“นี่คืออะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามีแรงกดดันแพร่เข้ามาจากด้านบน
ภายในกลุ่มแสง ภายใต้การโอบล้อมของพลังคละถิ่นอันดำมืด ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดหนึ่งปรากฏขึ้น พลางแผ่ชีวิตชีวาออกมา แต่กลับนำมาซึ่งอานุภาพกดดันอันน่าหวาดหวั่น
ตู้ม…
อานุภาพกดดันที่เกิดจากของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้ กดดันลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรุนแรง ทำเอาวิญญาณของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา “หากเป็นเทพจักรวาลหน้าใหม่ที่มีวิญญาณค่อนข้างอ่อนแอก็เกรงว่าคงจะต้องถูกกดดันจนลงไปหมอบแล้วกระมัง”
อานุภาพกดดันระดับนี้ เหนือกว่าระดับจักรพรรดิเซี่ยไปไกลโข
“วิ้ง”
จากนั้นของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้ก็แปรเป็นลำแสงสายหนึ่งทะยานเข้ามาโดยพลัน จู่ๆ ก็มาถึงตรงหน้า ขณะเดียวกันตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวอันเข้มข้นที่เข้ามาปะทะใบหน้า! ‘กลิ่นคาวเลือด’ จากของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้…ประหนึ่งทะเลโลหิตแห่งหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา ความเข้มข้นของกลิ่นคาวเลือดกัดกินเข้ามาในสมอง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมึนงงอย่างมิอาจควบคุมได้ ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้แทรกเข้ามาตรงหว่างคิ้วของเขา ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในวิญญาณ
“ที่แท้แล้วนี่มันอะไรกันแน่”
สติรับรู้ของเขาอื้ออึงไปหมด จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่อนยวบลงกับพื้น
……
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในโลกชั้นที่สูงกว่าอันไกลลิบ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่สามท่าน
ชายชราคนหนึ่งในจำนวนนั้นหัวเราะพลางยื่นมือออกไป ตรงร่องนิ้วมีของเหลวสีเขียวอ่อนหยดหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นเขาก็ดีดนิ้วออกไปคราหนึ่ง ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้ก็ทะลุผ่านระยะทางไกลโพ้นออกไปเสียงดังสวบก่อนจะเข้าไปในดินแดนจิตโลกา
“เจ้าโจรเฒ่า เจ้าโยนโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งให้แก่เทพจักรวาลคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ ตัดใจได้เช่นนี้เชียวหรือ”
“ตอนนั้นที่ฆ่ามารดามังกรหมื่นสัมผัส ข้าและคนอื่นๆ ต้องดิ้นรนกันนานเท่าไหร่ ตอนนั้นเจ้าโจรเฒ่าได้รับส่วนแบ่งโลหิตหัวใจมาอยู่ในมือทั้งหมดแค่ยี่สิบหยดเท่านั้นเองกระมัง แต่กลับทำใจให้เทพจักรวาลคนหนึ่งเอาไปใช้ได้ เทพจักรวาลใช้แล้วสิ้นเปลืองนัก สำหรับเขาแล้ว ก็ได้แค่ชำระวิญญาณนิดหน่อยเท่านั้น โถ ยังเป็นแค่หนุ่มน้อยเทพจักรวาลชั้นที่สองอีกต่างหากหรือนี่ ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วพิเศษที่ตรงไหนกันแน่”
“ข้าก็จะดูเสียหน่อย! เฮ้อ กลับชาติมาจุติรึ แล้วยังเกี่ยวโยงถึงดินแดนของน้องหลัวด้วยหรือ”
อีกสองคนสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าหนุ่มที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่งจากที่ข้าได้สำรวจมาในโลกกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ได้อีกด้วย แม้ครั้งนี้เจดีย์คละถิ่นของข้าจะเป็นการทดสอบพรสวรรค์ทางด้านวิถีอากาศของเขา แต่อันที่จริงแล้ว จากการสำรวจของข้าก่อนหน้านี้ พรสวรรค์ด้านเขตลวงโลกเทียมของเขา…ยังเหนือกว่าวิถีอากาศเสียอีก!”
“ต่อให้การรับรู้สูงส่งกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า อย่างมากก็แค่บรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้น อยากจะกระโดดออกจากกรงขังอย่างแท้จริง เฮอะๆ…เจ้าโจรเฒ่าเอ๋ย เจ้าสร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมาอย่างยากลำบาก สิ้นเปลืองทรัพยากรไปตั้งเท่าไหร่เพื่อบ่อมเพาะ แต่จวบจนบัดนี้ก็ไม่มีผู้ที่กระโดดออกจากกรงขังได้เลยสักคนเดียว!”
“น้องหลัว ก็นับว่าข้าเป็นผู้บ่มเพาะกระมัง”
“ฮ่าฮ่า สร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่กลับมิได้ประโยชน์อันใดเลย! หากแต่เป็นโลกกำเนิดที่วิวัฒน์ไปตามธรรมชาติ ‘แผ่นดินต้นกำเนิด’ มีน้องหลัวโผล่ออกมาคนหนึ่ง ดังนั้นข้าว่าเจ้าก็อย่าได้ดิ้นรนอีกเลย! ทั้งหมดปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาเถอะ หากมีคนที่เข้าตาจริงๆ ค่อยชี้แนะสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
“เฮ้อ…ต้องใช้เวลาน่ะ ดินแดนจิตโลกายังอยู่มาไม่นานพอ เมื่อเวลานานเข้าก็จะต้องไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน”
“จะไม่เหมือนกันอีกหรือ ข้าว่าเจ้าดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ คนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ เจ้าคงจะสิ้นเปลืองโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสไปหยดหนึ่งไปเปล่าๆ แล้วล่ะ”
******
ณ เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สิบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงล้มลงกับพื้น ด้านข้างกลับมีร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างแยกร่างนี้มีสติกระจ่างแจ้งนัก
“น่าแปลก”
“ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดเมื่อครู่นี้คืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้ร่างแยกร่างนี้ของข้าเสียสติรับรู้ไปได้ ความทรงจำก็มิอาจเชื่อมโยงกันได้ชั่วคราวอีกต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัยอย่างยิ่ง ร่างแยกอื่นๆ ทั้งหมดล้วนไม่เป็นไร มีเพียงร่างแยกที่ถูกของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนั้นหลอมรวมเข้าไปเท่านั้นที่เกิดปัญหา
แม้ความทรงจำจะมิอาจเชื่อมโยงกันได้
แต่เมื่อผ่านการสัมผัสรับรู้ระหว่างวิญญาณ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าวิญญาณของร่างแยกที่ล้มลงไปนี้กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
“สิ่งที่ขีดสุดของเจดีย์คละถิ่นมอบให้ในตอนสุดท้ายควรจะเป็นเรื่องดี สิ่งมีชีวิตระดับหยวนนั้นคงจะไม่ถึงกับทำร้ายข้าหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่รอคอย ซึ่งการรอคอยครั้งนี้กินเวลากว่าครึ่งค่อนปีเลยทีเดียว
“อึ๊บ”
ในที่สุดร่างแยกที่นอนอยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง
เขาเอามือกุมขมับ หัวสมองอื้ออึงไปหมด แสนเจ็บปวดรวดร้าว
“วิญญาณของร่างแยกนี้ของข้า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบทันทีว่า ความเร็วในการวิวัฒน์ของวิญญาณของร่างแยกของตนร่างนี้ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณวิวัฒน์ไป ความเร็วในการสำแดงการรับรู้ก็ยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากเหมือนกับขั้นอลวนบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้ต่อให้เกิดความเช่นนี้…ความเร็วในการผลักดันร่างแยกร่างนี้ เกรงว่าก็คงจะสู้ร่างแยกร่างอื่นอีกสิบร่างรวมกันได้เลยทีเดียว (ดินแดนจิตโลกาสามารถคงวิญญาณระดับยอดสุดเอาไว้ได้เก้าร่าง อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดสามารถคงวิญญาณระดับยอดสุดเอาไว้ได้สองร่าง)
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา
วิญญาณของร่างแยกที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติกลับคืนมาเมื่อครู่ย่อมสัมผัสรับรู้วิญญาณของร่างแยกอื่นในดินแดนจิตโลกาได้ ภายใต้การสัมผัสรับรู้เช่นนี้ กลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างแทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของร่างแยกทั้งหมด ซึ่งนั่นเป็นพละกำลังที่เหนือธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้วิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างของตนค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
“พิสดารเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจหาใดเปรียบ “ห่างไปเป็นระยะทางไกลโพ้นก็ยังสามารถทำให้วิญญาณของร่างแยกร่างอื่นของข้าวิวัฒน์ไปได้ด้วยอย่างนั้นหรือ น่าเสียดาย เหมือนว่าทางอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบใดเลย”
เขาหวังว่าจะได้รับผลกระทบบ้าง
เนื่องจากหลังการวิวัฒน์ วิญญาณก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น! และมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมากยิ่งขึ้น
เดิมทีเขาคิดจะแบ่งวิญญาณออกมาเป็นวิญญาณร่างแยกใหม่ ตอนนี้ในเมื่อวิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างในดินแดนจิตโลกาล้วนค่อยๆ วิวัฒน์ไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นอีก
“พิสดารยิ่งนัก”
“ยังมีอีก…” ในความทรงจำของตงป๋อเสวี่ยอิง ยังเก็บคัมภีร์สีดำหนาเตอะเล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย บนนั้นมีอักขระรพิเศษเขียนเอาไว้ว่า ‘เจ็ดกระบวนคละถิ่น’
และนี่ก็คือคัมภีร์เล่มหนึ่งซึ่งส่งถ่ายเข้ามาในความทรงจำของร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงขณะเสียสติรับรู้ไป บัดนี้เมื่อฟื้นคืนสติแล้ว ความทรงจำเชื่อมต่อกัน ร่างแยกทั้งหมดล้วนได้รับคัมภีร์เล่มนี้ และเริ่มต้นค้นคว้าโดยละเอียดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
จะว่าไปแล้ว
นี่จึงจะเป็นรางวัลที่แท้จริงที่ตนได้รับหลังจากการบุกฝ่าถึงเจดีย์คละถิ่นขั้นสุด
ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนั้นทำให้วิญญาณของตนเกิดการวิวัฒน์ครั้งหนึ่งซึ่งสำคัญมากอย่างแท้จริง
แต่คัมภีร์เล่มนี้สำคัญยิ่งกว่านั้น!
เจ็ดกระบวนคละถิ่นเป็นเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งวิชาหนึ่ง
ใช่แล้ว
เทพจักรวาลขั้นสุดยอดไม่ว่าหน้าไหน แม้กระหายอยากได้สมบัติลับอันสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็อยากได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมากกว่า! แม้สมบัติลับอันสูงส่งจะสามารถเฝ้าดูการใช้งานกฎเกณฑ์อันสูงส่งได้เช่นกันแต่ถึงอย่างไรก็เป็นการค้นบุปผากลางสายหมอก…ตัวพวกเขาเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้อย่างแท้จริง ได้แต่ต้องอาศัยสมบัติลับจึงจะสามารถสำแดงอานุภาพระดับนั้นออกมาได้ก็เท่านั้นเอง
ส่วนเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง กลับเป็นการชี้แนะอย่างละเอียดยิบ! จึงชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าการรับรู้สมบัติลับมากมายยิ่งนัก
นอกจากนี้…
ตอนท้ายสุดของคัมภีร์เล่มนี้ยังมีวิธีหลอมแปรสมบัติลับที่จะช่วยส่งเสริมเจ็ดกระบวนคละถิ่นแนบมาด้วย สำหรับผู้แกร่งกล้าที่บำเพ็ญเจ็ดกระบวนคละถิ่นแล้ว สมบัติลับที่หลอมแปรออกมานั้นก็ไม่แพ้สมบัติลับอันสูงส่งเลย
“เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งอันสมบูรณ์วิชาหนึ่ง ทั้งยังแนบวิธีหลอมแปรสมบัติลับที่เหมาะสมที่สุดมาด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดีในใจ
อันที่จริงแล้ว
รางวัลของเจดีย์คละถิ่น หากแกะสลักผนังชั้นในชั้นที่เก้าสำเร็จและก้าวเข้าสู่ชั้นที่สิบ ก็จะสามารถได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมาแล้ว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงขีดสุดจึงได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา บวกกับเคล็ดวิชาหลอมแปรสมบัติลับโดยเฉพาะอีกวิชาหนึ่ง! ส่วนของเหลวสีเขียวอ่อนหนึ่งหยดนั้น…เป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ มอบให้ต่างหาก
“เจ็ดกระบวนคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคิดจะเคี่ยวกรำและค้นคว้าเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งที่แม้แต่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ยังแทบคลั่งนี้ แต่ทันใดนั้นคลื่นระลอกหนึ่งก็ร่อนลงมา
วิ้ง
มันเคลื่อนย้ายตงป๋อเสวี่ยอิงไปทันที
เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้รับผลประโยชน์และฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว ก็ย่อมต้องส่งเขาจากไปเป็นธรรมดา
……
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตรงหน้า และมองไปด้านหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้านหลังก็คือสะพานแขวนแห่งหนึ่งซึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ ต่อให้ยามนี้เดินออกจากขอบเขตของสะพานแขวนไปก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของสะพานแขวน
ไกลออกไปเบื้องหน้าก็คือโถงตำหนักแห่งหนึ่ง
“ข้ากลับมาที่นี่อีกแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงจำได้อย่างชัดเจนมากว่า ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะบุกฝ่าผ่านสะพานแขวน ก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังเจดีย์คละถิ่น ตอนนี้ก็ถูกส่งมาที่นี่อีก!
…………………………………..