เจตจำนงกระบี่ฉวัดเฉวียนไปมา ประกายกระบี่ไหลราวสายน้ำ นี่คือห้องที่คนจากนิกายหลวงพักอยู่ ทว่าตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
คนหลายร้อยคนยืนอยู่ภายนอก คนจากนิกายหลวงยืนอยู่ตรงด้านหน้า เมื่อได้ยินศิษย์หญิงจากสถานศึกษาหนานซีประกาศ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด พวกเขาถามขึ้น “เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องการทำอะไร”
นี่เป็นคำถามที่ทุกคนใคร่ได้คำตอบ
ฝูงชนยังไม่ฟื้นจากความตกใจดี ประการแรก เหตุใดเฉินฉางเซิงถึงได้หมดสติตั้งแต่ต้น หรือว่าเขาไม่อาจทะลวงผ่านสำเร็จและเกิดการไหลย้อนกลับของแสงดาว แต่ในตอนนั้น ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาสามารถสร้างเขตแดนดวงดาวของตนเองได้สำเร็จ จากบันทึกในอดีต ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดเคยพบเจอปัญหาเช่นนี้มาก่อน
ประการที่สองก็คือการปรากฏตัวของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สวีโหย่วหรง ในยามทุกคนชักช้าเกินกว่าที่จะตอบสนอง ทำได้เพียงมองดูกระบี่วิถีสวรรค์ลอยลงมา นางกลับปรากฏขึ้นบนเวทีอย่างเหนือความคาดหมายและยินดีรับบาดเจ็บสาหัสเพื่อปกป้องเฉินฉางเซิงอย่างไม่ลังเล นางสามารถคาดเดาการโจมตีนี้ได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงยินดีปกป้องเฉินฉางเซิง
เรื่องราวการหมั้นหมายได้แพร่ไปทั่วต้าลู่มาระยะหนึ่งแล้ว ทุกคนรู้ถึงความขุ่นข้องหมองใจระหว่างจวนขุนพลเทพตงอวี้กับเฉินฉางเซิง ทุกคนรู้ว่านางกับเฉินฉางเซิงเป็นศัตรูกัน บางคนถึงกับคิดว่าพวกเขาถูกกำหนดมาให้เป็นศัตรูกัน แต่นางกลับอุ้มเฉินฉางเซิงไว้แนบอก มองดูเขาราวกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดในโลกอีกแล้ว เผยให้เห็นความสิ้นหวังและอ่อนแอ ใครเล่าจะกล้าเชื่อข่าวลือพวกนั้นอีกต่อไป
เจ๋อซิ่วไม่ได้คำนึงถึงคำถามเหล่านี้ เขาคิดถึงเพียงสถานการณ์ของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ การถูกสกัดกั้นโดยค่ายกลกระบี่ของศิษย์สถานศึกษาหนานซีเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้ สาเหตุเดียวที่เขาไม่บุกเข้าไปก็เพราะถังซานสือลิ่วมาขวางเอาไว้
มีคนน้อยมากที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง และถังซานสือลิ่วก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในตอนนี้ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็รู้แล้ว บางทีเขาอาจได้ยืนยันความสงสัยที่มี เพราะเขาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ตาพิศมองดูสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงนั่งอยู่ข้างเก้าอี้ยาว ไม่ตื่นตระหนกและสิ้นหวังเช่นที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม
ทว่าใบหน้างดงามของนางก็ยังฉายความกังวลออกมา ความงดงามเจิดจ้าที่เคยมีหม่นหมองลงอย่างมาก
มือนางกุมมือของเฉินฉางเซิงเอาไว้อย่างอ่อนโยน
ครั้นเห็นภาพนี้ ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ได้แต่ทอดถอนใจ
เฉินฉางเซิงยังไม่ฟื้นขึ้นมา
สวีโหย่วหรงมองที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ นางไม่ได้กล่าวอะไร แต่คำถามของนางชัดเจน
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ส่ายหน้าและกล่าว “เส้นลมปราณของเขาขาดแล้ว ไม่มียาหรือผลึกหินใดรักษาได้”
เฉินฉางเซิงเป็นผู้สืบทอดของใต้เท้าสังฆราช เป็นอนาคตของนิกายหลวง ไม่ว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์จะมีความสัมพันธ์เช่นใดกับสังฆราช เขาก็ไม่อาจยืนมองเฉินฉางเซิงเป็นอะไรไปเฉยๆ ได้ในเขตหานซาน ผู้เฒ่าความลับสวรรค์สั่งให้นำยาล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนมาให้กับเฉินฉางเซิงตั้งนานแล้ว ผลึกล้ำค่ามากมายวางกองอยู่รอบกายเขา ทว่าไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลต่อการบาดเจ็บของเขา
ใครก็ตามที่ได้ยินต้องรู้สึกสิ้นหวัง แต่สีหน้าของสวีโหย่วหรงยังคงสงบนิ่ง นางถาม “ขาดไปมากน้อยเพียงไร”
รกายมนุษย์มีเส้นลมปราณเจ็ดสิบสองเส้นและมีจุดลมปราณสามร้อยหกสิบห้าจุด
ในฐานะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่เด็ก นางย่อมรู้มากกว่าทุกคนในเรื่องตำแหน่งทิศทางของเส้นลมปราณและจุดลมปราณ นางเข้าใจถึงความร้ายแรงที่เกิดจากเส้นลมปราณขาดอย่างชัดเจน
นางเป็นห่วงสถานการณ์ของเฉินฉางเซิงมาก แต่นางต้องเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้การรักษาในอนาคตแม่นยำมากขึ้น
หลังจากเงียบไปนาน ผู้เฒ่าความลับสวรรค์จึงกล่าว “ทั้งหมดเลย”
“ทั้งหมดหรือ” สวีโหย่วหรงย้ำ
คิ้วเรียวบางโค้งขึ้นดูประดุจกระบี่
ดวงตาสว่างสดใสดั่งน้ำฤดูสารทของนางหรี่ลงดูคล้ายกับกระบี่เช่นกัน
นางไม่เชื่อคำพูดผู้เฒ่าความลับสวรรค์ หากเฉินฉางเซิงล้มเหลวในการทะลวงผ่านและแสงดาวไหลย้อนกลับ จากบันทึกการแพทย์เกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ในอดีต ไม่ว่าการสะท้อนกลับจะรุนแรงเพียงไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่เส้นลมปราณทั้งหมดจะขาดในเวลาอันสั้นเช่นนี้
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์อธิบาย “เส้นลมปราณของเขามีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว ในอดีตข้ารู้เพียงเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่าปัญหาจะรุนแรงเพียงนี้”
สวีโหย่วหรงมองดูเฉินฉางเซิงบนเก้าอี้ยาว จ้องมองไปที่ดวงตาซึ่งปิดสนิท แก้มที่ขาวซีด นางถาม “เส้นลมปราณของเขามีปัญหาเช่นไร”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตอบ “วงตะวันที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิด ถูกทำลายตอนอยู่ในครรภ์ ทำให้เส้นลมปราณติดขัดตีบตัน ในขณะเดียวกันผนังเส้นลมปราณก็อ่อนแอกว่าคนทั่วไป”
ได้ยินดังนั้นสวีโหย่วหรงก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน สายตาที่มองดูเฉินฉางเซิงมีประกายความเวทนาอาลัย
“แล้วไยปัญหาถึงเกิดขึ้นในตอนนี้”
“ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าปัญหาจะเกิดขึ้นในตอนนี้ ดูเหมือนว่ายามที่เขาทะลวงผ่าน แสงดาวได้สาดส่องลงมาทำลายผนังเส้นลมปราณโดยตรง”
“ปัญหานี้…ทำไมเขาไม่เคยพยายามแก้ไขมาก่อน”
“นี่คือความเจ็บป่วย ไม่มีทางรักษา”
“ไม่มีการเจ็บป่วยใดที่ไม่มีทางรักษา” สวีโหย่วหรงตอบอย่างใจเย็นพลางมองไปที่เฉินฉางเซิงที่หมดสติ
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองดูนางด้วยประกายตาสงสาร กล่าวว่า “นี่เป็นความเจ็บป่วยที่เขาได้รับมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นี่คือชะตาของเขา”
ไม่มีการเจ็บป่วยใดที่ไม่มีทางรักษาอยู่ในโลกเช่นนั้นหรือ
มีสิ มันเรียกว่าชะตา
……
……
หินผนึกปรากฏขึ้นท่ามกลางลมหิมะอย่างฉับพลัน
ราชามารยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองเสวี่ยเหล่า มองดูแว่นแคว้นที่เขาปกครอง สีหน้าเรียบเฉยอย่างที่สุด ภูเขาแม่น้ำที่พังทลายบนใบหน้าได้หายไปแล้ว
ในพายุหิมะ ร่างเล็กผอมบางเดินมาช้าๆ และคุกเข่าต่อหน้าเขา
“ลุกขึ้น” ราชามารกล่าวอย่างเรียบเฉย
นางลุกขึ้น สีหน้าเรียบเฉยยิ่งกว่าราชามารเสียอีก น้ำเสียงก็เย็นชากว่า “เสด็จพ่อ ข้าอยากจะไปจิงตู”
ยามกล่าวคำพูดนี้ นางก็คิดถึงเรื่องในสวนโจวและคำพูดที่เฉินฉางเซิงกล่าวกับนาง นางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เหตุนี้ระยะห่างระหว่างดวงตาทั้งสองของนางจึงดูเหมือนจะลดลงเล็กน้อย
“ไม่ได้” ราชามารปฏิเสธอย่างไม่ยินดียินร้ายพลางมองธิดา
สีหน้าของหนานเค่อไม่เปลี่ยนไป “เฉินฉางเซิงจะกลับไปจิงตู”
ราชามารรับฟังเงียบๆ
เมื่อครู่นี้ ลูกพลับบนต้นที่เขานำกลับมาจากหานซานได้สุกและร่วงลงบนบันไดหยกขาว แหลกเหลวเป็นเนื้อผลไม้เละๆ เฉกเช่นศีรษะที่ถูกทุบจนแหลก
เพราะเขาสัมผัสได้ จึงเข้ามาในพายุหิมะเพื่อมองแคว้นของตน ครุ่นคิดถึงเรื่องการมีอายุยืน (ฉางเซิง)
การมีอายุยืนของเขาก็เรียกว่าฉางเซิงเหมือนมนุษย์ผู้นั้น
“ข้าสงสัยว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้กินผลไม้นั้น”
ราชามารกล่าวต่อ “ไม่มีใครต้านทานความยั่วยวนนั้นได้ เช่นเดียวกับพี่ของเจ้า”
กลิ่นหอมของผลไม้สุกงอมก็เหมือนกับบัลลังก์ราชามารซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุด
หนานเค่อตอบอย่างเยือกเย็น “ข้าจะฆ่าเขา”
ไม่รู้ว่าคำว่า ‘เขา’ นี้หมายถึงเฉินฉางเซิงหรือพี่ชายของนาง
……
……
นักพรตจี้กับอวี๋เหรินเข้าสู่จิงตูและไม่ได้เข้าสู่จิงตูเช่นกัน
พวกเขาไปยังสุสานเทียนซู ในสวนผลไม้ทางตะวันออกของสุสาน เขาพบกระท่อมให้อาศัยอยู่ชั่วคราว
บางทีอาจเป็นเพราะการมีอยู่ของสุสานเทียนซู จึงไม่มีใครในจิงตูสัมผัสได้ถึงการกลับมาของพวกเขาซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุล้างเลือดในสำนักฝึกหลวง
ผู้พิทักษ์สุสานนั่งอยู่ใต้ศาลาที่ปลายถนนเสิน ขุนพลเทพอันดับหนึ่งแห่งต้าลู่ฮั่นชิงก็ดูเหมือนจะหลับอยู่
คิมหันต์ผ่านไปอย่างเงียบงัน ฤดูสารทกำลังจะมาถึง
อวี๋เหรินเดินออกไปยังสวนใกล้ๆ เพื่อเก็บพริกไทย ด้วยว่าเดินได้ลำบาก เดินไปได้ไม่ไกลก็เริ่มเหนื่อยแล้ว จึงยื่นมือออกไปพิงต้นไม้เพื่อพักสักครู่
ด้วยการสัมผัสที่แผ่วเบานี้ ผลไม้จำนวนหนึ่งก็ตกลงจากต้นไม้ กลิ้งไปตามพื้น พวกมันคงสุกงอมอยู่ก่อนแล้ว
อวี๋เหรินแสดงสีหน้าพอใจ ย่อกายลงเก็บผลไม้ หมายจะให้อาจารย์ลองชิมดูคืนนี้
แต่ทว่าเมื่อมือของเขาสัมผัสกับผลไม้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ เขารู้สึกเศร้าอย่างล้ำลึก
เขารู้สึกคิดถึงศิษย์น้องขึ้นมาเต็มหัวใจ
……
……
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์คือต้นกำเนิดความรู้ทั้งมวลของนิกายหลวง
ท้องฟ้าพร่างดาวเป็นแรงขับดันทั้งหมดของนิกายหลวง
ทั้งหมดล้วนเป็นชะตา
ผู้มีศรัทธาล้วนแต่ให้ความเคารพ
ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้สืบทอดนิกายหลวงทางตอนใต้ก็ย่อมมิใช่ข้อยกเว้น
สวีโหย่วหรงได้รับอบรมสั่งสอนเช่นนี้มาตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก และความเชื่อเหล่านี้ก็ฝังลงในกระดูกของนางมานานแล้ว นางไม่อาจเป็นเหมือนหวังจื่อเช่อและเฉินฉางเซิงที่กล่าวว่า ‘ข้าไม่เชื่อในชะตา’
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าวว่าอาการป่วยของเฉินฉางเซิงไม่อาจรักษาได้ นี่คือชะตา
นางก้มหน้าขนตาสั่นระริก
“ข้าอยากนำเขากลับจิงตู จักรพรรดินีกับใต้เท้าสังฆราชต่างก็อยู่ที่นั่น พวกเขาสามารถรักษาได้”
“ไม่มีใครรักษาได้”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มองนางและกล่าวอย่างจริงจัง “จักรพรรดินีต่อต้านสวรรค์เปลี่ยนชะตาได้ แต่เจ้าเล่า”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวีโหย่วหรงก็ตอบ “บางทีข้าอาจทำไม่ได้ แต่ข้าอยากลอง”
นางเชื่อและนับถือชะตา อาจถึงกับยินดียอมรับชะตาทุกอย่างด้วยความสุขุม ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
แต่นางไม่อาจยอมรับชะตาอันโศกเศร้าและไม่ยุติธรรมที่เกิดกับเฉินฉางเซิง
นางปล่อยมือเฉินฉางเซิง แล้วเลื่อนมือไปวางไว้หน้าผากเฉินฉางเซิง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์รู้ว่านางต้องการจะทำอะไรจึงกล่าวเตือน “อย่าได้ใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ มันจะทำให้อาการเจ็บป่วยของเขาแย่ลง”
สวีโหย่วหรงไม่ตอบ ดูเหมือนนางไม่มีเจตนาที่จะยกมือออก
น้ำเสียงผู้เฒ่าความลับสวรรค์เย็นลงกว่าเดิม “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”
สวีโหย่วหรงตอบอย่างเฉยชา “ใช่”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็ถาม “ทำไม”
สวีโหย่วหรงเงยหน้ามองเขาและตอบอย่างใจเย็น “เพราะท่านไม่ลงมือ”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ยอมรับว่าเขารู้ปัญหาเส้นชีพจรของเฉินฉางเซิง ซึ่งหมายความว่าเขาได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้แล้ว
เมื่อกระบี่วิถีสวรรค์ของกวนไป๋ร่วงลงมา ตามเหตุผลเขาเป็นคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้
ทว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ยังนั่งอยู่ที่เดิมบนแทนสูง
สวีโหย่วหรงจ้องมองผู้เฒ่าความลับสวรรค์อย่างใจเย็น
ทั้งวัยวุฒิและการบำเพ็ญเพียร นางอ่อนด้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้นำแห่งแปดมรสุม
แต่กระนั้นนางคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ หนึ่งในตัวแทนของขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหลวง
ความสงบของนางมีความยิ่งใหญ่ คำถามของนางเฉียบคม “ท่านไม่ได้หวังให้เขาตายจริงหรือ”
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์หันไปทางเฉินฉางเซิงที่หมดสติอยู่ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าว “ข้าบอกเขาแล้วว่าหากเขาบำเพ็ญเพียรต่อไป จะปัญหาเกิดขึ้น แต่เขาไม่ฟัง ดังนั้นเขาจะกลายเป็นปัญหาของจักรพรรดินี หากเจ้าปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไป แล้วใครจะแก้ปัญหานี้ให้กับจักรพรรดินีในอนาคต”
เขาไม่ตอบคำถามของสวีโหย่วหรงโดยตรง แต่ก็ยอมรับโดยนัย
สวีโหย่วหรงจ้องตาผู้เฒ่าความลับสวรรค์และถาม “ปัญหาของเขาเกี่ยวอะไรกับจักรพรรดินี”
“ข้าถูกเรียกว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์ แต่ต่อให้ข้าใช้จิตจนเหนื่อยล้า ก็ทำได้แค่มองดูหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้น ข้ารู้ถึงผลไม่อาจรู้ถึงเหตุ”
กล่าวแล้วผู้เฒ่าความลับสวรรค์ก็เอามือไพล่หลังเดินออกจากบ้าน
ในฐานะคนรุ่นเดียวกับราชามาร ยอดฝีมือที่อายุมากที่สุดในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินต้าลู่ เขาชรามากแล้วจริงๆ แม้แต่หลังก็งองุ้มอยู่บ้าง
อันที่จริง ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ชอบพูดคุยกับคนหนุ่มสาว เขาเต็มใจที่จะสนับสนุนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในอดีตก็เพราะเหตุเดียวกัน เขาชมชอบสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงอย่างมาก เดิมทีมีความตั้งใจที่จะอธิบายให้สวีโหย่วหรงฟังว่าเขาจงใจใช้ค่ายกลหินสวรรค์ขังราชามารไว้ในหานซาน และเมื่อราชามารทะลวงออกไป เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่พูดอะไร
เพราะแม้การบาดเจ็บของเขาจะเป็นเรื่องจริง แต่การที่เขาต้องการให้เฉินฉางเซิงตายก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ครั้นเห็นผู้เฒ่าความลับสวรรค์จากไป จิตใจของสวีโหย่วหรงก็ผ่อนคลายอยู่บ้าง ท่าทางของนางที่แหลมคมราวกับกระบี่ก็กลับคืนสู่ความอ่อนโยนในที่สุด
ในตอนนั้นเองที่เยี่ยเสี่ยวเหลียน ศิษย์หญิงของสถานศึกษาหนานซี มาถึงด้านนอกและหมอบลงที่หน้าประตู “มีเรื่องด่วนรายงานเจ้าวิหาร”