ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 41 วันคืน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ภาพค่ายกลของเจดีย์ชั้นที่สองลึกซึ้งกว่าอย่างแท้จริง ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์และทำความเข้าใจไปทีละภาพๆ แม้จะพบความยากลำบากบ้าง แต่เขาใช้เวลามากหน่อยก็สามารถรับรู้จนเข้าใจได้ หลังก้าวเข้าสู่เจดีย์ชั้นที่สองได้พันกว่าปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับรู้ภาพค่ายกลได้แปดภาพ ขณะกำลังรับรู้ภาพค่ายกลภาพที่เก้านั้น จู่ๆ เขาก็สะดุ้งเฮือก

“สามสายรวมกันอย่างนั้นหรือ” แม้ก้นบึ้งหัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงจะยินดี แต่การบรรลุก็ไม่แปลกอะไรนัก

ต้องรู้ไว้ว่าวิถีอากาศมีถึงเก้าสายด้วยกัน ขณะที่บรรลุถึงระดับขั้นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น โดยทั่วไปก็หลอมรวมได้ค่อนข้างเร็ว สามสายสี่สายหลอมรวมกันก็ไม่นับว่ายากสักเท่าใดนัก แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อถึง ‘เก้าสายหลอมรวมกัน’ ในตอนสุดท้าย ก็ยิ่งสามารถสกัดกั้นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานได้หลายต่อหลายท่าน

ตนมีพื้นฐานแน่นหนา ทั้งยังรับรู้ ‘บุปผาโลกา’ ดอกหนึ่งด้วย ทั้งกระบวนการตั้งแต่เบ่งบานไปจนถึงเหี่ยวเฉา จนถึงบัดนี้ก็กว่าสิบล้านปีมาแล้ว บรรลุถึงขั้นสามสายหลอมรวมกันก็นับว่ารอเวลามาถึงก็จะสำเร็จอยู่แล้ว

แต่ว่า…

“เป็นภาพค่ายกล ระหว่างที่ข้ารับรู้ภาพค่ายกลก็ได้รู้แจ้งอะไรบางอย่างแล้วบรรลุอุปสรรคเล็กน้อยในตอนสุดท้ายได้พอดี ทำให้ภาพฟ้า ภาพดินและภาพอากาศหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพค่ายบนเสากลมภาพแล้วภาพเล่าตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงเหลือแสน “ภาพค่ายกลเหล่านี้ นอกจากเป็นการทดสอบแล้ว อันที่จริงก็ยังเป็นการชี้แนะแบบหนึ่งด้วย และทำให้ข้าบกระดับขึ้นได้อย่างนั้นหรือ”

ภาพค่ายกลยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแท้จริง

แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง ขณะเดียวกับที่ตนกำลังรับรู้ การรู้แจ้งวิถีอากาศก็จะลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับขั้นก็ย่อมยกระดับขึ้นเป็นธรรมดา

“เจดีย์คละถิ่น นอกจากจะเป็นการทดสอบแล้ว ตัวมันเองก็ยังดึงดูดโอกาสในการบำเพ็ญอีกด้วย” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีเป็นอย่างมาก

อากาศทั้งเก้าสาย

ภาพฟ้า ภาพดิน ภาพปะทุ ภาพหมอก ภาพแก่น ภาพอากาศ ภาพสาย ภาพพหุธาตุ ภาพผลาญเอกา

อย่างทลายเวหาที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายทอดให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น หัวใจหลักก็คือทางสายภาพอากาศ! ด้วยรากฐานทางสายภาพอากาศ ดึงดูดอีกสี่ภาพเข้ามา จึงสามารถบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ได้ แน่นอนว่าบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงสามารถสำแดงอานุภาพขั้นครบสมบูรณ์ออกมาได้

“ต่อไป”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะสามสายหลอมรวมกัน วิญญาณสัมผัสดั่งน้ำพุ ทั้งยังทำให้ระดับขั้นของร่างแยกในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดแข็งแกร่งขึ้นได้ ส่วนร่างแยกทางดินแดนจิตโลกาก็รับรู้ภาพค่ายกลเหล่านี้ต่อไป

ภาพค่ายกลภาพที่เก้าและภาพค่ายกลภาพที่สิบล้วนง่ายดายเป็นอย่างมาก อันที่จริงแล้วภาพค่ายกลสองภาพนี้ก็ยังชี้ทางให้ ‘ภาพฟ้า ภาพดินและภาพอากาศ’ หลอมรวมกัน บัดนี้ก็หลอมรวมกันสำเร็จแล้ว ทั้งสองภาพนี้ย่อมรับรู้จนกระจ่างแจ้งได้อย่างรวดเร็ว

“ชี้ทางให้ข้าบำเพ็ญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีเหลือแสน ที่เขามิได้ตระหนักถึงข้อนี้ในเจดีย์ชั้นที่หนึ่งนั้น ก็เพราะตอนที่เขาบำเพ็ญอยู่ในบุปผาโลกาสั่งสมพื้นฐานมาอย่างแน่นหนา จึงสามารถรับรู้ภาพทั้งสิบในเจดีย์ชั้นที่หนึ่งจนทะลุปรุโปร่งได้อย่างรวดเร็ว และมิได้รู้สึกว่ามีส่วนช่วยตนมากสักเท่าใดนัก ส่วนในเจดีย์ชั้นที่สอง เขาจมจ่อมอยู่กับการบำเพ็ญ จึงมิได้คิดอะไรมากมายนัก

ขณะที่เขาบรรลุจึงได้ค้นพบ…ว่าภาพค่ายกลเหล่านี้มีส่วนช่วยให้ทั้งสามสายของเขาหลอมรวมกันได้!

“บุปผาโลกาเป็นโอกาสที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ข้า นอกจากนี้เมื่อฟังสิ่งที่เขาจะสื่อแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นโอกาสใหญ่หลวงเพียงหนึ่งเดียวที่เขามอบให้ข้า”

“เจดีย์คละถิ่นเป็นโอกาสใหญ่หลวงที่ผู้ครอบครองป้ายคำสั่งจิตโลกาจะได้รับเมื่อเข้ามาเป็นครั้งแรกเท่านั้น ทั้งยังมีเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิตนี้อีกด้วย”

“โอกาสใหญ่หลวงทั้งสองนี้ มีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า นี่อาจจะเป็นช่วงที่ตนยกระดับได้เร็วที่สุดในช่วงที่เป็นเทพจักรวาลแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มีโอกาสใหญ่หลวงทั้งสองอยู่กับตัว! แต่ทว่าการยกระดับของตนยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! เพราะหากพลาดครั้งนี้ไปแล้ว เกรงว่าในภายหน้าคงจะหาโอกาสก้าวหน้าอย่างพรวดพราดเช่นนี้ได้ยากแล้ว

……

เวลาล่วงเลยไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อบำเพ็ญในเจดีย์คละถิ่น รับรู้ภาพค่ายกลเหล่านั้น ร่างแยกทั้งสองร่างของเขาที่อยู่ในโลกกำเนิดสองแห่งก็มิได้ย่อหย่อนแม้แต่ชั่วขณะเดียว!

******

ส่วนในดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือทั้งหลายที่เข้าไปในวังเทพจิตโลกานั้นก็มีอยู่หลายคนที่ถูกขับไล่ออกมา

ดังเช่น ‘ประมุขเกาะฟู่ชุน’ หนึ่งในสี่ผู้ที่ชิงตำแหน่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุมาไว้ในมือได้ เข้าไปในวังเทพจิตโลกาเพียงสามพันกว่าปีก็ถูกขับออกมาเสียแล้ว! และเป็นคนแรกในบรรดาผู้แกร่งกล้าทั้งสิบสองคนที่ถูกขับออกไป

คนที่สองที่ถูกขับออกมาก็เป็นสิบกว่าล้านปีหลังจากวังเทพจิตโลกาเปิดออกแล้ว เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งของสกุลชางแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุนาม ‘นายท่านเหมยเฟิง’ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีความช่วยเหลือจากบรรดายอดฝีมือระดับจอมเคารพของสามตระกูลใหญ่ เทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งสามารถทนมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว

จากนั้นก็มีผู้ถูกขับออกมาอย่างต่อเนื่อง

ห้าสิบกว่าล้านปีให้หลัง

‘มหาเคารพลู่เทียน’ และ ‘จอมเคารพมารอัคคี’ ถูกขับออกมาพร้อมกัน

ยามนี้คนของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่ยังคงอยู่ในวังเทพจิตโลกามีไม่มากแล้ว นอกจากจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและมหาเคารพฝูอี่แล้ว ผู้ที่หลงเหลืออยู่ก็คือมหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ จ้าวอูหัว (เซี่ยอูหัว) และเค่อชิงเพียงคนเดียวคือจ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’

“จ้าวอูหัวก็แล้วไปเถิด เพราะเขาเป็นสมาชิกคนสำคัญของสกุลเซี่ย สงสัยว่าจะเป็นผู้กลับชาติมาจุติ ไม่เพียงแต่มีรายงานโดยละเอียดเท่านั้น แต่ยังมียอดฝีมือสามตระกูลใหญ่คอยปกป้องด้วย จ้าวหิมะเหินผู้นั้นไม่มีรายงานโดยละเอียด ทำได้เพียงคลำทางไปอย่างคนตาบอดเท่านั้น แม้แต่จอมเคารพมารอัคคีก็ยังถูกขับออกมา แต่เขากลับยังคงอยู่ข้างในหรือนี่”

“‘ประมุขเกาะฟู่ชุน’ ที่เป็นเค่อชิงเหมือนกัน และไม่มีรายงานโดยละเอียดอยู่ข้างในเพียงสามพันกว่าปีเท่านั้นก็ถูกขับออกมาเสียแล้ว”

“เขาอยู่ข้างในมาตั้งห้าสิบกว่าล้านปีแล้วอย่างนั้นหรือ”

ผู้ที่เข้าไปในวังเทพจิตโลกานั้นมีผู้แกร่งกล้าหกรัฐโบราณอยู่ด้วย

บุคคลระดับสูงของหกรัฐโบราณจึงย่อมใส่ใจมากเป็นธรรมดา ส่วนรัฐโบราณอื่นๆ ก็ได้แต่อุทานด้วยความตกตะลึงเกี่ยวกับการที่ ‘จ้าวหิมะเหิน’ อยู่ข้างในได้นานถึงเพียงนี้! แต่บรรดาบุคคลระดับสูงของ ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ กลับมีความรู้สึกซับซ้อนไปหมด เนื่องจากตามหลักทั่วไปแล้ว หากมิใช่คนของสามตระกูลใหญ่ โดยทั่วไปก็จะยืนหยัดอยู่ในวังเทพจิตโลกาได้ไม่นานสักเท่าใดนัก ครั้งนี้อิงซานเสวี่ยอิงอยู่มาได้นานเกินไปแล้ว

……

“หรือศิษย์ของข้าคนนี้จะมีกลเม็ดที่ข้ายังไม่รู้อีก เขาอยากเข้าไปในวังเทพจิตโลกาขนาดนั้น มีหลักประกันอันใดหรือไม่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้

อยู่ข้างในมาห้าสิบกว่าล้านปี

ยากเกินไปแล้ว

“หวังว่าเขายิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดีก็แล้วกัน” จากนั้นประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เขามองดูม้วนสาส์นในมือ “เฮ้อ ท่านอาจารย์ของข้าคนนี้ก็หาเรื่องเก่งนัก กลัวแต่ว่ารัฐเมฆทักษิณาของข้าจะถูกลูกหลงเข้าน่ะสิ”

เขาและอาจารย์ไม่มีความผูกพันกันแต่อย่างใด

แต่ตอนนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘ดาบทวิภพ’ เขาจึงได้ตั้งสัตย์สาบานขึ้นมา! คำสัตย์นั้นเข้มงวดนัก

อย่างการรับศิษย์โดยทั่วไป อาจารย์ก็จะมิได้ตั้งเงื่อนไขให้ศิษย์สูงสักเท่าใดนัก เช่นเขารับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์ เงื่อนไขก็หละหลวมมาก หากตั้งเงื่อนไขให้ต้องตั้งคำสัตย์ที่เข้มงวดมาก…เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะหันไปคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์แทนแล้ว!

“ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก”

“ดาบทวิภพเป็นหลักประกันเพียงหนึ่งเดียวสำหรับการพลิกร่างของข้าในตอนนั้น อีกทั้งตอนนั้นข้ายังคิดว่าเขาสิ้นใจไปแล้วด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า

ท่านอาจารย์จอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ น่ากลัวและร้ายกาจเกินไปแล้ว ชื่อของเขาก็หมายถึงความตายอยู่แล้ว

สัตย์สาบานอันเข้มงวดที่เขาตั้งเอาไว้ สอดคล้องกับวิธีทำเรื่องต่างๆ ของเขาเป็นอย่างมาก

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ตาย! ทั้งยังกลับมายังดินแดนจิตโลกาแล้วด้วย

“ต้องการวัสดุพิเศษมากมายถึงเพียงนี้ จำนวนก็ยังมหาศาลอีกต่างหาก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูรายการบนม้วนสาส์น “วัสดุหลายอย่างเกี่ยวข้องกับความตาย จำนวนมหาศาลเช่นนี้ ที่แท้แล้วจะเอาไปทำอะไรกันแน่”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาใจสั่นเนื้อเต้นไปหมด

ช่วยไม่ได้

ตอนนั้นที่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ มีอานุภาพเกริกก้องทั่วดินแดนจิตโลกา ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่สุด! ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในขณะนั้น! แน่นอนว่าตอนนั้นพลังของจักรพรรดิเซี่ยยังมิได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ขณะนั้นจักรพรรดิเซี่ยก็แค่ทัดเทียมกับจักรพรรดิชางและบรรพชนฝานเท่านั้น

ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ ด้วยกำลังของตัวคนเดียว ก่อความวุ่นวายใหญ่หลวงในดินแดนจิตโลกา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่ง

“ตอนนั้นเขาเอาแต่ใจถึงเพียงนั้น เมื่อคืนวันอันยาวนานผ่านไป บัดนี้กลับมา พลังลึกล้ำเกินหยั่ง แล้วจะถ่อมเนื้อถ่อมตัวไปตลอดได้อย่างไรกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า ก่อนหน้านี้เขายังหวังว่าราชันย์อนธการอมตะจะไปยังหุบเขาเขี้ยวหักและสิ้นใจไปในหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก! น่าเสียดาย ราชันย์อนธการอมตะกลับมาจากหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว ทั้งยังโยนรายการฉบับหนึ่งมาให้เขาอีกต่างหาก

ให้เขาเก็บรวมรวมวัสดุเหล่านี้

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลำบากใจนัก! เขาถูกผูกไว้บนเรือใหญ่ลำนี้ นอกเสียจากเขาจะเตรียมการฝ่าฝืนสัตย์สาบานและทำให้ราชันย์อนธการอมตะโกรธเกรี้ยวเอาไว้เป็นอย่างดี…มิเช่นนั้นแล้วก็ทำได้แค่เชื่อฟังแต่โดยดีเท่านั้น

แต่ว่าหากราชันย์อนธการอมตะจะก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกจริงๆ แล้วล่ะก็ พลังของราชันย์อนธการอมตะน่าหวาดหวั่นจึงย่อมสามารถรับมือกับวิกฤตทั้งหลายได้เป็นธรรมดา แต่กลับเป็นไปได้ว่าทั้งรัฐเมฆทักษิณาจะต้องถูกลูกหลงเข้า

“ไม่สบายใจเลยจริงๆ”

ประมุขรัฐเมฆทักษิณารู้สึกอดสูใจ

เขาเป็นคนที่หยิ่งทระนงเพียงใดกัน

บัดนี้ทำได้เพียงข่มกลั้นเอาไว้เท่านั้น

……

ส่วนในวังเทพจิตโลกา

ณ ชั้นที่หกของเจดีย์คละถิ่น ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาบำเพ็ญอย่างเงียบๆ

 ……………………………….