เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนลุกขึ้น สั่งให้คนไปบอกหวงฝู่อี้เซวียน ส่วนตนไปที่เรือนของพระชายาฉีเพื่อรายงานว่าจะพาลูกกลับไปที่หนานเฉิง
พระชายาฉีดีใจเป็นอย่างมาก ไม่สนใจว่าท่านอ๋องฉีจะไม่พอใจอย่างไร รีบเก็บข้าวของให้เด็กทั้งสองโดยทันที แล้วส่งพวกนางสามแม่ลูกออกจากเรือน หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาพอดี สี่คนพ่อแม่ลูกนั่งรถม้าไปที่หนานเฉิง
ด้วยความที่ท่านหญิงน้อยทั้งสองคนอยู่บนรถม้า โจวอันจึงไม่กล้าขับเร็วนัก กลัวว่าจะทำให้พวกนางตกใจ
เป็นเพราะว่านี่คือครั้งแรกที่นั่งรถม้าออกจากจวน เด็กน้อยทั้งสองคนจึงดีใจมากกว่าปกติ ปีนขึ้นที่หน้าต่างของรถม้าแล้วมองออกไปด้านนอกด้วยความประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนต่างช่วยกันจับคนละคน แล้วให้พวกนางกระโดดโลดเต้นร้องเรียกไปตามสิ่งที่ตนเองนั้นสนใจ
แล้วก็มาถึงหนานเฉิง
เมิ่งซื่อกับเมิ่งเอ้ออิ๋น รวมไปถึงเมิ่งเสียนกับภรรยามารอที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นรถม้าของจวนอ๋องเคลื่อนเข้ามา เมิ่งซื่อก็รีบร้อนเข้าไปต้อนรับทันที รถม้ายังไม่ทันจอดดี ก็เปิดหน้าต่างรถม้าออก เห็นเด็กน้อยทั้งสองมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ ดวงตาก็เป็นประกาย ยื่นมือไปที่เด็กทั้งสองคน
“ท่านแม่!” เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเรียกขึ้นมาอย่างดีใจพร้อมๆ กัน
เมิ่งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตาไม่ได้มองไปที่พวกเขาเลย แต่กลับมองไปที่เด็กน้อยทั้งสองคนอย่างไม่ละสายตา
“เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ท่านนี้คือยายของพวกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดแนะนำให้กับเด็กน้อยทั้งสองคน
ดวงตาอันกลมโต มองไปที่เมิ่งซื่อด้วยความสงสัย
เมิ่งซื่อก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “มา มาให้ยายอุ้มหน่อย”
เด็กน้อยทั้งสองก็หันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาถามว่า “ได้หรือไม่”
“ไปเถอะ เรียกยายด้วยล่ะ!” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า
เด็กน้อยทั้งสองคนไม่มีความกลัวที่จะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเมิ่งซื่อเลยแม้แต่น้อย แล้วร้องเรียก “ท่านยาย”
เมิ่งซื่ออุ้มเด็กทั้งสองคนเอาไว้ในอ้อมอกพร้อมๆ กัน แล้วพูดตอบรับไปด้วย
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ออกมาเล่นด้วย เมื่อได้เห็นเด็กน้อยทั้งสองคน ก็ไม่อาจละสายตาได้ แล้วพูดกับเมิ่งซื่อว่า “เด็กโตแล้ว เจ้าอุ้มคนเดียวไม่ไหวหรอก มา ให้ข้าช่วยอุ้มอีกคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเรียกออกมาพร้อมๆ กันว่า “ท่านพ่อ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย “ปู่ย่าตายายของเจ้ามาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว พวกเจ้าเข้าไปทักทายหน่อยสิ ลูกก็ทิ้งไว้ให้ข้ากับแม่ของเจ้าดูเถิด”
เจอหน้ากัน คำแรกก็บอกว่าเดี๋ยวดูลูกให้เอง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดขำออกมา แล้วสั่งให้เด็กทั้งสองคนเรียก “ท่านตา”
เด็กทั้งสองพูดได้แต่คำง่ายๆ เท่านั้น ให้พูดยากกว่านั้นก็จะพูดได้ไม่ค่อยชัดนัก แต่เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ฟังออก เลยดีใจยิ่งนัก อุ้มเด็กน้อยที่อยู่ที่แขนซ้ายของเมิ่งซื่อมาชูสูงขึ้น เด็กน้อยก็ดีใจจนหัวเราะออกมาเสียงดัง
เด็กอีกคนหนึ่งก็อิจฉา เลยยื่นมือทั้งสองข้างของตนออกมาด้วย ปากก็พูดพึมพำเหมือนกำลังขอร้องอยู่ว่า “อุ้ม” “อุ้ม” … …
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ยื่นเด็กคนหนึ่งส่งให้กับเมิ่งซื่อ แล้วอุ้มเด็กอีกคนหนึ่งขึ้นมาชูขึ้นสูงเช่นเดียวกัน
เด็กน้อยก็หัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน
เมิ่งเสียนและภรรยาก็เข้ามาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า แล้วเรียกชื่อทีละคน
เมิ่งเส้าและเมิ่งเซิ่งรวมไปถึงเมิ่งเย่ว์อีกทั้งเมิ่งหงก็ล้อมเข้ามา มองไปที่เด็กน้อยทั้งสองคนด้วยความตื่นตาตื่นใจ แล้วก็ค่อยๆ ผลัดกันเข้าไปดูน้องสาว
แค่ลูกๆ ก็วุ่นวายมากพอแล้ว เมิ่งเสียนและภรรยาจึงไม่เข้าไปเพิ่มความวุ่นวายอีก ซุนเชี่ยนก็ยิ้มแล้วพูดทักทายหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เข้าไปก่อนเถิด ครอบครัวมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ไปทักทายหน่อยสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้าไปเรือน เข้าไปที่ห้องของเมิ่งจงจวี่กับภรรยาและห้องของเมิ่งซื่อ แล้วกล่าวทักทายทุกคน
ไม่ได้เจอกันหนึ่งปี ทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ต่างก็บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ท่าทางมีสง่าราศี หลังจากนั้นก็ถามเรื่องลูก
เมิ่งซื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋นอุ้มเด็กทั้งสองคนตามเข้ามา เห็นเด็กทั้งสองคนเหมือนกันไม่มีผิด ก็แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กัน
เด็กน้อยทั้งสองเห็นคนมากมาย ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครจะเอาไปอุ้ม ก็ไม่ร้องไห้เลยสักนิด
เมิ่งเส้าเริ่มคนแรก และคนที่เหลือก็กรูกันเข้ามา อยากเห็นหน้าน้องสาว เมิ่งซื่อเห็นว่าวุ่นวายกันไปใหญ่แล้ว เลยเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋นให้มาช่วยอุ้มเด็กออกไปข้างนอก
ภายในห้องก็พูดคุยถามไถ่สัพเพเหระ
อยู่ได้สองวัน เด็กน้อยทั้งสองกับเมิ่งเส้าและเด็กๆ ก็เล่นกันสนุกสนาน พระชายาฉีทนคิดถึงเด็กน้อยไม่ไหว เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของพวกนางแล้ว การกลับจวนมาเตรียมการเลยกลายเป็นข้ออ้างส่งคนมาเร่งให้ทั้งสองคนรีบเอาเด็กกลับจวน แต่เด็กน้อยทั้งสองไม่ยอมกลับ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลยสัญญากับพวกนางว่าอีกสองวันพวกพี่ๆ จะไปที่จวนอ๋องเล่นกับพวกนางอีก พวกนางจึงพองแก้มแสดงอาการโกรธงอนเล็กน้อยแล้วกลับจวนอ๋องไปกับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน
ท่านอ๋องฉีกับพระชายายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวน เห็นว่าพวกเขากลับมาแล้ว ก็เลยออกไปรับ
เด็กน้อยทั้งสองคนเปิดม่านรถม้าออก แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “ท่านปู่ ท่านย่า” แล้วก็พุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของทั้งสองคน อารมณ์ไม่ดีเมื่อสักครู่นี้ก็ได้หายไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า เด็กสองคนนี้ เจ้าอารมณ์แต่เด็กเลยนะ ไม่รู้ว่าโตมาแล้วจะเป็นเช่นไร
งานวันเกิดของท่านหญิงน้อยสองคนนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก คนในจวน นอกจากเด็กน้อยสองคนและท่านอ๋องฉีกับพระชายาแล้ว นอกนั้นต่างก็ยุ่งกันพัลวัน ขนาดหวงฝู่อวี้ยังต้องเข้ามาช่วยดูหน้าดูหลัง และแน่นอนโอกาสดีเช่นนี้ เขาต้องไม่พลาดแน่ เอ้างว่ามีเรื่องให้ต้องช่วยทำมากมายจึงไปรับตัวเจียงจิ่นมาช่วย
เจียงจิ่นก็ไม่ได้ถืออะไร เปรียบตนเป็นเหมือนคนของจวนอ๋องไปเสียแล้ว อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย อะไรที่ลงมือทำได้ก็ลงมือทำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น ดีใจเป็นอย่างมาก เลยแอบยกนิ้วให้กับหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้ก็ได้ใจนัก ยกหางเสียจนแทบจะเก็บไว้ไม่อยู่
และแน่นอนคืนนี้ เจียงจิ่นก็ไม่ได้กลับจวนเจียง โดนหวงฝู่อวี้ลากไปที่เรือนของตนอย่างไม่อาย ส่วนจะทำอะไรนั้น พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวเพียงมองตากันก็รู้ใจ แต่ก็ปล่อยผ่านไป เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว พวกเขาอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ
แต่ว่า พวกเขาดีใจเปล่าเสียแล้ว เพราะวันที่สองพวกเขาพบว่าบนใบหน้าของหวงฝู่อวี้ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เดินขทกระเผลกไปมา มองไปที่เจียงจิ่น นางไม่ได้เป็นอะไร ทำหน้าที่ของตนปกติ
พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน อีกนิดเดียวก็แทบระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคิดดีไม่ได้เลย
จนมาถึงวันงานเลี้ยงวันเกิด ไม่เพียงแต่จะมีขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองหลวงมาร่วมงาน แม้กระทั่งไทเฮา รวมไปถึงฮ่องเต้และฮองเฮาก็ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าหวงฝู่ซวิ่นไม่พลาดแน่ แต่ว่าครั้งนี้ เขาไม่กล้าเข้าใกล้หนูน้อยทั้งสองในระยะไม่เกินหนึ่งจั้ง เพราะเกรงว่าตนจะไม่ระวัง แล้วชนเข้ากับหนูน้อยทั้งสอง มีผู้คนมากันตั้งมากมาย ถ้าหากว่าโดนท่านอ๋องฉีไล่ตีล่ะก็ แค่คิดก็เย็นวาบไปทั่วสันหลังแล้ว
เหวินซื่อและภรรยา ฉู่เหวินเจี๋ยและภรรยา เปาอีฝานและภรรยา ก็มากันหมด และแน่นอนต่างก็พาลูกๆ มาด้วย
เรือนของพระชายาฉีก็กลายเป็นสวรรค์ของเด็กน้อยทั้งหลาย
หนูน้อยทั้งสองสนุกเป็นอย่างมาก เวลาเดินก็เดินคล่องกว่าปกติ ไม่เดินโยกไปเยกมาแล้ว ปากก็หวาน เรียกพี่ๆ ตลอดเวลา
มีน้องสาวฝาดแฝดผู้น่ารักเพิ่มเข้ามา เด็กผู้ชายทั้งหลายก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ต่างเข้ามารุมล้อมหนูน้อยทั้งสองไปมา มีก็แต่หนูน้อยคนหนึ่งที่ไม่ค่อยพอใจนัก นั่นก็คือฉู่เหยา ลูกชายของฉู่เหวินเจี๋ยกับเฝิงจิ้งเหวินนั่นเอง เพราะศักดิ์ของเขาสูงกว่าหนูน้อยทั้งสอง หนูน้อยทั้งสองไม่สามารถเรียกเขาว่าพี่ได้ แต่ทั้งสองยังไม่สามารถพูดคำอื่นได้ ดังนั้น เขารู้สึกว่าตนเองโดนเมิน ได้แต่เบะปากครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะร้องไห้ออกมา
อย่างไรเสียก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของตนเอง พระชายาฉีก็สงสาร จึงอุ้มเขาขึ้นมาด้วยตนเอง ปลอบใจอยู่พักใหญ่ ฉู่เหยาถึงได้หยุดร้อง แล้ววิ่งกลับเข้าไปในกลุ่มคนอีกครั้งหนึ่ง วิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ หนูน้อยทั้งสอง
พระชายาฉียิ้มมองไปที่เด็กๆ ในเรือน รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก พลันนึกถึงตอนนั้นที่ตนเองเป็นเพียงผู้ป่วยอยู่แต่บนเตียง ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อใด ตอนนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่เกิด นางไม่เคยคิดเลยว่านางจะมีวันนี้ได้
ไทเฮากับฮ่องเต้ก็เสด็จมาด้วย ท่านอ๋องฉีจึงไปปรนนิบัติ เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขานั้นไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ฮ่องเต้มองออก จึงพิโรธนัก ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของเขา ก็ลุกขึ้น แล้วพูดกับไทเฮาว่า “เสด็จแม่ ลูกจะไปอุ้มเด็กน้อยมาให้ท่านดูเสียหน่อย”
เด็กน้อยอายุครบหนึ่งปีแล้ว แต่ไทเฮาไม่เคยได้เจอเลย จึงพยักหน้าตอบรับ
ท่านอ๋องฉีรีบเดินออกไป ไม่นาน ก็อุ้มเด็กน้อยทั้งสองเข้ามากับพระชายาฉี ทำความเคารพไทเฮาแล้วก็สอนพวกนางให้เรียกเสด็จทวด
เด็กน้อยทั้งสองก็ไม่ได้เคอะเขิน หัวเราะแล้วพูดออกมาอย่างไม่ชัดเจน
แม้ว่าจะได้ยินไม่ชัดว่าพูดว่าอะไร แต่ไทเฮานั้นดีพระทัยเป็นอย่างมาก ยื่นมือออกไปอุ้ม เล่นหยอกล้อกับเด็กน้อยพูดว่า “จวนของพวกเจ้ามีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ไว้วันหลังก็ส่งเด็กไปในวังเสียสิ ข้าแก่แล้ว ให้พวกนางอยู่เป็นเพื่อนข้า”
นี่ถึงขั้นจะเอาเข้าวังไปเลี้ยงแล้วหรือ พระชายาฉียังไม่ได้พูดอะไร ท่านอ๋องฉีก็ไม่ยอม แล้วพูดปฏิเสธทันควัน “เสด็จแม่ หลายปีมานี้ลูกก็เหนื่อยมามาก อยากจะเลี้ยงลูกดูหลานมานานแล้ว ถ้าหากว่าท่านอยากได้คนอยู่เป็นเพื่อน ก็ให้เสด็จพี่หาวิธีเถิด ส่วนหลานสาวทั้งสองของลูกนั้นมิอาจตัดใจส่งเข้าวังได้จริงๆ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้ถึงความหมายในสิ่งที่เขาพูดทันที ก็ด่าออกมาว่า “เจ้านี่ พูดอย่างนี้ได้เยี่ยงไร”
“ข้าไม่ได้ให้เสด็จพี่มีลูกเพิ่มอีกคนเสียหน่อย ท่านมีลูกชายมิใช่หรือ ให้เขาหาวิธีเอาไม่ได้หรือไง” ท่านอ๋องฉีก็พูดไปอย่างไม่เกรงใจ
ฮ่องเต้สะอึกไป แล้วก็ก่นด่าหวงฝู่ซวิ่นเจ้าลูกไม่ได้เรื่องในใจ ปีที่แล้วไม่ได้ให้เขาออกจากตงกงก็เป็นเดือน แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ไท่จื่อเฟยกับชายารองอีกสองคนนั้นของเขาตั้งครรภ์ได้เลย หากว่าเขาไม่ได้มีลูกก่อนคนหนึ่งล่ะก็ ฮ่องเต้คงสงสัยว่าเขาเป็นหมันหรือไม่ คิดได้เช่นนั้นจึงขมวดพระขนง หรือว่าหวงฝู่ซวิ่นจะเป็นหมันจริงๆ กลับไปต้องให้หมอหลวงตรวจเสียหน่อยแล้ว