หวงฝู่อวี้คิดไว้แล้วว่านางจะต้องยื่นมือออกมาตี จึงชิงยื่นมือออกไปจับมือทั้งสองข้างของนางไว้ก่อน
ครึ่งตัวบนของเจียงจิ่นขยับไม่ได้ จึงโกรธมาก ยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปอย่างรุนแรง โดนไปที่ขาของหวงฝู่อวี้พอดี
หวงฝู่อวี้ปวดจนตาถลน เจียงจิ่นที่ได้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขา ก็ยังไม่พอใจ กดเท้าลงไปอีก
หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวแล้ว เลยปล่อยนาง แล้วร้อง โอ้ยๆ
เจียงจิ่นเป็นอิสระ ใช้มือเช็ดที่ริมฝีปากของตน จ้องไปที่หวงฝู่อวี้ด้วยความโกรธ
หวงฝู่อวี้กอดขาของตนเดินวนไปวนมา แล้วด่าว่า “นี่เจ้า ลงเท้าหนักขนาดนี้ ข้าเป็นคนที่ช่วยเหลือเจ้าเอาไว้แท้ๆ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้งั้นรึ”
เจียงจิ่นที่กำลังโกรธ เลยพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์นัก “คุณชายรอง ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าขอบคุณท่านจากใจจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเหยียดหยามข้าอย่างไรก็ได้”
“เหยียดหยามเจ้าอะไรกัน ข้าเหยียดหยามเจ้าเมื่อใด เดี๋ยวพวกเราก็จะได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว ข้าจะจูบเจ้าหน่อยไม่ได้หรือไง” หวงฝู่อวี้เดินไปก็พูดไป
“ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ไปสู่ขอข้า พวกเราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน วันนี้ที่ท่านอุ้มข้าขึ้นหลังม้าต่อหน้าครอบครัวของข้า ข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่นึกเลยว่าท่านจะไม่ระวังการกระทำของตนเอง ถึงได้ ถึงได้ ถึงได้ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้กับข้าได้” พูดถึงตอนท้าย เสียงของนางก็เริ่มสะอื้น
หวงฝู่อวี้ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เท้าแล้ว ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างเรียบร้อย “เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้สิ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำเกินเรื่องไปหน่อย ข้าขอรับรองว่าหลังจากนี้จะไม่ทำกับเจ้าเช่นนี้อีกแล้ว
“คุณชายรอง พูดคำไหนคำนั้นหรือไม่” แม่ว่าเจียงจิ่นจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่น้ำตาก็ยังคงค้างอยู่ในดวงตา ทำให้นางช่างดูงดงามแบบหญิงสาวผู้ดื้อรั้นยิ่งนัก
หวงฝู่อวี้นิ่งอึ้ง กลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก แล้วให้สัญญาว่า “แน่นอน… ว่าไม่”
พูดจบ เขาพุ่งตัวเข้าไป กอดเจียงจิ่นเอาไว้แน่น กอดนางแล้วเดินไปล้มลงที่เตียง ริมฝีปากก็บดเบียดลงไป
เสียงร้องของเจียงจิ่นก็โดนเขาใช้ปากปิดเอาไว้
ทั้งเรือนร่างโดนกดเอาไว้ เจียงจิ่นไม่สามารถขยับได้ น้ำตาแห่งความโกรธก็ไหลริน
แต่หวงฝู่อวี้เหมือนโดนผีเข้า กดนางเอาไว้ไม่ปล่อย จนกระทั่งเจียงจิ่นที่ถูกจูบนั้นล้มเลิกความคิดที่จะขัดขืน ปล่อยร่างกายของตนให้เขาจูบจนพอใจ จนเขาปล่อยตัวนาง เห็นแก้มแดงสีชาดของนางแล้ว พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้กับเจ้า เป็นเพราะข้าชอบเจ้า ในใจของข้านั้นมีเจ้า ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวลือในเมืองหลวงเลย แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่ช่วยเจ้าด้วย”
เจียงจิ่นได้แต่อ้าปากค้าง มองเขาอย่างตกตะลึง
หวงฝู่อวี้ก็เข้าใจว่านางยินยอม ก็เลยใช้ปากบดจูบลงไปอีกครั้ง
ครั้งนี้เจียงจิ่นไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ยื่นมือออกมาโอบไปที่เอวของเขา
เมื่อพระชายาฉีเห็นเจียงจิ่น ปากแดงๆ ของนางก็ทำให้เข้าใจได้โดยทันที เลยสั่งให้แม่สื่อไปที่จวนเจียงอีกครั้งหนึ่ง
หมอหลวงเจียงและที่เหลือเพิ่งจะถึงจวน ยังไม่ทันได้ย้ายข้าวของลงจากรถม้า ก็เห็นแม่สื่อมา จึงรีบพากันให้เข้าไปที่ห้องรับแขกทันที
ทั้งสองฝ่ายต่างยินยอม เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้มีปัญหาใดอีก หลังจากที่แม่สื่อและหมอหลวงเจียงกับภรรยาได้กำหนดวันแต่งงานอย่างดีอกดีใจแล้วนั้น นางก็นั่งรถกลับไปที่จวนอ๋องด้วยความปลาบปลื้ม รายงานข่าวดีให้กับพระชายาฉีทันที
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้แต่แรก พระชายาฉีก็ยังคงดีใจเป็นอย่างมาก เลยตบรางวัลให้กับแม่สื่ออีกยี่สิบตำลึง
ได้เงินเพิ่มอีกยี่สิบตำลึง แม่สื่อก็ยิ้มหน้าบานเป็นธรรมดา พูดขอบพระคุณไม่ขาดปาก
หวงฝู่อวี้จะแต่งงาน เป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งวุ่นไปโน่นมานี่ตั้งหลายวัน ถึงจะเตรียมการพร้อมจนพระชายาฉีพอใจ เมื่อถึงวันที่หมั้นหมาย พระชายาฉีกับแม่สื่อก็ไปสู่ขอที่จวนเจียงด้วยตนเอง
คิดไม่ถึงว่าพระชายาฉีจะมาเอง คนในจวนเจียงต่างก็ลุกลี้ลุกลน ท่านย่าและท่านแม่ของเจียงจิ่น รวมไปถึงท่านน้าก็เข้ามาต้อนรับนางอย่างเกร็งๆ
พูดเรื่อยเปื่อยกันไป เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของพระชายาฉีแล้ว ดูเหมือนว่าจะดีใจกับการหมั้นหมายในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทั้งสามคนก็โล่งอก
พระชายาฉีเห็นท่าทางโล่งอกของพวกเขา จึงพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นกับเรื่องวันแต่งงานขึ้นมา
ทั้งสามคนต่างตกใจ เจียงซื่อจึงบอกว่า “ขอประทานอภัยพระชายา จิ่นเอ๋อร์เพิ่งจะหมั้นหมาย อีกตั้งสองเดือนถึงจะแต่งงาน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกเจ้าค่ะ พวกเรายังไม่ได้เตรียมสินเดิมให้กับนางเลยเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรู้ว่าพวกเขากำลังถ่วงเวลา เหตุเพราะว่าไม่อยากให้ลูกสาวของตนนั้นแต่งงานเร็ว นางจึงยิ้มแล้วอธิบาย “อวี้เอ๋อร์ถึงวัยต้องแต่งงานตั้งนานแล้ว จิ่นเอ๋อร์เองก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ให้พวกเขาแต่งงานกันไวๆ พวกเราเองก็จะได้สบายใจไวๆ ด้วยเช่นกัน”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงลูกสาวที่เดินไปเดินมาเห็นหน้ากันทุกวันกำลังจะแต่งออก ทั้งสามคนก็อาลัยอาวรณ์ ต่อรองกันด้วยความประณีประนอม จนสุดท้ายถ่วงเวลาได้ไปจนถึงครึ่งปีหลัง
แม้พระชายาฉีจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่ควรต่อรองอีก จึงพยักหน้าตอบรับไป
ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงเรื่องงานแต่งงานกันอย่างปลื้มใจ คนในจวนเจียงก็เริ่มเตรียมงานแต่งกันแล้ว แต่พวกนางก็เริ่มพบปัญหาบางอย่าง ก็คือคุณชายรองมารับนางที่จวนบ่อยเหลือเกิน ด้วยสถานะของเขา ทำให้คนในจวนเจียงไม่มีใครกล้าห้ามปรามเขาเลยสักคน
เจียงซื่อก็จนปัญญา ทำได้เพียงย่องไปบอกนางตอนที่เจียงจิ่นยังอยู่ที่ในเท่านั้นว่าเกิดเป็นหญิงต้องรักนวลสงวนตัว ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งงานห้ามทำเรื่องบัดสีเป็นอันขาด
เจียงจิ่นก็เข้าใจในความหมายของนาง หน้าแดงอธิบายไปว่า “ท่านแม่ ท่านคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเจ้าคะข้าไปจวนอ๋อง เป็นเพราะซื่อจื่อเฟยนั้นวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ทุกครั้งที่ข้าคุยกับนาง ข้าก็จะได้อะไรดีๆ กลับมาเสมอเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตอนที่เจียงจิ่นอาบน้ำ ก็เลยไปแอบดู เห็นว่าแต้มแดงพรหมจรรย์ของนางยังอยู่ ก็เลยรู้ว่านางพูดความจริง ใจที่เป็นกังวลก็เลยวางลงได้
แต่นางคาดไม่ถึงว่าเจียงจิ่นนั้นไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เพราะว่าหลังจากที่หวงฝู่อวี้มารับตัวนางไป ใช่ว่าจะพากลับจวนอ๋องทุกครั้ง บางทีก็พานางไปสำรวจร้านค้า บางทีก็พานางไปดูที่นานอกเมือง ให้นางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ทั้งสองบ่มเพาะความรักของกันและกัน
ในสายตาของเจียงจิ่น แม้คุณชายรองจะมุทะลุบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ก็เอาใจใส่ตนเองอย่างดี เอ็นดูตนเองเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะบุ่มบ่ามไปหน่อย แต่ยิ่งทำให้เขาน่าสนใจยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องที่เขาชอบใช้กำลัง เจียงจิ่นก็เคยชินไปเสียแล้ว เมินเฉยไปโดยปริยาย
วันเวลาผ่านไป เด็กทั้งสองคนก็อายุได้สิบเดือนแล้ว กำลังเริ่มตั้งไข่ แล้วก็เริ่มพูดได้นิดหน่อยว่า “ย่า… …”
พอเริ่มพูดได้แล้ว พระชายาฉีดีใจเป็นอย่างมาก สอนเด็กน้อยทั้งสองคนให้เรียกย่าในทุกๆ วัน
แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ดีใจ เพราะตนนั้นก็อยู่กับเด็กน้อยทั้งสองตลอดเวลาไม่น้อยไปกว่าพระชายาเลย แต่เหตุใดเด็กน้อยถึงได้แต่เรียกย่าแล้วไม่เรียกปู่ เขากลุ้มใจไปสักพัก หลังจากที่คิดได้แล้ว เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเวลาที่ตนอยู่กับเด็กๆ เรียกแทนตนเองว่าเสด็จปู่ตลอดเวลา เด็กยังเล็ก ยากจะออกเสียง เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เคาะหัวกะโหลกตนเองไปหลายที แล้วเปลี่ยนคำที่เรียกแทนตนเองว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ มา เรียกว่าปู่สิ”
บางทีอาจจะผิดมาตั้งแต่ต้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเด็กน้อยทั้งสองฉลาดหลักแหลม ปากของพวกเขาก็พูดออกมาพร้อมๆ กันว่า “ปู… ปู…” แม้จะไม่ค่อยชัดนัก แต่ท่านอ๋องฉีก็ฟังรู้เรื่อง อุ้มเด็กน้อยทั้งสองขึ้นมาด้วยความดีใจ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของท่านอ๋องฉีก็ดังลั่นไปทั่วจวนอ๋องกันเลยทีเดียว
ใกล้จะสิ้นปี เรื่องที่ต้องจัดการนั้นมีมากมาย หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่างไม่ว่าง อีกคนยุ่งกับการเข้าไปจัดการเรื่องในราชสำนัก ส่วนอีกคนก็คอยคิดคำนวณจัดการการค้า เมิ่งเชี่ยนโยวยังดีได้อยู่ในจวนทุกวัน ได้เดินไปดูลูกบ้าง แต่หวงฝู่อี้เซวียนนั้นไม่ใช่เลย เขาไม่ได้เห็นหน้าลูกมาหลายวันแล้ว
หลังจากที่ยุ่งวุ่นวายมาหลายวัน อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว งานของทุกคนก็เริ่มเบาลง
วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนว่างไม่ได้ออกไปไหน หลังจากที่ช่วยตรวจสอบเล่มบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เอามือไปวางที่เล่มบัญชีที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังดูอยู่แล้วพูดว่า “พวกเราไปดูลูกกัน เจ้าพักสักประเดี๋ยวเถิด อย่าให้เหนื่อยเกินไปเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้ววางเล่มบัญชีในมือลง แล้วลุกขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น เดินไปที่ราวแขวนเสื้อ แล้วหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาใส่ให้นางอย่างมิดชิด ส่วนตนก็ใส่เสื้อคลุมด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนเดินออกมาที่เรือนของพระชายาฉี
เมื่อเข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของเด็กน้อยทั้งสองคนดังออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนก็รีบเดินเข้าไปด้านใน เรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่” ถอดเสื้อคลุมหนาๆ ของตนออก แล้วยืนอยู่กับที่ รอให้ไอหนาวที่ร่างกายของตนหายไปก่อน แล้วค่อยเข้าไปใกล้ตัวเด็กน้อยทั้งสอง
เด็กน้อยทั้งสองเดินโยกเยกเข้าไปหาพวกเขา
หวงฝู่อี้เซวียนพอเห็นก็ดีใจมาก แล้วใช้มือทั้งสองอุ้มเด็กขึ้นคนละข้าง หอมลงไปที่แก้มของเด็กน้อยทั้งสอง แล้วพูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ของข้ากำลังจะโตแล้ว”
เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะออกมาอย่างดีอกดีใจ แล้วเด็กคนหนึ่งก็อ้าปากพูดออกมาไม่ขาดว่า “พ่อ…”
เด็กน้อยอีกคนหนึ่งได้ยินเข้าก็พูดตามด้วยว่า “พ่อ…”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป มือที่อุ้มเด็กทั้งสองอยู่ก็สั่นเล็กน้อย แล้วหันกลับมาถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พวกนางเรียกข้าว่าพ่องั้นรึ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนรีบหันกลับมาพูดกับเด็กน้อยทั้งสองคนว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ ไหนพูดอีกที่สิ”
เหมือนกับเด็กทั้งสองจะฟังออก เลยพูดออกมาพร้อมๆ กันอีกทีว่า “พ่อ… …”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจเข้าไปใหญ่
แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ค่อยพอใจนัก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยอยู่ที่จวนเลย เด็กน้อยทั้งสองก็มีแต่ตนกับพระชายาที่คอยดูแล แล้วเหตุใดพอเขามา เด็กทั้งสองก็เรียกพ่อได้แล้วล่ะ
พระชายาฉีดีใจเป็นที่สุด เด็กน้อยทั้งสองเรียกชื่อคนได้ อีกไม่นานคงพูดได้แล้ว
ในขณะที่ทุกคนคิดไปต่างๆ นาๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็หันกลับไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดออกมาอย่างไม่คิดว่า “หยิบเสื้อคลุมขึ้น เผ่นเร็ว!”
พูดจบ ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉียังไม่ทันได้ตั้งตัว หวงฝู่อี้เซวียนก็อุ้มเด็กน้อยทั้งสอง หันหลัง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมาย รีบหยิบเสื้อคลุมบนราวแขวนเสื้อ แล้วตามออกไป
แล้วท่านอ๋องฉีเพิ่งรู้สึกตัว นี่มันกล้ามาชิงตัวเด็กน้อยต่อหน้าต่อตาเลยรึ จึงโกรธมาก หยิบท่อนไม้ที่อยู่หน้าประตูตามหลังออกไป
พระชายาฉีสีหน้าเป็นกังวลเดินตามอยู่ด้านหลัง แล้วบอกว่า “ท่านไม่ต้องตามหรอก อากาศเย็นมาก อย่าให้เด็กเป็นไข้ล่ะ”
ท่านอ๋องฉีฟังนางเสียที่ไหน ตามไปหาหวงฝู่อี้เซวียนที่วิ่งไปไกลแล้วได้ติดๆ
หวงฝู่อี้เซวียนคิดไว้แล้วว่าเขาต้องมาไม้นี้ ครั้งนี้จึงไม่ได้วิ่งตามทางเหมือนครั้งก่อน แต่อุ้มเด็กน้อยมุ่งหน้าไปที่เรือนของตน
ท่านอ๋องฉีชะงักไป แล้ววิ่งตามเขาต่อไป
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเด็กสองคน จึงทำให้วิ่งช้า อีกนิดเดียวก็จะโดนท่านอ๋องฉีตามทันอยู่แล้ว จึงจำต้องหยุดพักเล็กน้อย แล้วอุ้มเด็กทั้งสองที่กำลังหัวเราะสนุกสนานไว้ให้แน่น แล้วหันกลับไปพูดกับท่านอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ลูกอยู่กับข้าและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ข้าเป็นพ่อของพวกนางนะขอรับ”
ท่านอ๋องฉีก็โกรธเข้าไปอีก ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น พูดออกมาว่า “ให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าสิเป็นพ่อของเจ้า รีบส่งเด็กๆ คืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนดูท่าทางเด็ดเดี่ยว พูดว่า “ไม่คืน ลูกควรอยู่กับพวกเรา ถ้าหากว่าท่านอยากจะดูลูกล่ะก็ท่านกับเสด็จแม่ก็ไปมีเพิ่มอีกคนสิ”
พระชายาฉีที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง
แต่ท่านอ๋องฉีกลับโกรธจนตาถลนออกมา แล้วใช้ท่อนไม้ในมือของตนตีลงไปที่หวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ถ้าหากว่าข้ามีลูกได้อีก จะต้องให้ข้ามาแย่งเจ้าเช่นนี้รึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำจนเจ็บท้อง
ดึงดันกันอยู่นาน หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้งาน เมื่อเห็นว่าท่อนไม้ของท่านอ๋องฉีจะฟาดลงมาเมื่อไร ก็เอาเด็กน้อยทั้งสองกันท่าเอาไว้
พระชายาฉีตกใจอย่างมาก ท่านอ๋องฉีเก็บไม้นั้นเข้าไปแทบไม่ทัน โกรธด่าว่า “เจ้าบ้า เจ้าเอาลูกมาเป็นโล่เช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ถ้าแน่จริงมาประลองกับข้า ใครชนะก็ได้เด็กไป”
“ไม่ได้” หวงฝู่อี้เซวียนให้ตายยังไงก็ไม่เปลี่ยนคำ “ลูกเป็นของพวกเรา ก็ควรอยู่กับพวกเรา”
ตีก็ไม่ได้ แย่งมาก็ไม่ได้ ท่านอ๋องฉีโมโหจนหายใจแทบไม่ทัน มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาโกรธแค้น
เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนจะเอาลูกกลับไปที่เรือนของตน พระชายาฉีก็ย่อมไม่ยอม ครั้งนี้เลยอยู่ข้างเดียวกับท่านอ๋องฉี แต่ต้องใช้ไม้อ่อนก่อน ถ้าหากว่าพูดไม่รู้เรื่องค่อยใช้ไม้แข็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่อีกทาง เห็นสถานการณ์คับขัน ก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อี้เซวียน อากาศหนาวเย็นนัก ลูกจะเป็นไข้ได้ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด”