[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 34 จอมหิวโหยมาแล้ว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมฆครึ้มลอยอยู่เหนือเมืองฉางอัน คนบนท้องถนนเดินกันอย่างเร่งรีบ คนรับใช้ที่สวมชุดสีเขียวพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม อำนาจมังกรของหลี่ซื่อหมินได้ปกคลุมเมืองใหญ่นี้ ทำให้คนทั้งหมดรู้สึกไร้ซึ่งความสุข 

 

 

แต่ว่าราษฎรชนชั้นล่างสุดกลับสงบเรียบร้อยมากที่สุด แม้ว่าจะประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงหายนะที่ใกล้จะเกิดขึ้นเหมือนอย่างครอบครัวของชนชั้นสูงอย่างแน่นอน ในเมืองฉางอันแห่งนี้ใกล้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอำนาจและความขึ้นลงของความเจริญรุ่งเรืองเต็มที หากวันต่อมาพบว่ามีการเปลี่ยนฮ่องเต้แล้วพวกเขาก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ และคงกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างมากกว่าการเปลี่ยนแปลงในราชสำนัก 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนอนอย่างเกียจคร้านอยู่ในห้อง ซินเย่วและน่ารื่อมู่ช่วยกันออกแรงนวดให้เขา การออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากกว่าหนึ่งเดือนทำให้ไหล่ขาวของเขาดูมีกล้ามเนื้อขึ้นเล็กน้อย ผู้หญิงสองคนไม่สนใจเสียงร้องของอวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าอย่างไรขอแค่ผู้ชายคนนี้กลับมาก็เพียงพอแล้ว 

 

 

วางมือบนก้นที่อวบอ้วนของซินเย่วแล้วบีบหนึ่งที ถูกนางตีมือไปหนึ่งที น่ารื่อมู่เห็นการกระทำของทั้งสองคน คิดว่าท่านพี่น่าสงสารมาก จับมือของท่านพี่มาวางไว้บนก้นตัวเอง แล้วหันไปยิ้มให้ซินเย่ว 

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาฉินหลิ่งไม่สามารถปิดบังผู้อื่นได้ พระภิกษุที่วัดจินเก๋อเสียชีวิตไปทั้งหมดสามสิบเจ็ดรูป นักบวชลัทธิเต๋าในวัดอวิ๋นไถเสียชีวิตไปทั้งหมดสิบสี่คน ส่วนคำตอบที่ทางการให้มาคือฆาตกรกำลังถูกตามไล่ล่าอยู่ 

 

 

ได้ยินมาว่าผู้ดำเนินคดีที่มีประสบการณ์มากที่สุดของกรมอาญาถูกส่งไปยังดินแดนอันไกลโพ้นอย่างเหยียนโจวเพื่อสืบสวนคดีเสือกินคน เช่นนั้นแล้วงานสืบสวนการตายจึงตกเป็นหน้าที่ของหัวหน้าสายตรวจคนใหม่ ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนดุ มีนามว่าเฮ่อเทียนซัง ว่ากันว่าตาของเขามีหยินและหยาง ตาซ้ายมองหยาง ตาขวามองหยิน มีคนชั่วร้ายนับไม่ถ้วนถูกเขาส่งไปที่ลานประหาร 

 

 

มีโจรขโมยดอกไม้ที่ไม่ระวังบังเอิญไปเด็ดดอกไม้ผิดจึงถูกเขาตามล่าไปถึงสามพันลี้ สุดท้ายก็ถูกจับตัวได้ที่แม่น้ำตง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาถูกส่งกลับมายังฉางอัน โจรขโมยดอกไม้ผู้นี้ก็แทบจะหมดสภาพแล้ว ตาหูจมูกเต็มไปด้วยแผล เขายังใจกว้างขอร้องความเห็นใจให้แก่โจรขโมยดอกไม้ ขอให้ทางการยกเว้นโจรขโมยดอกไม้จากโทษประหารให้เปลี่ยนเป็นจำคุกและรอการอภัยโทษแทน 

 

 

ในทุกๆ ปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของสาวน้อยผู้นั้น เฮ่อเทียนซังก็จะใช้โซ่เหล็กล่ามโจรขโมยดอกไม้ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า สั่งให้เอาดอกไม้ไปวางบนหลุมศพของสาวน้อย ทุกครั้งจะต้องเดินผ่านตลาดอย่างเอิกเกริก เป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลาสามปีแล้ว และผลลัพธ์จากการทำเช่นนี้ย่อมทำให้โจรขโมยดอกไม้ในเมืองฉางอันได้หายสาบสูญไปหมดแล้ว 

 

 

ตอนนี้หัวหน้าสายตรวจผู้แข็งแกร่งได้ยืนอยู่ที่น่าประตูตระกูลอวิ๋น ส่งป้ายเทียบเชิญขอพบอวิ๋นโหว พ่อบ้านคิดว่าเป็นเรื่องขายหน้า มีท่านโหวที่ไหนต้องพบกับสายตรวจ เอาป้ายเทียบเชิญเสียบไว้ที่ประตูให้เขารอ ส่วนตัวเองก็ไปที่ลานข้างบ้านดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกกับนายบัญชี 

 

 

เฮ่อเทียนซังรู้ดีว่าตัวเองจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร ดังนั้นจึงไม่ได้กังวล ยืนตัวตรงอยู่หน้าบ้านตระกูลอวิ๋นเหมือนกับหอกรอให้อวิ๋นโหวเรียกเข้าพบ ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินประตูรองของตระกูลอวิ๋นไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใด มีเฉพาะสาวใช้ที่เข้าออกทางประตูหลัง ทุกคนพากันทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ตรงนั้น คนใช้บางคนมองมาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามเมื่อเดินผ่านเขาไป คิดว่าคนผู้นี้ช่างน่ารำคาญ 

 

 

เมื่อสัญญาณตีกลองทำความสะอาดถนนดังขึ้น เฮ่อเทียนซังก็ยกสองมือขึ้นเคารพประตูใหญ่แล้วหันหลังเดินจากไป คนรับใช้ที่หลบอยู่ข้างหลังประตูใหญ่มองเขาจากรอยแยกของประตูแล้วพากันหัวเราะล้อเลียนขุนนางผู้น้อยที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ 

 

 

การอาศัยอยู่ในฉางอันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก เมื่อสัญญาตีกลองเปิดตลาดไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเสียงก็จะดังเข้าไปในหูของเจ้าเสมอ อวิ๋นเยี่ยลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอาขาที่วางพาดอยู่ออกจากเอวของตัวเองแล้วเอาแขนข้างหนึ่งออกจากคอ น่ารื่อมู่เป็นคนนอนดิ้น ซินเย่วต้องนอนอยู่ด้านในสุด น่าสงสารเป็นอย่างมาก นางไม่ได้ห่มผ้าห่มด้วยซ้ำจึงทำได้เพียงขดตัวเป็นลูกบอล หากพูดเรื่องการแย่งผ้าห่ม ในโลกนี้น่ารื่อมู่ต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน ผ้าห่มของน่ารือมู่อยู่ใต้เตียง ผ้าห่มของซินเย่วถูกทับอยู่ ตอนนี้ผ้าห่มส่วนใหญ่ของอวิ๋นเยี่ยอยู่บนตัวของนางเกือบทั้งหมด 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเกาหัว จำได้ว่าเมื่อคืนนี้ตอนกำลังจะนอนซินเย่วก็นอนอยู่ตรงกลาง เหตุใดตรงกลางจึงได้กลายเป็นที่ของน่ารื่อมู่ไปเสียได้ ตอนนี้ซินเย่วนอนอยู่ติดกำแพงแทนแล้ว เท้าข้างหนึ่งของน่ารื่อมู่อยู่บนหลังของซินเย่ว ส่วนตัวอยู่นอกขอบเตียงครึ่งหนึ่ง หากพลิกตัวก็จะตกลงไปทันที 

 

 

รีบเอาเท้าของน่ารื่อมู่วางกลับไป แล้วห่มผ้าห่มให้ซินเย่ว หากรอให้ซินเย่วตื่นขึ้นมา วันนี่น่ารื่อมู่คงจะอยู่อย่างไม่เป็นสุขนัก 

 

 

ห่มผ้าห่มไม่ได้ระวัง ซินเย่วหาวแล้วตื่นขึ้นมา ลืมตามาเห็นอวิ๋นเยี่ยห่มผ้าห่มให้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่” 

 

 

“ยังเช้าอยู่ หลับต่ออีกสักหน่อยเถิด เมื่อคืนนี้เหนื่อยเกินไปแล้ว ข้าจะไปบอกให้คนครัวทำโจ๊กมาให้เจ้ากิน” อวิ๋นเยี่ยลูบหัวซินเย่ว ซินเย่วหดคอแล้วยิ้ม คงเป็นเพราะคิดถึงเรื่องโง่ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วรู้สึกอาย 

 

 

เมื่อใช้ก้านหลิวแปรงฟันเสร็จก็เคี้ยวเปลือกส้มเพื่อให้ปากหอม ล้างหน้าให้สะอาด นี่คือการเตรียมพร้อมในการต้อนรับวันใหม่อย่างสดใส การออกกำลังกายที่ถูกวิธีมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เมื่อคืนทำเรื่องไร้สาระจนถึงยามสาม แต่วันนี้ยังคงกระปรี้กระเปร่าอยู่ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว 

 

 

ไล่คนใช้ที่ส่งข้าวให้ออกไป ตัวเองมายกจานไม้เอง เตรียมอาหารเช้าแสนโรแมนติกสำหรับครอบครัวสามคนไว้บนเตียง เมื่อเดินเข้ามาก็รู้ว่าความโรแมนติกที่ตัวเองอยากได้เป็นเพียงความหวังอันเลอะเทอะ เพราะตอนนี้ซินเย่วกำลังขี่เอวของน่ารื่อมู่ ใช้มือตีก้นน่ารื่อมู่ ส่วนน่ารื่อมู่ก็กัดฟันไม่ร้อง ซินเย่วมือหนักมากจึงมีรอยนิ้วมือปรากฏที่ก้นของน่ารื่อมู่ 

 

 

“พอได้แล้ว พอได้แล้ว ก็แค่แย่งผ้าห่มของเจ้าเอง ไม่เห็นต้องไปแกล้งนางเลย” อวิ๋นเยี่ยวางจานลงบนโต๊ะด้วยความปวดหัว อุ้มซินเย่วออกมาจากร่างของน่ารื่อมู่ หยิบชุดชั้นในสีเขียวจากพื้นยื่นให้นาง น่ารื่อมู่ทำหน้าน้อยใจอยากให้อวิ๋นเยี่ยใส่เสื้อผ้าให้นางด้วย 

 

 

มองดูอวิ๋นเยี่ยใส่เสื้อผ้าให้น่ารื่อมู่ ซินเย่วจึงกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าตามใจนางจนเดี๋ยวนี้เริ่มไม่รู้ประสาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เมื่อคืนก็นอนบนเตียงไม่ยอมไปไหนแล้วยังถีบข้าทั้งคืน หากนางทั้งแย่งผ้าห่ม ทั้งถีบข้าโดยที่ข้าไม่รู้ก็คงจะคิดว่าที่ปวดเอวเป็นเพราะไม่สบาย เจ้าห่มผ้าห่มให้ข้าแต่เช้าก็เพื่อช่วยนางปิดบัง สักวันนางจะไปนอนบนหัวเจ้า” 

 

 

“ภรรยาข้ามานอนบนหัวข้าแล้วจะเป็นไรไป ขอแค่ข้าไม่ปวดคอก็พอ หากเจ้าเก่งจริงก็มานอนด้วยเลยสิ” 

 

 

มองดูอวิ๋นเยี่ยตำหนิซินเย่ว น่ารื่อมู่ก็รู้สึกชอบอกชอบใจ เอนหัวไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างได้ใจ แล้วยังเหยียดขายาวไปที่ซินเย่ว กระดิกนิ้วเท้าใส่นางอีกด้วย จบสิ้นแล้วล่ะ ซิ่นเย่วดึงขายาวๆ ของน่ารื่อมู่ทันทีก่อนจะตีไปที่ก้นนางแรงๆ สองสามครั้ง 

 

 

ทั้งๆ ที่ทุกครั้งน่ารื่อมู่จะเป็นคนเสียเปรียบ แต่นางก็ยังจะไปแกล้งซินเย่ว ขนาดถูกตีก็ยังรู้สึกสนุกสนาน ไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงเลย แต่ว่าตอนนี้ข้าวเช้าน่าจะเย็นหมดแล้ว 

 

 

ซินเย่วเรียกให้สาวใช้เอาอาหารมาให้ใหม่ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่กินอาหารที่เอาไปอุ่นมาใหม่ เป็นสามีภรรยากันมานานจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ตอนนี้ฉายานายน้อยตระกูลอวิ๋นเป็นของอวิ๋นน้อยไปตั้งนานแล้ว หนูน้อยวัยสองขวบพึ่งจะหัดเดิน เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ก็ทำความเคารพท่านพ่อและท่านแม่อย่างน่าเอ็นดู ดูเขาเอามือทาบหน้าอกแล้วทำตูดโด่งทำให้อวิ๋นเยี่ยเอ็นดูเป็นอย่างมาก เอามาอุ้มไว้ในอ้อมแขน หยิบซาลาเปาไส้เนื้อกำลังจะป้อนให้ลูกชาย ซินเย่วก็ผลักมือท่านพี่ออกด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “ลูกยังเล็ก ยังกินของพวกนี้ไม่ได้” 

 

 

“เหลวไหล ตอนข้าอายุสองขวบ อาจารย์ข้าก็เอากระดูกมาป้อนข้าแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีเนื้อ แต่ว่าการได้แทะกระดูกก็เพื่อฝึกฟันให้แข็งแรง ลูกบ้านไหนบ้างอายุสองขวบแล้วยังเอาแต่กินนม ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้กินนมแล้วนะ” 

 

 

เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนั้นแม่นมที่อยู่กับอวิ๋นน้อยมาสองปีถึงกลับน้ำตาไหลทันที ความจริงแล้วเมื่อถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงในยุคนี้จึงต้องให้นมลูกเป็นเวลาสองถึงสามปี ตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กก็ได้กินนมแค่ปีเดียว พออายุสองขวบก็กินผัก กินข้าว กินเนื้อปลา เนื้อหมูได้แล้ว แต่ตอนนี้อวิ๋นน้อยยังคงกินนมอยู่ ช่างประหลาดเสียจริง 

 

 

ด้วยความเคารพแม่นม อวิ๋นเยี่ยจึงพูดว่า “แม่นมตระกูลหัน เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย เด็กน้อยก็เพียงแค่ไม่กินนมเท่านั้น ภรรยาข้าป้อนนมลูกเกือบหนึ่งปี เจ้าก็ให้นมลูกข้าอีกหนึ่งปี ภรรยาข้าเป็นแม่ของเขาจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ว่าตระกูลอวิ๋นจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้า หากเจ้าชอบเช่นนี้ เจ้าก็ดูแลเด็กคนนี้จนเติบโตเถิด แต่ว่าไม่ต้องให้นมแล้ว เด็กของตระกูลอวิ๋นนับจากนี้ไม่ควรกินนมเกินหนึ่งปีครึ่ง เมื่อฟันขึ้นแล้วก็ควรจะกินข้าว” 

 

 

เนื่องจากว่าอวิ๋นเยี่ยพูดเรื่องนี้ในห้องโถงใหญ่ แม้ว่าซินเย่วและน่ารื่อมู่จะไม่เต็มใจแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบตกลง และต่อจากนี้ก็จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นี่คือการตัดสินใจของคนที่มีอำนาจในตระกูล 

 

 

ดูเหมือนว่าอวิ๋นน้อยจะไม่ชอบกินนม ของแบบนั้นไม่มีรสชาติเลยสักนิด ที่นั่นมีซาลาเปาไส้เนื้อแสนอร่อย ถึงแม้จะเป็นแค่แป้งซาลาเปาแต่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วยังเอาแต่มองโจ๊กข้าวฟ่างในชามของชายหนุ่ม 

 

 

อวิ๋นน้อยยังเล็ก อวิ๋นเยี่ยอุ้มแค่แป๊บเดียวก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วสองชุด แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่สนใจ แต่ว่าซินเย่วจะไม่ยอมให้ท่านโหวที่มีกลิ่นฉี่ของลูกไปปรากฏตัวบนถนนในฉางอันโดยเด็ดขาด 

 

 

เมื่อกินข้าวเสร็จอวิ๋นเยี่ยก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน สำนักศึกษาได้ส่งหนังสือ ‘การวิจัยตัวอักษร’ ของอาจารย์หยวนจางมา หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์เพื่อหักล้างตำนานการสร้างตัวอักษรของชังเจี๋ย เขาคิดว่าตัวอักษรในตอนนี้เกิดขึ้นจากชีวิตประจำวัน บางทีชังเจี๋ยอาจจะเป็นคนดำเนินการจัดการต่อให้เสร็จ แต่ว่าการปรากฏตัวขึ้นของตัวอักษรต้องมาก่อนยุคของเขาอย่างแน่นอน 

 

 

เขากำลังทำการวิจัยเปรียบเทียบตัวอักษรต่างๆ ตั้งแต่ตัวอักษรกระดองเต่า อักษรจิน อักษรต้าจ้วน อักษรเสี่ยวจ้วน และอักษรลี่ซูจนถึงตัวอักษรที่มีในปัจจุบัน เอาตัวอักษรที่เหมือนกันออกมาเรียงทีละตัว ก็จะเห็นที่มาของการพัฒนาที่ชัดเจนขึ้น มันสุดยอดมากจริงๆ เป็นหนังสือที่ดีมาก 

 

 

ตอนนี้สำนักศึกษามักจะมีหนังสือเล่มใหม่ๆ เกิดขึ้น จ้าวเหยียนหลิงใช้เงินจำนวนหนึ่งจ้างคนจำนวนมากเพื่อสังเกตโหราศาสตร์ในสถานที่ต่างๆ ในเวลาเดียวกัน เขาพบว่าโหราศาสตร์ที่เห็นที่หลิ่งหนานแตกต่างจากโหราศาสตร์ที่เห็นที่ทะเลจีนเหนือ ดังนั้นจึงเขียนหนังสือทฤษฏีดาราศาสตร์ด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิใจ นี่คือหนังสือที่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอ่านเข้าใจ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เข้าใจ จ้าวเหยียนหลิงบอกว่าบางทีหลูโซ่ว นามหลูจื่ออันที่เคยโต้แย้งเรื่องหนังสือคัมภีร์ดาราศาสตร์เบญจธาตุกับตัวเองเมื่อตอนนั้นอาจจะอ่านเข้าใจก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ปรมาจารย์อย่างเขาถูกอวิ๋นเยี่ยยั่วโมโหจนกระอักเลือดเสียชีวิตไปแล้ว น่าเสียดายที่ต้องเสียเพื่อนรู้ใจไปจากโลกใบนี้อีกหนึ่งคน 

 

 

เมื่อม้วนเก็บหนังสือ จากนั้นก็เอาม้วนหนังสือเคาะไปที่หัว มองดูกองหนังสือบนโต๊ะ ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องประหยัดแรงงานสำหรับการตีพิมพ์อวดความรู้ของตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน จะไม่ยอมให้เกิดคำแนะนำปัญญาอ่อนอย่างเช่น ‘รวบรวมไม้ เอามาเชื่อมต่อกัน กลายเป็นล้อ’ เด็ดขาด ใครมันจะไปรู้ว่าเครื่องปั่นด้ายต้องทำอย่างไรจากคำพูดพวกนี้กัน 

 

 

ตอนนี้แม้แต่ประกาศก็เป็นสำนักศึกษาที่พิมพ์ออกมา หากยังใช้คำพูดประเภทนี้ก็เหมือนกับดูถูกคน อาจารย์หลี่กังและอาจารย์หยวนจางก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก คิดว่าการเขียนหนังสือก็เพื่อให้คนอ่าน ต้องการจะเผยแพร่ความรู้ของตัวเอง หากเขียนอย่างคลุมเครือใครจะไปเข้าใจได้ ยิ่งเขียนเข้าใจง่ายมากเท่าไหร่ก็จะได้รับความสนใจจากผู้คนมากเท่านั้น การเผยแพร่ความรู้เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอกหรือ