูงมังกร หุบเขาผนึกเวหาใต้ยอดเขาร่องนทีย่อมไม่ต้องกังวล ด้วยเหตุนี้ ผู้อาวุโสกงที่เป็นผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งหุบเขาผนึกเวหาจึงมีอิสระมากขึ้น มุ่งหน้าไปที่อัคคีพิภพ

ปัจจุบันอานุภาพของเขากว่างเฉิงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่เหลือยอดฝีมือระดับสูงที่ด้านหนึ่งรับผิดชอบหน้าที่ ด้านหนึ่งคุ้มครองดินแดน และจัดการปัญหาตามจริงได้เพียงน้อยนิด

ในตอนที่ขุมกำลังและอิทธิพลของสำนักเพิ่มขึ้นนมาก ผู้อาวุโสที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างผู้อาวุโสกงมีประโยชน์มาก

การต่อสู้ติดต่อกันก่อนหน้าทำให้สมาชิกเขากว่างเฉิงได้รับความเสียหาย เหมือนสุภาษิตจับแขนเสื้อก็เห็นศอก เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

แต่เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้กังวล

ในวังฝูงมังกร เขากับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกนั่งอยู่ตรงกันข้ามกัน มองเตาผลึกหินชั้นในตรงหน้าสั่นสะเทือน และเปิดออกอย่างรุนแรง

แสงวิญญาณละลานตาหลายสายพุ่งออกมาจากด้านใน กระจายเต็มวังฝูงมังกร

ประตูวังไม่ได้ปิด ปราณวิญญาณเรืองรองไหลออกมาจากด้านใน ส่องหุบเขาผนึกเวหาด้านล่างที่ถูกป่าปกคลุมไม่เห็นตะวันตลอดทั้งปีให้ส่องสว่าง

ขณะที่หลังสำนักมีแสงเจิดจ้าซัดสาด ปราณวิญญาณไหลล้นทั่วบริเวณ พวกผู้อาวุโสเขากว่างเฉิงที่อยู่บนเขาต่างยินดีเกินบรรยาย “สำเร็จแล้ว จ้าวเกอทำสำเร็จแล้ว!”

เฟิงอวิ๋นเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเยี่ยนจ้าวเกอมองแสงเรืองรองที่พุ่งออกมาจากในเตาผลึกหินชั้นใน ใบหน้าเต็มไปด้วยแววชมเชย “ไม่เคยเห็นการสร้างอาวุธวิญญาณที่ง่ายและเร็วขนาดนี้มาก่อน”

ด้านในตัววังยังยืนไว้ด้วยซือคงจิงและอิงหลงถู คนทั้งสองมองเตาผลึกหินชั้นในด้วยความประหลาดใจ

ทุกคนต่างรู้ว่าภาพตรงหน้านี้หมายถึงอะไร

เขากว่างเฉิงสามารถสร้างอาวุธวิญญาณชั้นสูงได้เป็นจำนวนมาก!

สำหรับโลกแปดพิภพ นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวถึงขีดสุด

ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์หายาก อาวุธวิญญาณจึงเป็นอาวุธที่เยี่ยมยอดที่สุด กอปรกับกระบวนการหลอมสร้างลำบากยิ่ง ในสำนักระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมและมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณมีคนละหนึ่งชิ้นเท่านั้น ไม่มีเหลือแบ่งให้คนอื่น

แต่ตอนนี้ เขากว่างเฉิงกลับเตรียมติดอาวุธให้แก่มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณของสำนักตนอย่างเพรียบพร้อม

ในสถานการณ์ที่สูญเสียมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมมากเกินไป เหลือสมาชิกเพียงน้อยนิด การมอบอาวุธวิญญาณชั้นสูงให้แก่มหาปรมาจารย์นั้นรูปญาณนับเป็นการเพิ่มพลังชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เขากว่างเฉิงผ่านช่วงเวลาที่ยอดฝีมือระดับสูงบาดเจ็บล้มตาย และต้องการการเติบโตของคนรุ่นหลังมาได้อย่างมั่นคง

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “สำเร็จแล้วจริงๆ”

เขายิ้่มพลางมองซือคงจิง “สัญญาที่เคยให้พวกเจ้าในตอนนั้น วันนี้นับว่าเป็นจริงแล้ว”

ซือคงจิงได้ยินดังนั้น นางรู้สึกงงงันเล็กน้อย คิดถึงเหตุการณ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงเตาผลึกหินชั้นในต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นคือก่อนหน้าสงครามอาณาจักรถังตะวันออก เฟิงอวิ๋นเซิงกับอิงหลงถูที่อยู่ด้านข้างยังไม่ได้เข้าสำนัก

เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต ซือคงจิงที่มีนิสัยใจเย็นยังสะท้อนใจเล็กน้อย ‘แค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว’

นางมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ ในดวงตาปรากฏความเลื่อมใสจริงใจ “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเตาผลึกหินชั้นใน พลังฝึกปรือในหลายปีมานี้ของศิษย์พี่เยี่ยนพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้ข้าทึ่งจนตาค้าง นับถือทั้งจิตใจ”

เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้าทางพยักหน้า “เป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้าย ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองคนก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน อวิ๋นเซิงยังห่างจากวันเกิดอายุยี่สิบสองอีกหลายวันก็มีพลังฝึกปรือเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายแล้ว เมิ่งหวานตอนนี้ก็อยู่ในระดับนี้เช่นกัน พวกเจ้าอายุห่างกันแค่สองปีเท่านั้น”

“ศิษย์น้องซือคงน่าจะอายุยี่สิบเอ็ดปีกระมัง? เจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางแล้ว”

เขาตบบ่าอิงหลงถูที่อยู่ด้านข้าง “ภารกิจทำลายสถิติมหาปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของบิดาข้า มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่บนไหล่ของหลงเอ๋อร์ แต่ว่าอายุที่จะสำเร็จเป็นมหาปรมาจารย์ของพวกเจ้าสองคนสมควรไม่มากกว่าข้า ขอแค่อย่าเจอคอขวด หากเจอต้องใช้เวลาหลายปี”

ซือคงจิงเอ่ย “แต่ว่าศิษย์พี่เยี่ยนหลังจากเลื่อนเป็นระดับมหาปรมาจารย์แล้ว ความเร็วในการพัฒนาก็เร็วเกินไป แม้แต่อาจารย์อาเจ้าสำนักยังไม่เร็วเท่าท่าน น่าเหลือเชื่อจริงๆ ท่านกระโดดไปเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นเก้า ขั้นรูปญาณระยะท้ายในเวลาไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำ”

“ศิษย์พี่เยี่ยนตอนนี้ท่านสมควรอายุยังไม่ถึงยี่สิบหกปีกระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางส่ายหน้า “อีกเดี๋ยวก็ยี่สิบเจ็ดแล้ว สองเดือนกว่าๆ ของโลกแปดพิภพ ในโลกผืนสมุทรกลับเป็นหนึ่งปี นอกจากนี้เวลาของบางมิติในสุสานมังกรยังไหลเร็วและกระจัดกระจาย ความจริงอยู่ด้านในนานยิ่ง”

เฟิงอวิ๋นเซิงกับซือคงจิงสบตากัน ต่างส่ายนั้น “นั่นก็เป็นความเร็วที่ทำให้ทุกคนไม่อยากเชื่ออยู่ดี จริงๆ แล้วศิษย์สายตรงของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้น ในสถานการณ์ปกติ คนที่อายุเท่าท่านยังมีพลังฝึกปรือเท่าพวกข้าในตอนนี้”

“นอกจากท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักแล้ว ก่อนหน้านี้ในโลกแปดพิภพไม่มีมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณระยะท้ายที่มีอายุต่ำกว่าสี่สิบกว่าปีมาก่อน ส่วนท่าน อายุยังต่ำกว่าสามสิบปี”

“ทำตัวน่าขายหน้าเสียแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ขณะมองท่าทางได้ใจของเขา เฟิงอวิ๋นเซิงทั้งขุ่นเขืองทั้งขบขัน ส่วนซือคงจิงส่ายหน้าติดต่อกัน อิงหลงถูมีใบหน้านับถือ

หลังจากหยอกล้อกันแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็มองไปยังด้านนอกวังฝูงมังกร สายตามองไปที่ทิศตะวันออก “พูดถึงท่านพ่อ อีกสักพัก รอเวลาสุงอมดี ข้าจะมุ่งหน้าไปทะเลตะวันออก บางทีอาจจะเร่งให้ผนึกมั่นคงก่อนได้ เพื่อให้ท่านพ่อออกมาก่อนกำหนด”

……………………………………….

[1] รุมผลักกำแพงคลอนแคลน หมายถึง ซ้ำเติม