ตอนที่ 1322 แสงที่ทำลายความมืด

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1322 แสงที่ทำลายความมืด โดย Ink Stone_Fantasy

แต่พาซาร์นั้นมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน

ร่างต้นแบบนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยดวงตาในการมองเห็น สำหรับเธอ อาลิเธียและเซลีนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนวดเส้นไหนก็สามารถใช้แทนดวงตาได้ ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงไม่สามารถสวมใสของที่ใช้กันแสงได้

ถึงแม้โรแลนด์จะเคยเตือนแล้วว่าให้พยายามหลีกเลี้ยงการมองดูระเบิดตรงๆ ในเวลา 5 วินาทีหลังจากระเบิด แต่จนถึงวินาทีสุดท้ายเธอก็ยังไม่เบือนสายตาหนีไปไหน

ไม่ใช่แค่เธอ แต่เพื่อนเธออีกสองคนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

ไม่ว่าไม่ก็ไม่คิดอยากจะพลาดภาพเหตุการณ์ที่เฝ้ารอมาแสนนาน

มนุษย์สามารถเอาชนะปีศาจได้งั้นเหรอ?

ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่แม่มดผู้รอดชีวิตของทาคิลาหลบซ่อนอยู่ใต้ดิน ไม่มีใครที่จะกล้าถามคำถามนี้ออกมา ในตอนนั้นพวกเธอเฝ้าอดทนก็เป็นเพราะภาระหน้าที่ แล้วก็ทำเพื่อพี่น้องแม่มดที่สละชีวิตตัวเองไป ส่วนผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร เพียงแค่พวกเธอคิดนิดเดียวก็ทำให้ภายใจเกิดอาการต่อต้านขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเธอกลัวว่ามันจะไปทำลายความพยายามและจิตใจแห่งการต่อสู้ของพวกเธอ ภาพเพดานถ้ำสีดำที่พวกเธอมองเห็นอยู่ทุกวันคือความรู้สึกที่ฝังลึกที่สุดในความทรงจำของพวกเธอ

แต่ความมืดมิดนี้ก็ได้ถูกแสงสีน้ำเงินอันเจิดจ้าทำลายลงแล้ว

มันไม่ใช่สีน้ำเงินล้วน แล้วก็ไม่เหมือนพวกสี อัญมณีหรือว่าน้ำทะเล พาซาร์ยากที่จะนิยามมันออกมาได้ มันเหมือนแสงสีขาวที่ขาวอย่างมาก ขาวจนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่ามันกลายเป็นสีน้ำเงิน

แสงสว่างนั้นขยายตัวไปตามเส้นตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่องสว่างพื้นดินขึ้นมาในพริบตา!

เธอตกตะลึง!

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นว่านอกจากพระอาทิตย์กับพระจันทร์แล้ว มันยังมีสิ่งที่สามารถส่องสว่างพื้นทวีปได้อยู่อีก เธอไม่ได้ตาฝาด เธอมองเห็นพื้นหิมะที่เดิมตกอยู่ในความมืดกลับมาสว่างเหมือนในเวลากลางวันอีกครั้ง ต้นไม้แต่ละต้นทอดเงาลงบนพื้นหิมะ ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่กึ่งกลางของแสงสีขาว โครงร่างก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน พาซาร์รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทิ่มแทงเข้ามา ผิวหนังเหมือนกำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้อยู่ แล้วนั่นก็เป็นความรู้สึกในตอนที่เธอออกไปอยู่กลางแดดในเวลากลางวัน

แต่ในใจเธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เธอกลับกางหนวดทั้งหมดเพื่อรับเอาแสงที่ทำลายความมืดนี้เอาไว้

ถ้ามันสามารถนำพาเอาความหวังมาให้มนุษย์ได้ ความเจ็บปวดแค่นี้มันจะน่ากลัวตรงไหน?

มันมีแต่จะทำให้เธอยิ่งมีความสุขมากกว่า!

ลำแสงส่องสว่างอยู่ไม่ถึงหนึ่งวินาที จากนั้นแสงสีน้ำเงินก็เปลี่ยนเป็นสีขาว จากสีขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นพื้นดินก็สั้นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง กระแสอากาศที่โถมเข้ามาพัดเอาเศษหิมะเข้ามาปะทะกับกำแพงบังเกอร์จนส่งเสียงดังเปาะแปะๆ สุดท้ายก็เป็นเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวที่ดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน คล้ายกับว่าพื้นดินกำลังส่งเสียงคำรามอยู่อย่างไรอย่างนั้น

หลังเสียงระเบิดผ่านไป โลกถึงจะกลับมาสงบลงอีกครั้ง

บนพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปมีเมฆรูปทรงประหลาดปรากฏขึ้นมาก้อนหนึ่ง ด้านบนของมันมีขนาดใหญ่ แต่ด้านล่างมีขนาดเล็ก ดูแล้วเหมือนเห็ดที่กำลังงอกขึ้นไปด้านบน ส่วนปลายด้านบนสุดของเห็ดยังคงมีเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชนอยู่

อาศัยพลังของตัวเองในการส่องสว่างทั่วทั้งท้องฟ้า นี่เป็นสิ่งที่อาวุธชนิดไหนก็ไม่มีทางเทียบได้

ขนาดอยู่ห่างออกมา 15 กิโลเมตรยังรับรู้ได้ถึงอานุภาพของมัน แล้วถ้าไปอยู่ใกล้ๆ มันล่ะ?

พาซาร์นึกภาพอาวุธใหม่นี้ไประเบิดอยู่กลางฝูงปีศาจออกทันที

เดิมเธอคิดว่าภาพการระดมยิงปืนใหญ่นับร้อยกระบอกมันเป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับภาพเหตุการณ์นี้ ภาพการระดมยิงปืนใหญ่นั้นดูไม่มีค่าให้พูดถึงเลย

ถ้าบอกว่าการแสดงยิงปืนใหญ่เมื่อสองปีก่อนได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับแม่มดทาคิลาทุกคน อย่างนั้นการทดสอบอาวุธในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าทำให้แนวคิดกว่าจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาใหม่ในหัวของเธอต้องพังทลายลงอีกครั้ง

“เฮ!”

ภายในศูนย์บัญชาการและห้องสังเกตการณ์พลันมีเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีระเบิดขึ้นมาทันที

หนวดหลักของแม่มดระดับสูงทั้งสามกอดรัดเข้าด้วยกัน

‘นี่คือสิ่งที่พวกเราสร้างออกมาได้จริงๆ เหรอ?’ เป็นครั้งแรกที่อาลิเธียไม่ได้ใช้คำพูดแบ่งแยกเช่นคนธรรมดาหรือคนทั่วไป

‘แน่นอน! ข้าเป็นคนรับผิดชอบทำเปลือกบางส่วนนะ’ น้ำเสียงของเซลีนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ‘แต่บอกตามตรง ข้าไม่คิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะเป็นเหมือนอย่างที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้ๆ จริง…’

‘ทำไมล่ะ?’

‘เอ่อ…เพราะว่าพวกผู้ปกครองชอบใช้คำพูดสวยหรูมาล่อลวงทุกคนใช่ไหมล่ะ ในตอนนั้นสามผู้นำเองก็ใช้วิธีแบบนี้มากระตุ้นพวกเราเหมือนกัน…เดี๋ยวๆ ข้าไม่ได้หมายความว่ามันไม่ถูกนะ พวกเจ้าอย่าไปบอกฝ่าบาทโรแลนด์นะ!’

‘เอาล่ะๆ’ พาซาร์พูดตัดบท ‘ตอนนี้พวกเจ้าคิดว่าผลของสงครามแห่งโชคชะตาจะออกมาเป็นยังไง?’

‘พวกเราเอาชนะได้ พวกเราเอาชนะได้แน่!’ เซลีนตอบโดยไม่ต้องคิด

‘ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะไม่ต้องยืดเยื้อไปถึงพระจันทร์สีแดงครั้งหน้าด้วย’ อาลิเธียเองก็แสดงออกว่าเห็นด้วย

เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ มาตรฐานของชัยชนะที่พวกเธอคิดเอาไว้คือป้องกันการโจมตีของปีศาจ อดทนรอจนสงครามแห่งโชคชะตาจะจบลง พัฒนาไปอีก 400 ปีแล้วค่อยมองหาโอกาสใหม่

แต่ไม่ทันไร มาตรฐานชัยชนะที่ว่านี้ก็เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิมเยอะมาก

‘อย่างที่คิดเอาไว้เลย…’ ในที่สุดพาซาร์ก็หัวเราะขึ้นมา ‘พวกเราคิดเหมือนกันเลย’

มนุษย์เอาชนะปีศาจได้

ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะรวดเร็วกว่าที่พวกเธอคิดเอาไว้ด้วย

เพราะความมืดอันนั้น มันไม่มีเหลืออยู่แล้ว

…..

ในกลุ่มคนที่กำลังโห่ร้องแสดงความยินดี มีเพียงโรแลนด์กับอันนาสองคนเท่านั้นที่ยังรักษาความเยือกเย็นเหมือนอย่างปกติเอาไว้

“ผลเป็นยังไงบ้างเพคะ?” อันนาถอดแว่นตาดำออกพร้อมถาม

“อย่างนั้นพวกเราก็ก้าวก้าวแรกออกไปแล้ว” โรแลนด์พูดพร้อมผายมือ ตัวลั่นไกของอุปกรณ์ทดสอบครั้งนี้คือปฏิกิริยาฟิชชันอย่างไม่ต้องสงสัย แสงสว่างอันเจิดจ้านั้นคือเครื่องยืนยัน ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงแต่ระเบิดเป็นพันกิโลกรัมนั้นไม่สามารถทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงขนาดนี้ได้ แต่เมื่อดูจากคลื่นกระแทกและเสาควันที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าผลของมันต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว ตามหลักแล้วมันควรจะรุนแรงกว่านี้ “ส่วนผลการทดสอบอย่างละเอียด เดี๋ยวต้องรอให้ทางศูนย์บัญชาการเก็บรวบรวมตัวเลขทั้งหมดมาแล้วถึงจะทำการวิเคราะห์ได้”

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง หน่วยทดสอบแต่ละหน่วยได้นำเอา ‘อุปกรณ์ทดสอบ’ ที่ติดตั้งเอาไว้รอบๆ ลานทดสอบกลับมา —- อุปกรณ์ทดสอบที่ว่าก็คือกระดาษ เนื่องจากเทคโนโลยีที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถวัดน้ำหนักสมมูลของระเบิดได้ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงคิดที่จะใช้กระดาษมาวัดความรุนแรงของมัน

ในตอนที่คลื่นอากาศพัดมาถึงที่นี่ กระดาษเหล่านี้จะถูกพัดจนลอยขึ้นไปในอากาศ และเมื่อได้รับอิทธิพลจากแรงลมระเบิด ระยะทางที่พวกมันตกก็จะไกลออกไปจากตอนแรก ด้วยความต่างนี้ก็จะทำให้สามารถคาดคะเนน้ำหนักสมมูลคร่าวๆ ของระเบิดได้ — โรแลนด์ไม่จำเป็นต้องไปคำนวณด้วยตัวเอง เขาก๊อปปี้เอาตารางวัดค่าทั้งหมดมาจากโลกแห่งความฝันแล้ว หลังจากนี้แค่เอาตัวเองมาเทียบกันก็พอ

ถึงแม้วิธีนี้จะมีความคลาดเคลื่นอยู่ แต่มันก็เพียงพอที่จะใช้ในการชี้นำการทดสอบ

และข้อสรุปที่ได้ออกมาก็คลาดเคลื่อนจากที่คิดเอาไว้ตอนแรกไม่เท่าไร

อานุภาพของระเบิดต้นแบบครั้งนี้แค่ประมาณน้ำหนักสมมูลของระเบิดทีเอ็นทีประมาณ 3,000 ตัน ซึ่งยูเรเนียม 235 ที่ใส่เข้าไปนั้นอยู่ที่ 40 กิโลกรัม ถ้าบอกว่าระเบิดประมาณู ‘ลิตเติ้ลบอย’ ที่ใช้ในสงครามจริงลูกแรกนั้นมีวัตถุดิบแค่ 6% ที่เข้าไปอยู่ในปฏิกิริยาฟิชชั้น น้ำหนักสมมูลของระเบิดครั้งนั้นคือระเบิดทีเอ็นที 13,000 ตัน อย่างนั้นการทดสอบครั้งนี้ที่มีอัตราการใช้วัตถุดิบไปไม่ถึง 2% ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘เดอร์ตี้บอมบ์’ แล้ว

แต่แน่นอน จะบอกว่าโรแลนด์ผิดหวังมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะในประวัติศาสตร์อาวุธมันไม่มีมาตรฐานของเดอร์ตี้บอมบ์ที่ชัดเจน ถ้าเทียบกับระเบิดนิวเคลียร์กว่า 70 – 80% ที่ใช้กันบ่อยๆ แล้ว ระเบิดปรมาณูรุ่นเก่าแก่ที่ใช้ในสงครามจริงเหล่านี้นั้นสามารถถูกจัดให้อยู่ในระเบิดประเภทเดอร์ตี้บอมบ์ได้ กระสุนปืนใหญ่ขนาด 152 มม.ที่มีดินปืนแค่ไม่กี่กิโลยังสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างน่าตกใจ แล้วนับประสาอะไรกับระเบิดทีเอ็นที 3,000 ตันล่ะ

สำหรับการทดลองแล้ว ระเบิดทดลองหมายเลข 1 นั้นไม่ถอว่าประสบความสำเร็จมากเท่าไร แต่มันก็ยังเป็นอาวุธที่รุนแรงอย่างมากอยู่

“ดูเหมือนหนทางนี้ต้องใช้เวลาเดินอีกยาวนานนะเพคะ” อันนาวางตารางที่อยู่ในมือพร้อมถอนหายใจออกมา แต่ในดวงตาของเธอกลับไม่ได้มีความท้อแท้แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มันกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม

“ถูกต้อง” โรแลนด์พยักหน้า

เขาไม่ได้คิดว่ามันจะสำเร็จภายในครั้งเดียวอยู่แล้ว หลังจากนี้ก็คือการหาสาเหตุ ปรับปรุงแก้ไขจนกว่ามันจะสามารถแข่งกันเปล่งแสงกับพระอาทิตย์ได้จริงๆ

……………………………………………………..