ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 42 เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สิบ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“หากไม่ใช้บุปผาโลกา เห็นทีชั้นที่หกคงจะเป็นขีดสุดของข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพค่ายกลภาพที่หกบนเสากลม

 

ตอนนั้นเจ้าเมืองหลัวมอบเมล็ดพันธุ์บุปผาโลกาให้ เนื่องจากเขาอยากลองสัมผัสรับรู้ดูเสียหน่อยจึงได้เข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาดอกหนึ่ง

 

หลังการบำเพ็ญในบุปผาโลกาดอกนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้รีบร้อนเข้าไปในบุปผาโลกาดอกนั้นอีก

 

เนื่องจากเขาอยากจะเค้นเอาความสามารที่ซ่อนอยู่ของตนออกมา เพื่อดูว่าภายใต้การเหนี่ยวนำของเจดีย์คละถิ่น ที่แท้แล้วจะสามารถไปได้ถึงชั้นไหนกันแน่! นอกจากนี้ การบีบบังคับตนเองให้ถึงทางตันแล้วค่อยใช้บุปผาโลกา…การรับรู้ขั้นตอนการเบ่งบานของบุปผาโลกาในตอนนั้นจึงจะได้รับประโยชน์มากกว่า! ‘บุปผาโลกา’ ล้ำค่ามาก ตนต้องใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

 

เขาไม่เข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาก่อนชั่วคราว…

 

เนื่องจากตอนนั้นสามสายหลอมรวมกันแล้ว จึงรับรู้ภาพค่ายกลทั้งสิบภาพของเจดีย์คละถิ่นชั้นที่สามจนทุลุปรุโปร่งได้ในเวลาเพียงหมื่นกว่าปี เขายังคงค่อยๆ บำเพ็ญอยู่ในชั้นที่สามอย่างเชื่องช้าอีกสิบล้านปี เพื่อทำให้ระดับขั้นของตนแข็งแกร่ง

 

ภาพค่ายกลสิบภาพของชั้นที่สี่ ใช้เวลาล้านปีจึงรับรู้ได้ทั้งหมด

 

ชั้นที่ห้าก็ลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าระหว่างทางสี่สายก็หลอมรวมกันได้สำเร็จ! ต่อจากนั้นก็สบายขึ้นมากทีเดียว ใช่เวลาทั้งหมดสามล้านกว่าปีก็รับรู้ภาพค่ายกลทั้งสิบได้อย่างสมบูรณ์

 

ชั้นที่หก…

 

ก็เป็นเวลาห้าสิบห้าล้านกว่าปีหลังจากเขาเข้ามาในวังเทพจิตโลกาแล้ว เขาติดอยู่ตรงหน้าภาพค่ายกลภาพที่หกของชั้นที่หกเสียแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ของเขามีเพียงห้าแสนปีเท่านั้น เขาไม่กล้าบีบบังคับตนเองอีกต่อไปแล้ว

 

“บุปผาโลกา”

 

ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำกลับทะยานตรงไปเบื้องหน้า ‘ดอกตูมสีเทา’ ดอกหนึ่งซึ่งอยู่ระดับต่ำที่สุดในบรรดาดอกทั้งแปดของพืชเถาวัลย์ต้นหนึ่ง

 

ฟิ้ว

 

หลังเข้าไปในดอกไม้สีเทาแล้ว ก็เป็นโลกอลหม่านซึ่งมีเพียงความเงียบเหงา โลกค่อยๆ วิวัฒน์ไป แต่โลกดอกไม้นี้เพียงแค่ให้กำเนิดมนุษย์และสรรพสัตว์จำนวนน้อยนิดขึ้นมาเท่านั้น ทั้งโลกยังคงเงียบเหงาวังเวง สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่เลวร้ายอย่างยิ่ง…แสนปีเต็มๆ ตั้งแต่ดอกไม้เบ่งบานจนเหี่ยวเฉา ภายในโลกดอกไม้สีเทาก็เงียบเหงาวังเวงตลอด มนุษย์ที่วิวัฒน์ขึ้นมาภายในนั้นอย่างมากก็ไม่เกินหมื่นคน และมนุษย์ก็เป็นเพียงหนึ่งในสัตว์หลายชนิด ไม่สามารถสร้างอารยธรรมที่แข็งแกร่งพอขึ้นมาได้

 

“อากาศ…”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ชมดูการวิวัฒน์ของวิถีอากาศในระหว่างระยะเวลาสั้นๆ เพียงแสนปีนี้ แต่กลับมีแสงทิพย์แห่งความรู้แจ้งจำนวนมากผุดขึ้นมา

 

“พิสดารเกินไปแล้ว ดอกไม้สีชมพูก่อนหน้านี้กับดอกไม้สีเทาในตอนนี้ แม้จะวิวัฒน์วิถีอากาศที่สมบูรณ์ขึ้นมาเหมือนกัน แต่กลับโน้มเอียงไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงเหลือแสน

 

เหมือนกับการหลอมรวมกันของห้าภาพ

 

ในมือของผู้แกร่งกล้าบางคน อาจจะคิดค้นกระบวนท่าที่มีชื่อเสียงด้านบริเวณขึ้นมาได้

 

แต่ผู้แกร่งกล้าบางคนกลับสามารถคิดค้นกระบวนท่าผนึกโลกาขึ้นมาได้

 

นี่ก็เพราะความคิดของผู้แกร่งกล้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน…การใช้งานวิถีก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ดอกไม้เหล่านี้แต่ละดอกล้วนเป็นการวิวัฒน์ของวิถีอากาศอันสมบูรณ์ แต่กลับเป็นวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิธีที่แตกต่างกันปะทะกันอยู่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง มีแสงทิพย์มากมายยิ่งนักผุดขึ้นมา…เรื่องนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรุ้สึกซาบซึ้งต่อเจ้าเมืองหลัวนัก

 

เขาถึงขั้นเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้แก่จอมกระบี่คือสิ่งใดกัน”

 

ถึงอย่างไรสมบัติล้ำค่าก็เป็นแค่วัตถุเท่านั้น จะสามารถใช้งานได้มากน้อยเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน! หากการรับรู้ไม่เพียงพอ ใช้แล้วก็เละเทะไปหมด และนี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าเมืองหลัวช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ มิได้เลือกเทพจักรวาลคนอื่นๆ

 

……

 

บุปผาโลกาดอกหนึ่งนำมาซึ่งการรับรู้นานาชนิด ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีเกือบจะรับรู้ได้เชื่องช้าอย่างยิ่งพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง

 

เขาต้องรับรู้และค้นคว้าแสงทิพย์จำนวนมากไปทีละอันๆ

 

เขาเพียงแค่แบ่งสมาธิเล็กน้อยไปค้นคว้าภาพค่ายกล ก็สามารถรับรู้ภาพค่ายกลได้ทะลุปรุโปร่งอย่างรวดเร็วแล้ว

 

……

 

 

เขาอยู่ในชั้นที่หกเป็นเวลาสิบล้านปีเต็มจึงเข้าสู่ชั้นที่เจ็ด เขาบีบคั้นตนเองในชั้นที่เจ็ดต่อไป ใช้เวลาหกล้านกว่าปีจึงสามารถรับรู้ภาพค่ายกลทั้งสิบภาพได้!

 

ภาพค่ายกลชั้นที่เจ็ดและชั้นที่แปด ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกบีบบังคับให้เข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาอีกเป็นครั้งที่สาม

 

ชั้นที่เก้า ภาพค่ายกลภาพที่เก้าเขาก็ชะงักค้างอีก และเข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาอีกเป็นครั้งที่สี่

 

ชั้นที่สิบ!

 

******

 

ในดินแดนจิตโลกา บุคคลระดับสูงของหกรัฐโบราณต่างก็จับตามองเทพจักรวาลแต่ละคนที่ถูกขับไล่ออกมา อย่าง ‘จ้าวอูหัว’ แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุผู้นั้นก็ถูกขับออกมาในที่สุด ขณะนี้ผู้ที่ยังอยู่ข้างในซึ่งมีระดับต่ำกว่าจอมเคารพเหลือเพียงสองคนเท่านั้น! และจ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ จากรัฐเมฆทักษิณาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

 

“เก้าสิบกว่าล้านปีแล้ว เขายังอยู่ในนั้นอีกหรือนี่”

 

“ช่างน่ากลัวจริงๆ”

 

“อยู่ข้างในนานขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับอะไรมามากมายก็เป็นได้ เช่นได้รับสมบัติลับระดับยอดสุด หรือว่าวัตถุล้ำค่าหายากบางอย่าง!”

 

“แต่ละครั้งมีเทพจักรวาลเข้าไปมากมายถึงเพียงนั้น หากได้สมบัติลับระดับยอดสุดมาง่ายๆ ดินแดนจิตโลกาจะมีสมบัติลับระดับยอดสุดมากมายเท่าใดกัน คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง!”

 

แต่ละแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

 

เทพจักรวาลก็เกิดความคิดริษยาขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรคิดจะได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดมาสักชิ้นหนึ่งนั้นยากเย็นเพียงใด ดังเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ตอนนั้นก็ต้องถูกไล่ล่าอย่างน่าอนาถ และโชคดีได้เข้าไปยังโบราณสถานที่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ จงใจทิ้งเอาไว้ และถูกบังคับให้ลั่นสัตย์สาบานจึงได้ ‘ดาบทวิภพ’ มา! นอกจากพวกคนที่มีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคอยช่วยเหลือ อาศัยตนเองอย่างแท้จริงจะได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดมาสักชิ้นหนึ่งน่ะหรือ ยาก ยากเกินไปแล้ว!

 

ต่อให้เป็นผู้ที่มีเบื้องหลังใหญ่โต จะสามารถเข้ามาในวังเทพจิตโลกาและได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดได้ ความเป็นไปได้ก็ยังคงต่ำมากอยู่ดี

 

……

 

แน่นอนว่า ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงครอบครองป้ายคำสั่งจิตโลกาและกลับชาติมาจุติ ‘หยวน’ ได้ทิ้งโอกาสเป็น ‘เจดีย์คละถิ่น’ เอาไว้ให้ผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานที่กลับชาติมาจุติเหล่านี้ แน่นอนว่าจะได้รับอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้แล้ว

 

“ติดแหง็กอีกแล้ว”

 

เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สิบ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพค่ายกลภาพที่เจ็ด เวลาที่เหลืออยู่ก็แค่ห้าแสนปีเท่านั้น เขาตั้งกฎเหล็กไว้ให้ตนเองว่า หากเหลือเพียงห้าแสนปีก็จำเป็นต้องใช้ ‘บุปผาโลกา’!

 

ว่ากันตามหลักแล้ว

 

บุปผาโลกาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อบำเพ็ญจนติดอุปสรรค แต่ครั้งนี้บุกฝ่าเจดีย์คละถิ่น จะใช้อีกสักหลายดอกก็คุ้มค่า หากสามารถเดินไปจนถึงขีดสุดได้ จะใช้สักเจ็ดแปดดอกก็คุ้มค่า แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว…ความยากในการทดสอบก็คงจะไม่เกินจริงถึงเพียงนั้น หรือกล่าวว่าตนก็มีการรับรู้ที่สูงส่งพอโดยแท้ ใช้บุปผาโลกาไปสี่ดอกก็สามารถเดินมาจนถึงขั้นปัจจุบันนี้ได้แล้ว

 

“ดอกที่ห้า”

 

ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลถึงอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดเข้าไปในบุปผาโลกาดอกที่ห้าโดยไม่ลังเล

 

ครั้งนี้ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องได้มา!

 

ตามสารที่ ‘หยวน’ ส่งมาให้ ขอเพียงสามารถแกพสลักผนังชั้นในของเจดีย์คละถิ่นชั้นที่แปดได้สำเร็จทั้งหมดและก้าวเข้าสู่ชั้นที่เก้า ต่อให้มิอาจก้าวหน้าไปได้อีกก็จะได้รับมอบ ‘สมบัติลับอันสูงส่ง’ อยู่ดี! สมบัติลับอันสูงส่งก็เพียงพอให้ผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดอิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่งได้ ในดินแดนจิตโลกาก็มีเทพจักรวาลขั้นสุดยอดบางคนไม่ได้สมบัติลับอันสูงส่งมา

 

ส่วนก้าวเข้าสู่ชั้นที่สิบเล่า

 

หากแม้แต่ผนังชั้นในของชั้นที่สิบก็ยังแกะสลักได้สำเร็จและบรรลุถึงขีดสุดได้เล่า

 

ภาพค่ายกลแต่ละชั้นของเจดีย์คละถิ่นล้วนแต่ชี้นำการบำเพ็ญให้ตน และเหมาะสมกับตนอย่างเต็มที่ เชื่อว่าสิ่งที่มอบให้ในตอนท้ายสุดก็น่าจะเหมาะสมกับตนด้วยเช่นกัน

 

“ตู้มมม…”

 

การรู้แจ้งจำนวนมากจากการรับรู้บุปผาโลกา ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่งได้ และบรรลุถึงขั้นหกสายหลอมรวมกัน!

 

เขาลืมตามองดูภาพค่ายกลอีกไม่กี่ภาพที่เหลืออยู่แล้วเคี่ยวกรำเล็กน้อย จากนั้นก็รับรู้จนเข้าใจ ทว่าเขาก็ไม่รีบร้อนไปรับสมบัติล้ำค่าแต่อย่างใด หากแต่ยังคงยืดเวลาการบำเพ็ญออกไปจนถึงตอนสุดท้าย เพราะถึงอย่างไรเมื่อจากเจดีย์คละถิ่นไป…เขายังต้องบุกฝ่าวังเทพจิตโลกาต่อไป เกรงว่าถึงตอนนั้นคงจะไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเช่นนี้ให้เขาค่อยๆ บำเพ็ญอีกแล้ว

 

รอจนถึงปีสุดท้ายของร้อยล้านปี

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยืดกายขึ้นแล้วโบกมือใช้คมอากาศระลอกหนึ่งตัดเฉือนลงบนผนังชั้นในและแกะสลักภาพค่ายกลชั้นที่สิบอย่างรวดเร็วจนเสร็จในรวดเดียว ภาพค่ายกลภาพที่สิบสำเร็จ!

 

“ขีดสุด”

 

“ไม่รู้ว่าขีดสุดของเจดีย์คละถิ่นจะได้รับมอบสิ่งใด” ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

ตนมีความช่วยเหลือจากบุปผาโลกา หากไร้ซึ่งบุปผาโลกา เกรงว่าชั้นที่ห้าหรือหกก็คงจะเป็นขีดสุดของตนแล้ว

 

แต่ทว่า…

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คิดฟุ้งซ่านไปเอง

 

การทดสอบของเขานั้นเป็นวิถีอากาศ! ส่วนยอดฝีมือวิถีอากาศที่มาถึงระดับขั้นนี้ในดินแดนจิตโลกาก็ล้วนแต่มีร่างแยกทั้งสิ้น! เดิมทีการทดสอบที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ก็คำนึงถึงว่าอาจจะมีร่างแยกทิ้งไว้ที่โลกภายนอกอยู่แล้ว ยอดฝีมือวิถีอากาศไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่มีทางส่งร่างแยกทั้งหมดของตนเข้ามาได้

 

แต่เมื่อพบเจดีย์คละถิ่น!

 

ยอดฝีมือวิถีอากาศไม่มีผู้ที่โง่งมสักคน จะต้องหาวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญจากโลกภายนอกโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้นอย่างแน่นอน! ทำให้ระหว่างที่ตนบุกฝ่าเจดีย์คละถิ่นนั้น พยายามยกระดับพลังให้มากขึ้นอย่างเต็มที่

 

อย่างเช่น…

 

ศิษย์คนสำคัญของหกรัฐโบราณทั้งหลายก็สามารถหาซื้อสมบัติล้ำค่าต่างๆ ได้ หรือถึงขั้นขอให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูช่วยเหลือ เร่งเวลาให้ร่างแยกที่โลกภายนอกบำเพ็ญภายใต้การเร่งเวลาสิบเท่า! หากเป็นจักรพรรดิเซี่ยหรือพวกเจ้าเมืองอนันต์ซึ่งให้ความสำคัญกับศิษย์รุ่นหลังทั้งหลายอย่างยิ่ง เกรงว่าคงจะให้ความช่วยเหลือที่มากกว่านี้อีก

 

……

 

 

วิธีการต่างๆ

 

อนที่จริงแล้วการรับรู้และพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูงส่งอย่างยิ่งโดยแท้ เขาสามารถคิดค้นเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ขึ้นมาได้ก็พอจะมองออกแล้วว่า หากไม่มีบุปผาโลกา ลำพังแค่คุณูปการที่ใช้ไปในสกุลฝาน ด้วยความช่วยเหลือของวิธีการง่ายๆ ต่างๆ เช่นการเร่งเวลา ก็อาจจะมีหวังสู้สุดชีวิตและได้สมบัติลับอันสูงส่งมาสักชิ้นอยู่ดี

 

แต่ตอนนี้มี ‘บุปผาโลกา’ ช่วยเหลือ กลับเดินไปได้ไกลกว่านั้นอีก

 

“วิ้ง…”

 

เจดีย์คละถิ่นสูงเทียมเมฆเปล่งประกายเจิดจ้า

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ภายในชั้นที่สิบแหงนหน้ามองด้านบน ที่ยอดหลังคาด้านใน มีกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในมีพลังคละถิ่นอันดำมืดโหมซัด และมีบางสิ่งกำลังบ่มเพาะอยู่ในนั้น

 

 ……………………………….