ท่านอ๋องฉีสงสารเด็กน้อย จึงถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วโยนท่อนไม้ที่อยู่ในมือทิ้ง หันหลังเดินกลับเรือนไป 

 

 

พระชายาฉีมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วเดินตามท่านอ๋องฉีไป  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาหวงฝู่อี้เซวียน แล้วเอาเสื้อคลุมที่อยู่ในมือของตนคลุมให้กับเด็กน้อยทั้งสอง ในขณะที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังหัวเราะมีความสุข แล้วเดินกลับไปที่เรือนของพระชายาฉีอีกครั้งหนึ่งกับหวงฝู่อี้เซวียน  

 

 

ทั้งหมดนั่งลง หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่อยากวางเด็กน้อยลง 

 

 

ท่านอ๋องฉีมองขู่ไปที่เขา แล้วด่าในใจว่า ใช้ไม่ได้ ขณะนี้ได้ลืมเรื่องที่แย่งเด็กน้อยกับหวงฝู่อี้เซวียนไปจนหมดสิ้น  

 

 

และแน่นอน ว่าคงตกลงกันได้ไม่ราบรื่นแน่ ท่านอ๋องฉีเบิกตาโพลงด้วยความโกรธอีกครั้ง อยากไล่ลูกเนรคุณหวงฝู่อี้เซวียนนี้ออกจากจวนไป ไม่ต้องกลับมาอีกตลอดชีวิต  

 

 

อาจจะเป็นเพราะเสียงเรียกของเด็กน้อยมากระตุ้นหวงฝู่อี้เซวียน เลยทำให้เขาพูดจาไม่อ่อนข้อเลยสักนิด จะต้องเอาลูกของตนไปให้ได้  

 

 

สองพ่อลูกจะตีกันอีกแล้ว  

 

 

พระชายาฉีก็ร้อนรนทนไม่ไหว  

 

 

จนสุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดวิธีได้วิธีหนึ่ง จึงพูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่เจ้าคะ ข้าคิดวิธีได้วิธีหนึ่ง พวกท่านดูสิว่าเหมาะสมหรือไม่ พวกเราแบ่งวันคู่วันคี่กัน ถ้าวันไหนวันคี่ ให้อี้เซวียนเป็นคนดูแลเด็กๆ ส่วนวันคู่นั้น พวกท่านก็เอาไปดูแล และแน่นอน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่ติดอะไรล่ะก็ ในวันคี่พวกท่านก็สามารถไปที่เรือนของพวกเราเพื่อช่วยดูเด็กๆ ได้ แต่พวกนางจะต้องอยู่ในเรือนของพวกเราเท่านั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีมองหน้ากัน แต่ก็จนปัญญา ฝืนพยักหน้ารับไป 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดว่าวิธีนี้พอใช้ได้จึงไม่ได้คัดค้าน พยักหน้าเช่นเดียวกัน  

 

 

คราวนี้ ปัญหาเรื่องลูกก็หมดไป นับตั้งแต่นี้ไป จวนอ๋องแห่งนี้ เรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนแอบไปอุ้มลูกมา ท่านอ๋องฉีถือท่อนไม้ไล่ตีจะไม่มีอีกต่อไป บ่าวรับใช้ในจวนต่างพากันไม่ชินไปช่วงหนึ่ง 

 

 

แต่จะว่าไป วันคี่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ดูลูก วันคู่ท่านอ๋องฉีและพระชายาเป็นคนดู แต่ที่จริงแล้ว วันคู่นั้นท่านอ๋องฉีกับพระชายาเป็นคนดูเด็กก็จริง แต่พอถึงวันคี่ ไม่เพียงแต่พาเด็กมาที่เรือนเท่านั้น ท่านอ๋องฉีและพระชายาก็ตามมาด้วยเช่นกัน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังเข้าถึงตัวลูกไม่ได้อยู่ดี  

 

 

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลัง 

 

 

เมื่อมีกฎแล้ว วันนั้นเป็นวันคู่ ตามหลักคือจะต้องเป็นท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีดูแล หวงฝู่อี้เซวียนก็วางเด็กลงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วกลับไปที่เรือนกับเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

แต่พอนั่งลง ก็ตกอยู่ในภวังค์เสียงเรียกของเด็กน้อยและกำลังคิดเรื่องที่ไม่สามารถเห็นหน้าเด็กน้อยได้ แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอกจวน “ชิ่นจยา ข้ามาเยี่ยมพวกท่านแล้ว” 

 

 

เสียงนี้ ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขรึมขึ้นโดยทันที จึงลุกขึ้น แล้วเดินออกไปต้อนรับ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่ได้ขยับ ซุนเหลียงไฉช่างไม่รู้อะไรเสียเลย มาหาในเวลานี้ แล้วยังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก วันนี้ดูท่าจะโดนหวงฝู่อี้เซวียนซัดเสียให้เข็ด นางไม่ออกไปดูให้เสียลูกตาหรอก  

 

 

หลายปีมานี้ซุนเหลียงไฉทำการค้าได้ดีขึ้นเรื่อยๆ วิ่งวุ่นไปๆ มาๆ ในหนึ่งปีไม่อยู่บ้านไปแล้วหกเดือน เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวคลอดลูกยากนั้น กว่าเขาจะได้ยินเรื่องนี้ก็ปาไปแล้วหนึ่งเดือนให้หลัง ตอนนั้นอยู่ไกล เลยไม่ได้กลับมา ตอนหลังได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยแล้ว แถมยังคลอดลูกสาวฝาแฝดอีกด้วย ก็เลยดีใจมาก คิดว่าอย่างไรเสียก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเป็นญาติกันแล้ว เลยอาศัยจังหวะที่ยังไม่ขึ้นปีใหม่มาตรวจตราร้านค้าของตน เลยสั่งให้คนนำของขวัญมากมายเพื่อมาแสดงความยินดี พอเดินเข้ามาในจวน เลยเอาสิ่งที่ตนคิดร้องเรียกตะโกนออกมาเสียจนหมด  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านประตูออกมาต้อนรับ แต่ก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  

 

 

โจวอันกับหวงฝู่อี้รู้สึกได้ มองไปที่ซุนเหลียงไฉอย่างเวทนาพร้อมๆ กัน จากนั้นก็ถอยออกไปนอกเรือน ตนจะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย  

 

 

แต่ซุนเหลียงไฉที่กำลังดีอกดีใจอยู่นั้นกลับไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลย เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ก็เรียกอย่างดีใจว่า “ชิ่นจยา” แล้วเดินไปตบที่บ่าของหวงฝู่อี้เซวียนพร้อมพูดว่า “ลูกสาวเจ้าสองคนนี้ข้าขอจองไว้ก่อนนะ เจ้าห้ามไปตอบรับใครอีกเด็ดขาดนะ”  

 

 

“เจ้ามีลูกชายกี่คนล่ะ” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มโมโห แต่ก็กัดฟันถาม  

 

 

“คนเดียวสิ” ซุนเหลียงไฉตอบ  

 

 

หลังจากนั้นก็เข้าใจ จึงตอบไปเพิ่มเติมว่า “เจ้าวางใจเถิด วันพรุ่งข้าจะรีบกลับบ้านไปทำเพิ่มอีกคน จะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดองญาติของพวกเรา” 

 

 

“งั้นหรือ” ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มลุกเป็นไฟ  

 

 

แต่ซุนเหลียงไฉก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังพยักหน้าอีก “ใช่สิ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ปีหน้าเวลานี้ก็จะได้อุ้ม……” 

 

 

ปัก! หวงฝู่อี้เซวียนถีบซุนเหลียงไฉอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว  

 

 

บ่าวรับใช้ที่ถือของขวัญเดินเข้ามาต่างก็ตกตะลึงที่เห็นนายน้อยของพวกเขาปลิวไปต่อหน้าต่อตา แล้วตกลงกับพื้น  

 

 

โอ้ยยยย ยังไม่ทันได้ถึงพื้น ซุนเหลียงไฉเริ่มร้องเสียงหลงออกมา  

 

 

เมื่อตกถึงพื้น ก็ไม่มีเสียงแล้ว เพราะเจ็บจนพูดไม่ออก 

 

 

บ่าวรับใช้ต่างลนลาน รีบเข้าไปถามอย่างร้อนรนว่า “นายน้อยๆ ขอรับ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉได้แต่เจ็บจนคิ้วขมวด พูดอะไรไม่ออก  

 

 

บ่าวรับใช้ตกใจเป็นอย่างมาก วางของกำนัลที่อยู่ในมือลง แล้วรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา  

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซุนเหลียงไฉถึงได้ค่อยยังชั่ว โมโห แล้วผลักพวกที่เข้ามาพยุงออก ชี้หน้าหวงฝู่อี้เซวียนแล้วพูดว่า “เจ้ามันคนใจดำ แถมยังทำข้าโดยไม่ทันตั้งตัว ถ้าแน่จริงมาสู้กันให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าหากชนะ ก็จับแต่งงานทั้งสองคนไปเลย แต่ถ้าหากแพ้ เราขอคนเดียวก็พอ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ซุนเหลียงไฉคนนี้ สมแล้วที่ทำการค้าเก่ง สมองไวยิ่งนัก 

 

 

แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของเขา  

 

 

เพราะไม่ได้อยู่กับลูก หวงฝู่อี้เซวียนกำลังกลุ้มใจอยู่ พอดีเขาเข้ามาท้าตีท้าต่อย แล้วเหตุใดหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่สนองเขาล่ะ  

 

 

จึงไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง พุ่งตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้าซุนเหลียงไฉอย่างรวดเร็ว  

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก แต่ว่า เพื่อลูกสะใภ้ของตน เขาพร้อมสู้ ผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า แต่ก็ไม่รู้ผลแพ้ชนะสักที  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็หรี่ตา แล้วเพิ่มกำลังในการต่อสู้  

 

 

ซุนเหลียงไฉได้ใจ รับมือไปพูดไปว่า “หลายปีมานี้ก็ไม่ได้สูญเปล่านะ หากเจ้าอยากจะชนะข้า ก็ไม่ง่ายหรอก” พูดจบ ก็มีเสียง ปัก แล้วตัวก็กระเด็นออกไปอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้มีการป้องกัน ตัวของเขาหมุนกลางอากาศค่อยลงสู่พื้น แล้วพูดยั่วโมโหหวงฝู่อี้เซวียนอีกว่า “ยังไงล่ะ ฝีมือของข้าไม่เลวเลยสินะ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง ไม่ขยับ แล้วยิ้มมุมปากออกมาอย่างน่าพิศวง  

 

 

ซุนเหลียงไฉรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เสียวจนเขาขนลุก ในใจก็เกิดลางสังหรณ์แปลกๆ ถอยหลังออกไปโดยทันที แล้วพูดตะกุกตะกักว่า “อี้ อี้เซวียน พวก พวกเราคุยกันดีๆ เถิด เจ้าอย่าใช้ไม้นี้เพื่อเล่นงานข้าเลย” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปากอย่างน่ากลัวขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

ซุนเหลียงไฉยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยเข้าไปใหญ่ ได้แต่เดินถอยหลังไปอีกหลายก้าว 

 

 

แล้วหวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ พูดขึ้นว่า “โจวอัน เจ้าไปรายงานท่านอ๋อง บอกว่ามีหมาวัดตัวหนึ่งจะมาสู่ขอหลานสาวดอกฟ้าทั้งสองของเขา” 

 

 

คำพูดของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ด้านในได้แต่ยืนไว้อาลัยให้กับซุนเหลียงไฉ ต่อจากนี้ เกรงว่าเขาจะมีปมในการมาที่จวนอ๋องเสียแล้วสิ แต่ก็สมควร ใครใช้ให้เขาบุ่มบ่ามเข้ามาพูดเรื่องนี้ตอนนี้กันเล่า 

 

 

โจวอันก็ยิ้มตอบรับไป แล้วรีบไปรายงานที่เรือนของพระชายาฉีโดยทันที  

 

 

ซุนเหลียงไฉได้แต่ลูบหัวของตนเอง ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนกำลังเล่นอะไรอยู่ จึงไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น  

 

 

ในจวนที่เงียบสงัด หวงฝู่อี้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกก็นึกถึงตอนที่ท่านอ๋องประมือกันกับหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อชิงตัวเด็กมาอย่างไร้ซึ่งความปรานีตอนนั้น ก็มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่มีที่ๆ เหมาะสมในการหลบซ่อนตัวเลย จึงเก็บสายตาเข้ามา พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า ก็เกิดความคิด ปีนขึ้นบนนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างนี้ค่อยยังชั่ว ปลอดภัยแล้ว ไม่ว่าท่านอ๋องจะลงมือกับคุณชายซุนอย่างไร ข้าก็จะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย 

 

 

ไม่นานท่านอ๋องฉีก็มา รวดเร็วประหนึ่งเพียงกระบวนท่าเดียวก็เดินมาถึงตรงหน้าของซุนเหลียงไฉได้อย่างใดอย่างนั้น เอามือไขว้หลัง แล้วมองเขาไปมา ถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าเองรึที่มาสู่ขอหลานสาวข้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉก็รีบอธิบายว่า “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้ามาสู่ขอคุณหนูน้อยให้กับลูกชายน้อยของข้าขอรับ” 

 

 

ท่านอ๋องฉีพยักหน้า แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ดีมาก” 

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ซุนเหลียงไฉก็โล่งอก สิ่งที่กังวลก็คลายลงกึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องฉีเอามือที่ถือท่อนไม้ง้างมาตีตนนั้น ก็ตกใจจนตาถลนออกมา ลืมไปเลยว่าต้องหนี 

 

 

ตุบ เสียงดังสนั่น ท่อนไม้นั้นได้ตีลงบนร่างกายของซุนเหลียงไฉ  

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงได้สติ จนร้อง โอ้ยๆ ออกมา แล้วกระโดดโหยง 

 

 

ท่านอ๋องฉียังไม่พอใจ ใช้ท่อนไม้ตีลงไปบนร่างกายของเขาอีกสองสามที  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงนั้น ก็รู้สึกเจ็บแทนจนทำตัวไม่ถูก  

 

 

แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับยืนยิ้มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีความคิดอ้อนวอนให้กับซุนเหลียงไฉเลยแม้แต่นิดเดียว  

 

 

ซุนเหลียงไฉเจ็บจนกระโดดไปมา บ่าวรับใช้ของจวนซุนทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว พูดออกมาพร้อมๆ กันว่า “นายน้อย ท่านรีบหลบสิขอรับ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงได้รู้สึกตัว อาศัยตอนที่ท่อนไม้ของท่านอ๋องฉียังไม่ฟาดลงมานั้น วิ่งหนีเข้าไปในจวน  

 

 

ปีที่ผ่านมา ท่านอ๋องฉีไล่ตีหวงฝู่อี้เซวียนอยู่บ่อยๆ จึงมีร่างกายที่เตรียมพร้อมไว้วิ่งไล่คนอยู่แล้ว แล้วซุนเหลียงไฉจะวิ่งเร็วกว่าเขาได้อย่างไร จึงโดนเขาตีไปนับครั้งไม่ถ้วน  

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่เคยปรานีใคร ซุนเหลียงไฉรู้สึกว่าตนช้ำไปทั้งตัว คอยหลบหลีกอย่างหมดท่า แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนไปด้วยว่า “เจ้ามันคนใจร้ายใจดำ ให้ท่านอ๋องมาจัดการข้า เจ้าคอยดูเถอะ ข้าจะให้ลูกชายข้ามาสู่ขอลูกสาวเจ้าให้ได้เลยเชียว” 

 

 

บังอาจคิดอาจเอื้อมดอกฟ้าอย่างหลานสาวข้า แถมยังด่าลูกชายของตนอีก โทษสองกระทง ท่านอ๋องฉีก็ตีหนักกว่าเดิม ซุนเหลียงไฉร้องเสียงโหยงไม่เป็นท่า กุมขมับของตนเดินออกมาจากเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน พยายามใช้กระบวนท่าต่างๆ เพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูใหญ่ของจวนอ๋อง 

 

 

แต่ท่านอ๋องฉียังไม่พอใจ ถือท่อนไม้ไล่ตีตามหลังไป 

 

 

ในจวนอ๋องมีแต่เสียงร้องครวญครางของซุนเหลียงไฉดังก้องไปทั่วจวน 

 

 

เห็นทั้งสองคนไล่ตีกันห่างออกไป หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบไปเห็นบนต้นไม้ แล้วหันหลังกลับห้องของตนไป 

 

 

หวงฝู่อี้ตกใจจนรีบลงมาจากต้นไม้ แล้งรีบไปยืนประจำที่ตามเดิม  

 

 

ในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวที่มีความสุขก็พูดออกมาว่า “หลังจากวันนี้ไป สามปีห้าปี เกรงว่าคุณชายซุนจะไม่กล้ามาเหยียบที่จวนอ๋องของเราอีกแล้วล่ะ” 

 

 

เมื่อคิดถึงตอนที่เขามาแล้วตะโกนเรียกว่า ‘ชิ่นจยา’ หวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “จะดีที่สุดหากไม่มาอีกเลย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าหัวเราะ เขาออกไปวันนี้ ไม่นานคงลือกันไปทั่วเมืองหลวง ดูเหมือนว่าคนที่คิดจะดองญาติกับจวนอ๋องฉีคงล้มเลิกความคิดเช่นนี้ไปกันหมด ไม่มีใครกล้ามาพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ  

 

 

และแน่นอน ยังไม่ถึงสองวันเรื่องนี้ก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวง ทุกคนที่ได้ยิน เมื่อคิดถึงว่าจะโดนท่อนไม้นั้นฟาดลงที่ตัว ก็รู้สึกเจ็บไปตามๆ กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่มีใครกล้ามีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว หนึ่งในนั้นก็มีเหวินซื่อที่คอยเร่งเฝิงจิ้งเหวินด้วย แต่นางไม่สนใจ เวลานี้ได้แต่เช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนด้วยความโล่งใจ ล้มเลิกความคิดที่มีทั้งหมดไป ทำเป็นล้อเล่นไป เรื่องจะสู่ขอสะใภ้เพื่อลูกชายนั้น จำเป็นต้องเอาชีวิตไปแลกด้วยงั้นหรือ ไม่ได้สิ ถ้าแน่จริง ให้ลูกชายข้าไปไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาแน่นอน 

 

 

ในที่สุดปีใหม่ก็มาถึง ไปเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหาย อวยพรปีใหม่ให้กับผู้มาเยือนต่างๆ หลังจากที่ยุ่งๆ อยู่ครึ่งเดือน จวนอ๋องถึงเวลาสงบลงเสียที เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถือโอกาสหายใจหายคอ แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “การที่ต้องนั่งคุยกับใครตลอดก็เหนื่อยไม่น้อยเลย เหนื่อยเสียยิ่งกว่าการลงมือฆ่าคนเสียอีก แปลกใจเหมือนกันว่าแต่ก่อนที่เสด็จแม่ป่วยนั้นรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแล้วลูบหัวของนางเบาๆ “ถ้าหากว่าเจ้าเหนื่อย ปีหน้าก็ให้เสด็จแม่เป็นคนจัดการสิ พวกเราจะได้เอาลูกกลับไปที่บ้านของเจ้าไปฉลองปีใหม่กับตายายบ้าง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตาเป็นประกาย แต่แล้วก็นิ่ง พูดว่า “เจ้าก็พูดง่ายสิ ตอนนี้โดนตำแหน่งบ้าๆ นี่ผูกมัดเอาไว้อยู่ จะทำตามใจชอบอย่างนั้นได้เยี่ยงไร” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็หลุดขำออกมาเบาๆ เพราะใครก็ต่างอิจฉานางอยากเป็นซื่อจื่อเฟย แต่สำหรับนางแล้วนี่ก็เป็นแค่ตำแหน่งบ้าๆ เท่านั้น 

 

 

เดือนหนึ่งผ่านไป เข้าเดือนที่สอง ใกล้จะถึงวันเกิดของเด็กน้อยทั้งสองแล้ว 

 

 

เมิ่งฉีกับภรรยาที่เพิ่งกลับมาจากบ้านเกิดฝากมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่า เมิ่งซื่อคิดถึงเด็กน้อยทั้งสองคนเป็นอย่างมาก พอถึงวันเกิดของเด็กทั้งสองคนนางก็จะมาด้วย 

 

 

ชั่วพริบตาเดียวก็หนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เจอเมิ่งซื่อกับครอบครัวเลย เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงพวกเขาเป็นอย่างมาก รอคอยการมาถึงของพวกเขาในทุกๆ วัน ในที่สุด วันอาทิตย์ก่อนหน้าจะถึงวันเกิดของเด็กน้อยทั้งสอง มีข่าวดีจากกัวเฟย “นายหญิงขอรับ ครอบครัวของท่านมาถึงแล้วขอรับ”