บทที่ 828 แทรกซึมเข้าเผ่าเทียนเฟิ่น

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 828 แทรกซึมเข้าเผ่าเทียนเฟิ่น
ในที่ราบภูเขาอันแคบเล็กแห่งหนึ่งของเผ่าเทียนเฟิ่น

สตรีวัยกลางคนหน้าตาอัปลักษณ์ เต็มไปด้วยกระหลังค่อมคนหนึ่งกำลังเดินขาลากลากรถเข็นที่บรรจุผักสดอยู่เต็มคันคันหนึ่ง

ด้านหลังรถเข็นยังมีสตรีหน้าตาธรรมดาปากเบี้ยวตาเขอีกคนกำลังช่วยเข็นอยู่

บางครั้งเวลาที่คนของเผ่าเทียนเฟิ่นผ่านมาเห็นพวกนาง ก็จะเหลือบมองอย่างรังเกียจแวบหนึ่งแล้วจึงเดินต่อ คร้านแม้แต่จะชื่นชมพวกนาง และคร้านจะสนใจว่าสตรีวัยกลางคนผู้บอบบางสองคนนั้นจะลากรถผักคันใหญ่นั่นได้หรือไม่

เดินอย่างต่อเนื่อง

แม้การเคลื่อนไหวของสตรีวัยกลางคนจะเชื่องช้า อ่อนแอ แต่แววตากลับแวบประกายแหลมคมเป็นบางครั้ง พาลให้ไม่อยากเชื่อว่านั่นเป็นแค่สตรีชาวบ้านธรรมดาสองคน

สตรีที่ปากเบี้ยวตาเขคือเสี่ยวลู่ที่แปลงโฉมมา นางเอ่ยเสียงเบา “นายหญิง พวกเราเข้าถึงใจกลางเผ่าเทียนเฟิ่นได้แล้วเจ้าค่ะ”

“อืม ทำตามแผน”

แววตากู้ชูหน่วนกลายเป็นอำมหิต

หากไม่สามารถโค่นล้มเผ่าเทียนเฟิ่นก่อนตายได้ ต่อให้ตาย นางก็ตายตาไม่หลับ

ศึกนี้ นางต้องชนะเท่านั้น จะแพ้ไม่ได้ แล้วยังต้องกำจัดเผ่าเทียนเฟิ่นในอย่างรวบรัดที่สุดด้วย

จุดหมายปลายทางในการส่งผักของพวกเขาก็คือใจกลางเผ่าเทียนเฟิ่น

แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ คนของเผ่าเทียนเฟิ่นก็ยิ่งมาก

กู้ชูหน่วนและเสี่ยวลู่ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน

“ได้ยินมาหรือยัง? หัวหน้าเผ่าน้อยกลับมาแล้วนะ”

“จริงหรือ หัวหน้าเผ่าน้อยกลับมาเป็นข่าวดีนี่ ข้าว่าอยู่แล้วเชียว พวกเราเผ่าเทียนเฟิ่นเคลื่อนพลหลายพันคน ยังมีสี่สุดยอดผู้อาวุโสกับฮัวอิ่งที่อยู่ระดับหกขั้นสูงอีก ถึงเผ่าหยกจะลึกลับซับซ้อนอย่างไรก็ต้องพาหัวหน้าเผ่าน้อยกลับมาได้แน่”

“ข่าวดีอะไร เฮอะ ข่าวร้ายต่างหาก หัวหน้าเผ่าน้อยกลับมาแล้วก็จริง แต่เขาถูกทำลายวรยุทธ์ ถูกเลาะกระดูกสะบัก แถมคนพวกนั้นที่ไปช่วยเขาก็ตายอยู่ที่เผ่าหยกหมดด้วย”

ทันใดนั้นทุกคนก็ตะลึงงัน “อะไรนะ จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเราเผ่าเทียนเฟิ่นส่งยอดฝีมือระดับหกขั้นสูงไปตั้งห้าคน แล้วยังมีคนฝีมือดีอีกตั้งหลายพัน จะสู้คนเผ่าหยกที่จะตายมิตายแหล่พวกนั้นไม่ได้ได้อย่างไร”

“ก็นั่นนะสิ อีกอย่างหัวหน้าเผ่าน้อยเป็นผู้มีบุญญาธิการขนาดไหน จะถูกทำลายวรยุทธ์ เลาะกระดูกสะบักได้อย่างไร”

“ข้าจะกล้าล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เจ้ารอดูเถิด อีกไม่เกินสองวันต้องแพร่ไปทั่วเผ่าเทียนเฟิ่นแน่ ตอนนี้คนที่อยู่วงในรู้กันหมดแล้ว คิดว่าอีกไม่นานต้องรู้กันทั่ว”

“เจ้าไม่ได้ล้อเล่นจริงหรือ?”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าจะเอาความกล้าที่ไหนมาล้อเล่น?”

“สวรรค์ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นพวกเราเผ่าเทียนเฟิ่นจะไม่เป็นสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่หรือ?”

“ก็นั่นนะสิ เห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสมีอคติต่อหัวหน้าเผ่าน้อยมาก รองหัวหน้าเผ่าซือคงร่วมมือกับสุดยอดผู้อาวุโสสองสามคนกับพวกผู้อาวุโส คิดจะปลดหัวหน้าเผ่าน้อย”

“แต่หัวหน้าเผ่าน้อยเป็นลูกชายคนเดียวของท่านหัวหน้าเผ่า ท่านหัวหน้าเผ่าจะยอมหรือ?”

“ถ้าผู้อาวุโสเกินครึ่งของเผ่าเห็นด้วย ถึงหัวหน้าเผ่าจะไม่ยินยอมก็ทำอะไรไม่ได้ หัวหน้าเผ่าน้อยก็น่าสงสารเสียจริง เป็นผู้มีพรสวรรค์แท้ๆ ฝีมือกลับถดถอยจากระดับหกลงมาเรื่อยๆ ตอนนี้แม้แต่วรยุทธ์ก็ถูกทำเลย ฝึกยุทธ์ไม่ได้อีกตลอดชีวิต เฮ้อ…นี่ทรมานเขายิ่งกว่าฆ่าเขากระมัง”

“เผ่าหยกช่างโหดเหี้ยมอำมหิตนัก สมแล้วที่ต้องคำสาปโลหิต ข้าว่านะ พวกเราบุกกันไปให้หมด กำจัดพวกมันให้สิ้นซากไปเลย ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาต้องทรมานกับคำสาปโลหิตมาตลอด จะยังมีฝีมืออะไรอีก”

“ถ้าพวกเขาไม่มีฝีมือจะฆ่ายอดฝีมือระดับหกขั้นสูงทั้งห้าคนของพวกเราในคราวเดียวได้อย่างไร? เผ่าหยกปลีกตัวจากโลกภายนอกนับพันปี ไม่แน่ว่าอาจมีระดับเจ็ดก็ได้”

“หัวหน้าเผ่าพวกเราก็ไม่ใช่ระดับเจ็ดหรือ กลัวพวกมันไปไย”