ตอนที่ 863 จักรพรรดิบัญชา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 863 จักรพรรดิบัญชา

“จากนั้นก็เตรียมลูกเรือมากลุ่มหนึ่งแล้ว เจ้าจงไปสำรวจเส้นทางเดินเรือตามแผนภูมินี้ให้กับเจิ้น”

หลิวจิ่นคุกเข่าดัง ตึก ! ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

“ทูลฝ่าบาท… กระหม่อมทำผิดอันใดขอฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“คิดอันใดของเจ้าอยู่กัน ? เจ้าทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ดี เจิ้นถึงมอบงานนี้ให้กับเจ้า” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยด้วยความจริงใจ “เจ้าคือคนที่เจิ้นสามารถเชื่อใจได้และเจ้าต้องเข้าใจว่านี่คือการออกทะเลคราแรกของเรือรบราชวงศ์อู๋ หมายความว่ามันสำคัญเป็นอย่างมาก ! ”

“เจิ้นขอบอกเจ้าว่าอีกฟากฝั่งของทะเลยังมีผืนปฐพีกว้างใหญ่อยู่ แต่เจิ้นมิทราบว่าผืนปฐพีตรงนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่หรือไม่ อุดมการณ์ของเจิ้นคือการใช้ทั้งชีวิตสร้างแคว้นที่ใหญ่โตจนไร้ที่เปรียบให้แก่ราชวงศ์อู๋…”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาหลิวจิ่น เขาย่อตัวลงแล้วตบบ่าของอีกฝ่าย “จงเข้าใจว่าหากเจ้าสามารถหาผืนปฐพีเหล่านั้นพบก็จะถือว่าเป็นคุณงามความดีในการบุกเบิกและขยายอาณาเขต ! ”

ทันทีที่หลิวจิ่นได้ฟังดังนั้น ความกลัวภายในใจก็ได้เหือดหายไป คุณงามความดีในการบุกเบิกและขยายอาณาเขตเยี่ยงนั้นหรือ ? ขันทีเล็ก ๆ เยี่ยงข้าก็สามารถสร้างคุณงามความดีอันใหญ่โตได้เช่นกันหรือ ?

ความคิดพลุ่งพล่านบังเกิดขึ้น จากนั้นก็ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “ผู้ใดเอ่ยกันว่าขันทีมิสามารถสร้างเรือนใหญ่โตได้ ? ผู้ใดเอ่ยว่าขันทีมิสามารถได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ได้ ? ก็เพราะคุณงามความดียังใหญ่มิมากพอทั้งนั้น”

“เจ้าลองใคร่ครวญดูเถิด เจ้าเอาแต่อยู่ภายในห้องทรงพระอักษรทั้งวัน เห็นเพียงมุมท้องนภาจากด้านในกำแพงสูงทั้งสี่มุมเท่านั้น จะมีอนาคตยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“เจ้าคือผู้ใกล้ชิดข้าและยังเป็นเยาวชนหนุ่มคนหนึ่ง การใช้ชีวิตอย่างกระตือรือร้นต่างหากจึงจะคู่ควรต่อความหวังที่เจิ้นมีต่อเจ้า ! ”

หลิวจิ่นซาบซึ้งเสียจนน้ำตาไหลพราก นี่คือคำที่ฝ่าบาทฝากเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจของตน !

นี่คือความไว้พระทัยที่ฝ่าบาทมีต่อคนพิการเยี่ยงตน !

ฝ่าบาทได้ประทานคุณงามความดีอันใหญ่หลวงนี้ก็เพื่อให้ข้าสามารถเป็นขันทีที่มีชื่อเสียงมากสุดในหน้าประวัติศาสตร์นานนับพันปี !

เรื่องยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้สามารถเป็นที่จดจำได้ตลอดกาล ได้เกิดมาเป็นขันทีของฝ่าบาทก็ควรทำตามความคาดหวังอันสูงส่งของพระองค์ให้สำเร็จ !

“กระหม่อม กระหม่อม…” หลิวจิ่นถลาเข้าไปกอดขาของฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยทั้งน้ำตา “กระหม่อมโง่เขลาเบาปัญญานัก จึงมิสามารถแสดงความซาบซึ้งที่มีต่อฝ่าบาทได้ กระหม่อมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด กระหม่อมจะทำให้ธงมังกรของราชวงศ์อู๋ปักอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”

บัดซบ !

น้ำมูกน้ำตาของคนผู้นี้เปื้อนขาของข้าหมดแล้ว !

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มขึ้น “ใช่ ! เจิ้นจะมอบเรือรบระดับอู่เว้ยให้เจ้า 1 ลำและจะเพิ่มเรือขนสินค้าให้ 3 ลำ จัดเตรียมคน อุปกรณ์และเสบียงไว้ให้ครบครัน จากนั้นก็ให้เดินทางไปตามแผนที่เดินเรือนี้”

“จงจำเอาไว้ว่าการเดินทางครานี้ จุดประสงค์ที่หนึ่งคือแก้ไขแผนที่เดินเรือ จุดประสงค์ที่สองคือจดบันทึกท่าเรือทั้งหมดตามแนวชายฝั่งที่สามารถเทียบท่าได้ ส่วนข้อสุดท้ายคือหากพบเจอผู้คนที่ผืนปฐพีกว้างใหญ่เหล่านั้น สู้ได้ก็สู้ สู้มิได้…ก็หนี จงจำเอาไว้ว่าต้องรอดชีวิตกลับมาให้จงได้ ! ”

“ยามหวนกลับมาเจิ้นจะสลักความดีงามของเจ้าเอาไว้ ! ”

ฝ่าบาทใส่พระทัยข้าเป็นอย่างมาก !

ข้าต้องรอดชีวิตกลับมา ! ข้าต้องนำเรื่องราวของแผ่นดินใหญ่กลับมาทูลถวายฝ่าบาทให้จงได้ !

หลิวจิ่นโขกศีรษะลงกับพื้นสามคราดัง ปึกปึกปึก ! “กระหม่อมจะมิทำให้ฝ่าบาททรงอับอาย แล้วกระหม่อมต้องเดินทางไปเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“อ่า… ต่อจากนี้เจ้าจงไปที่ท่าเรือหลินเจียง และเรือออกสู่ทะเลลำแรกนี้ เจิ้นขอมอบนามว่า ‘หลิวจิ่นห้าว’ หลังจากเตรียมคนและอุปกรณ์พร้อมแล้วก็ให้ออกเดินเรือทันที ! ”

หลิวจิ่นห้าว !

ฝ่าบาททรงใช้นามของข้าตั้งชื่อเรือลำนี้ !

ช่างเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ !

ในเวลานั้น อยู่ ๆ หลิวจิ่นก็รู้สึกซาบซึ้งที่บิดาส่งตนมาเป็นขันทีในวังอย่างถึงที่สุด คาดว่าพอกลับมาจากการเดินทางคงต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษสักหน่อยแล้ว เกรงว่าจะมีเขม่าดำลอยออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลหลิวก็ครานี้

หลิวจิ่นรับบัญชาของจักรพรรดิ แบกรับราชโองการ คำฝากฝัง รวมถึงคำอวยพรและความคาดหวังที่ฟู่เสี่ยวกวนมอบให้ จากนั้นเขาก็เดินอกผายไหล่ผึ่งออกไปจากวังหลวงทันที

ในยามนั้นเอง ความตั้งใจของเขาก็ได้ปะทุขึ้นมา ทุกย่างก้าวมั่นคงอย่างไร้ที่เปรียบ

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา รู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำค่อนข้างไร้ความปรานี

หลิวจิ่นผู้นั้น… เพิ่งจะอายุ 18 ปี !

เฮ้อ…หากจะโทษก็โทษนามของเจ้าเองเถิด เพราะนามนี้ทำให้ผู้คนค่อนข้างรำคาญใจ

การค้นหาเส้นทางเดินเรือถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แผนที่ทะเลนี้คือแผนที่ทะเลทางตะวันออกไปถึงแคว้นหลิว เดินหน้าต่อไปก็มิมีแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการคือแผนที่เดินเรือที่กว้างกว่านี้… กว้างถึงมหาสมุทรแปซิฟิก !

หากคนผู้นี้สามารถรอดชีวิตจากช่องแคบเบริงกลับมาได้… ก็ให้เขาไปสำรวจมหาสมุทรแอตแลนติกต่อได้เลย !

……

……

เมื่อเวลาผ่านไป เมืองกวนหยุนก็ได้ต้อนรับหิมะแรกของรัชศกเทียนเต๋อปีที่หนึ่ง

เหตุจากผู้เข้าร่วมการสอบชิวเหวยครานี้มีมากจนเกินไป ต่อให้ขุนนางทั้งหมดในสำนักศึกษาฮ่านหลินทำงานล่วงเวลาเพื่อตรวจข้อสอบ ทว่าจนถึงวันนี้ก็ยังมิเสร็จสิ้น

ด้วยเหตุนี้จึงมีบัณฑิตจำนวนมากติดค้างอยู่ในเมืองกวนหยุน ภายในนั้นก็มีบางส่วนหมดหวังกับเคอจี่แล้วหันไปสมัครเข้าสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติหรือไม่ก็เข้าร่วมเกณฑ์ทหารฤดูหนาวที่ฝ่าบาทจัดขึ้น

มีบัณฑิตจำนวนน้อยนิดถูกคัดเลือกจากสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ด้วยเหตุนี้จึงมีนักวิจัยเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง

มีบัณฑิตจำนวนมากเข้าร่วมกับกองทัพและถูกรวมเข้ากับทหารดาบเทวะกองทัพที่สามเนื่องด้วยสำนักศึกษาของราชวงศ์อู๋ก็เปิดสอนศิลปะการต่อสู้ด้วยเช่นกัน และสมรรถภาพทางร่างกายของบัณฑิตเหล่านั้นก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ส่วนมากเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสามทั้งสิ้น จนถึงขั้นมีจำนวนร้อยกว่าคนที่บรรลุขั้นสองไปแล้ว

ทหารดาบเทวะกองทัพที่สองของเฮ้อซานเตาได้สำเร็จการฝึกฝนแล้ว เขาถูกฟู่เสี่ยวกวนเรียกตัวมายังห้องทรงพระอักษร

“ยังเหลือเวลาอีกเดือนกว่าที่เฉินป๋อจะมาถึงเมืองกวนหยุน ดังนั้นช่วงเวลานี้ก็ให้เจ้าฝึกฝนทหารดาบเทวะกองทัพที่สามชั่วคราวไปก่อน หลังจากที่เฉินป๋อมาถึงก็มอบกองทัพที่สามให้แก่เขาเสีย ส่วนเจ้าก็กลับไปเป็นผู้บัญชาการทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งดังเดิม”

ดวงตาของเฮ้อซานเตาเบิกกว้าง “ฝ่าบาท กระหม่อมนึกว่าพระองค์จะเรียกกระหม่อมมาร่ำสุราเสียอีก ! ”

“จะรีบร้อนดื่มสุราเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ! ในอนาคตยังมีเวลาดื่มอีกมากมาย วันรุ่งขึ้นเจ้าต้องพาทหารใหม่จำนวน 100,000 นายมาพบข้า ! ”

ทันใดนั้นเฮ้อซานเตาก็เอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ฝ่าบาท…คู่หมั้นของกระหม่อมส่งจดหมายมาแล้ว”

“นางกล่าวว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“กล่าวว่า… กล่าวว่าจะมาเยือนเมืองกวนหยุน หากคำนวณตามเวลาก็เกรงว่าจะมาถึงต้นเดือนสิบสองพ่ะย่ะค่ะ”

“ถือเป็นความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อนางมาแล้วข้าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแต่งให้แก่พวกเจ้าเอง ! ”

เฮ้อซานเตายกยิ้มขึ้นทันใด จากนั้นก็ยื่นหน้าออกไปเอ่ยว่า “จักรพรรดิตรัสแล้วมิคืนคำ ! ”

“พวกเราต่างก็เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน ข้าจะหลอกเจ้าเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเล่า ! ”

“ฮึ ๆ …” เฮ้อซานเตาถูมือไปมา คำเอ่ยนี้แหละที่ข้าต้องการ !

ข้าโอ้อวดเสียใหญ่โตในจดหมายที่ส่งถึงคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่ง กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนคือพี่น้องร่วมสาบานของข้า ทว่าพอจดหมายถูกส่งออกไป ข้าก็มานึกเสียใจที่โอ้อวดไปเยี่ยงนั้น เพราะคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว !

แม้คุณชายเศรษฐีที่ดินเยี่ยงข้าจะได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพแล้ว ทว่าระยะห่างระหว่างจักรพรรดิก็ยังค่อนข้างห่างไกล

วันนี้ฝ่าบาททรงรับปากด้วยพระองค์เอง ในที่สุดข้าก็สามารถยืดอกต่อหน้าโจ่งหยูได้แล้ว

“ฝ่าบาท เงินในกระเป๋าของกระหม่อมมักใช้เลี้ยงพวกหัวหน้าในกองจึงเหลือมิเท่าใดแล้ว พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูเถิด… ภรรยาของข้ามาแล้ว ทั้งยังพาญาติจากตระกูลโจ่งมาด้วยจำนวนมาก แต่กระหม่อมยังมิมีแม้แต่จวนในเมืองกวนหยุน นี่มันมิใช่การทำให้พระองค์ต้องเสียหน้าหรือพ่ะย่ะค่ะ ! ”

บัดซบ !

ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนถลึงมองเขาในทันใด

เจ้าใช้เงินเบี้ยหวัดจำนวนมากไปกับการดื่มกิน เจ้าเพิ่งนึกได้ว่ายังมิมีจวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่มิใช่การทำให้ข้าอับอายเนิ่นนานแล้วหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนขบกรามแน่น เงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นก็เอ่ยว่า “เขตตงเฉิง ถนนตงต้า เรือนของเฉินซูหยวนอดีตชื่อหลางสำนักตรวจสอบพระราชโองการ ข้ายกให้เจ้าและถือเป็นของขวัญแต่งงานก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

“ไสหัวไป เสร็จสิ้นการฝึกกองทัพที่สามของข้าเมื่อใด… ค่อยไปเอากุญแจเรือนที่เสนาบดีกรมคลัง ! ”