พ่อบ้านคิดวิเคราะห์อยู่หลายครั้งก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่ว่าดูแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง บ้านหลังนี้เป็นของซินเย่วและน่ารื่อมู่ พวกนางชอบดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ส่วนตัวเขาเองมักจะออกจากบ้านแต่เช้าแล้วกลับมาดึกดื่นจึงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเท่าไรนัก หากจัดการผิดพลาดจะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของซินเย่วได้ ดังนั้นไม่เข้าไปยุ่งจะดีที่สุด
จดหมายฉบับนี้เป็นของหลี่จิ้ง ในจดหมายเขาเขียนบอกว่า ‘ตำราหกกองทัพ’ ของตัวเองได้เสร็จสิ้นแล้ว ถามอวิ๋นเยี่ยว่ากล้าที่จะตีพิมพ์และขายมันไปทั่วโลกหรือไม่ เพื่อสนับสนุนอวิ๋นเยี่ย เขาตัดสินใจว่าต้องการเงินสำหรับค่าต้นฉบับเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น
เช่นนั้นก็ดีเลย เช่นนี้นี้ต้องชื่นชม สำนักศึกษามีไว้สอนหนังสือ มีไว้ตีพิมพ์หนังสือ ‘ตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อ’ ‘ตำราพิชัยสงครามเหมิงเต๋อ’ ‘ตำราหกความลับ’ ‘ตำราพิชัยสงครามแม่ทัพอู๋จื่อ’ ‘ตำราพิชัยสงครามเว่ยเหลียวจื่อ’ ล้วนสร้างโดยลูกศิษย์ของสำนักศึกษา ครั้งที่แล้วหลี่ซื่อหมินยังมายืมหนังสือหลายสิบเล่มจากห้องสมุดของสำนักศึกษา เมื่อเทียบกับหนังสือ เขาชอบบัตรยืมหนังสือห้องสมุดของตัวเองที่มีเลขศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์หนึ่งมากกว่า แล้วยังมอบบัตรห้องสมุดหมายเลขศูนย์ศูนย์ศูนย์ศูนย์สองให้กับจั่งซุนอย่างไร้ยางอาย
แม้แต่หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์เขาก็ยังยืม แม้ว่าหนังสือเหล่านี้ได้รับการแก้ไขและแบ่งย่อหน้าเป็นพิเศษโดยอาจารย์อวี้ซัน อาจารย์หยวนจาง และอาจารย์จินจู๋ แต่ก็ไม่ควรยืมไปนานถึงสามเดือนแล้วยังไม่คืน พวกเจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อเปิดห้องสมุดเหล่าองค์ชายและขุนนางทุกคนก็ล้วนทำเช่นนี้ แล้วห้องสมุดจะยังเหลือหนังสืออยู่อีกหรือ
อย่างไรเสียวันนี้ก็ว่างอยู่แล้ว ไปที่วังหลวงเพื่อทวงหนังสือสักหน่อย คนเรียนหนังสือมาทวงคืนหนังสือก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแย่อะไร จะให้พวกเขาเสียนิสัยไม่ได้ ตอนนี้ขุนนางที่มายังสำนักศึกษา หากพวกเขาไม่มายืมหนังสือสักสองสามเล่ม พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะบอกว่าตัวเองเคยไปที่อวี้ซัน เจ้าอวี้ฉือจอมโง่ หยิบคัมภีร์ดรุณีใจสงบ ไม่ใช่หนังสือลามก คนที่แทบจะไม่เข้าใจหนังสืออย่างเจ้านั่นจะสามารถเข้าใจข้อความที่ลึกซึ้งเหล่านั้นได้หรือ สวี่จิ้งจงบ่นอยู่หลายครั้งว่าปริมาณหนังสือในห้องสมุดลดลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาเอาแต่ยืมแต่ไม่เคยเอากลับมาคืน บางคนวางหนังสือไว้บนชั้นหนังสือของตัวเองเป็นของสะสมอย่างไร้ยางอาย เขาเจอแบบนี้มาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
วันนี้เป็นการประชุมใหญ่ของราชสำนัก ตอนนี้คงยังไม่เลิกประชุมอย่างแน่นอน ตัวเองไปยังตำหนักไท่จี๋เพื่อทวงหนังสือ มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เวลาที่นักปราชญ์ทำตัวเป็นโจรขึ้นมาช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็สั่งให้ไปเตรียมรถม้า สวมชุดราชการเพื่อไปวังหลวง เส้นทางไม่ไกลเดินทางสักครู่ก็ถึงแล้ว ตรอกซิ่งฮว่าฟางได้เปรียบในเรื่องนี้จึงมีค่าเช่าที่ราคาสูง
ซินเย่วแต่งตัวสวยงามแล้ววิ่งเข้ามา ปกตินางไม่ค่อยแต่งตัวสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แต่งตัวเพื่อจะไปดูแข่งบอลโปโลกับท่านหญิงพวกนั้น อวิ๋นเยี่ยเคยไปดูสองครั้ง รู้สึกว่ากีฬาชนิดนี้ก็ไม่ได้สนุกสักเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวช้า ในสนามเล็กๆ เช่นนี้ม้าไม่สามารถวิ่งได้เต็มที่ เวลาชนกันก็ไม่สนุกเหมือนเวลาที่นักฟุตบอลชนกัน ตอนนี้กีฬาฟุตบอลในสำนักศึกษากำลังพัฒนาไปสู่ความป่าเถื่อน หนุ่มกล้ามโตหลายๆ คนเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ที่น่าเบื่อซึ่งอยู่ข้างสนามเหล่านั้น
“ท่านพี่ วันนี้ที่สนามสำนักศึกษามีแข่งบอลโปโล ท่านก็ไม่มีธุระไม่ใช่หรือ ไปดูการแข่งขันเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ วันนี้เป็นการแข่งขันระหว่างหันอ๋องและโซ่วอ๋อง ว่ากันว่าเดิมพันด้วยปิ่นมังกร อัญมณีข้างบนใหญ่เท่าเม็ดวอลนัท ดูหรูหราเป็นที่สุด ไปดูเป็นเพื่อนข้าเถิด ท่านไม่เคยไปดูแข่งตีคลีเป็นเพื่อนพวกเราเลย”
เห็นท่าทางออดอ้อนของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยก็ลืมไปเลยว่าตัวเองจะไปทวงหนังสือ บอลโปโล วันนี้จะไปดูแข่งบอลโปโล เห็นน่ารื่อมู่แอบมองมา จึงรีบกลับคำพูดว่า “ไป ไปอยู่แล้ว ไปกันหมดทั้งบ้านนี่แหละ”
น่ารื่อมู่เอาลูกสาวไปฝากไว้กับแม่นมแล้วรีบตามไปยืนหน้าเชิดอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ย ใบหน้าซินเย่วดูไม่พอใจขึ้นมาทันที น่ารื่อมู่อาศัยความงามของตัวเองตั้งใจยั่วโมโหซินเย่ว
โมโหก็ส่วนโมโห แต่อย่างไรก็ยังต้องไปดูการแข่งขัน ไม่อนุญาตให้น่ารื่อมู่เดินเทียบเท่ากับตัวเอง ต้องเดินก้มหัวอยู่ด้านหลัง เป็นภรรยารองก็ควรจะทำตัวให้สมกับเป็นภรรยารอง
น่ารื่อมู่ผู้เย่อหยิ่งไม่เคยรู้จักการก้มหัว เชิดหน้าขึ้นฟ้าดูมีสง่าราศีไม่ต่างจากราชินี ซินเย่วต้องกดหัวของนางลงอยู่เสมอ ทำเอาอวิ๋นเยี่ยปวดหัว หยิบลูกกวาดออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้น่ารื่อมู่ นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อนางได้กินของอร่อยก็จะน้ำลายไหล นี่คือนิสัยจากการถูกเลี้ยงที่ฉ่าวหยวน ไม่สามารถแก้ให้หายได้
เมื่อรถม้าออกจากบ้านก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า “ผู้น้อยคือเจ้าหน้าที่กรมอาญาเฮ่อเทียนซังเข้าพบท่านโหว ผู้น้อยมีคดีอาชญากรรมต้องการให้ท่านโหวตรวจสอบ ขอท่านโหวตรวจดูสักหน่อย”
เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินประโยคนี้ก็ดึงม่านรถม้าลงด้วยความโกรธ ใครจะไปชอบเจอขุนนางกรมอาญาที่โหดร้ายเหล่านั้น กล้ามาพูดเสียงดังที่หัวมุมถนนในตอนนี้ยังรู้จักกฎระเบียบอยู่หรือไม่ ต่อให้เป็นหลี่จี้ หัวหน้าขุนนางกรมอาญายังต้องขออนุญาตเข้าพบในการทำเรื่องทางการ ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่สถานที่ที่ขุนนางระดับล่างจะเข้ามาได้
ขุนนางผู้น้อยสวมชุดสีเขียวยืนอยู่ตรงหน้า เสื้อคลุมก็เก่ามากแล้ว แม้กระทั่งบนรองเท้าก็มีรอยปะ มีดาบห้อยอยู่ที่เอว ดูจากดาบที่ดูเป็นสีเหลืองก็พอจะมองออกได้ว่ามีดเล่มนี้ถูกใช้มานานมากแล้ว ไม่แน่อาจจะเป็นของที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แม้ว่าเขาจะก้มศีรษะคำนับ แต่หลังของเขายังตรงอยู่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยลงมาจากรถม้าจึงพูดต่อว่า “อวิ๋นโหว ผู้น้อยเสียมารยาทแล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับชีวิตของคนห้าสิบเอ็ดคน ขอให้ท่านโหวอภัยให้ด้วย รอให้ไขคดีได้แล้ว ผู้น้อยจะมารับโทษอย่างแน่นอน”
คนที่เอวแข็งมักจะมีความกล้าหาญ หัวหน้าสายตรวจคนอื่นๆ เมื่ออยู่ที่ตระกูลอวิ๋นแทบจะไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่ผู้ชายคนนี้กล้าที่จะหยุดขุนนางบนถนนแล้วขอร้องให้เขาร่วมมือกับตัวเองในการสืบสวนคดี อวิ๋นเยี่ยเริ่มสนใจเขาขึ้นมาแล้ว ดูจากการแต่งตัวของเขา ภูมิหลังของครอบครัวคงจะไม่ดีเท่าไหร่ หรือว่าคนคนนี้ต้องการจะให้ตัวเองช่วยส่งเสริมชื่อเสียงเช่นนั้นหรือ
“ในเมื่อเจ้าได้หยุดข้าไว้ ข้าก็ลงมาแล้วมีอะไรก็ถามมา ข้าจะรีบไปดูแข่งบอลโปโล ส่วนเรื่องการลงโทษข้าจะไปถามกับเจ้ากรมหลี่”
มีร่องรอยของความโศกเศร้าบนใบหน้าของเฮ่อเทียนซัง แต่เขายังคงเงยหน้าขึ้นแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าขอถามทานโหวว่าท่านอยู่ที่ไหนในวันที่สามสิบเดือนเก้า ทำอะไรอยู่ที่นั่น ท่านโหวได้โปรดตอบด้วย”
“อ๋อ สามสิบเดือนเก้าหรือ ตอนนั้นข้าอยู่ที่ฉินหลิ่ง พาคนจำนวนมากไปออกล่า ทั้งหมดล้วนเป็นชายผู้กล้าหาญ เจ้ามีเรื่องจะถามอีกหรือไม่ หากไม่มีข้าก็จะไปดูตีคลีแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยกอดอกแล้วมองไปที่สายตรวจตรงหน้าเขา อยากจะดูว่าเขาจะมีวิธีอะไรมาถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น เมื่อคนอื่นได้เจอคดีนี้ก็พากันหลบแทบจะไม่ทัน มีเพียงเขาที่รับคดีนี้ ไม่รู้ว่าถูกเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้งหรือว่าตัวเองตั้งใจรับเอาไว้เอง
“ท่านโหวอาจจะไม่รู้ คืนนั้นที่วัดจินเก๋อในฉินหลิ่ง นักบวชแต่ละคนได้รับบาดเจ็บกันมาก หัวหน้าสำนักทั้งสองคนเมื่อถูกถามอะไรก็เอาแต่ตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบว่าท่านโหวเห็นหรือไม่ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น ตามที่ผู้น้อยตรวจสอบ คืนนั้นท่านพักอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขาทั้งสองคน”
“ขนาดเจ้าสำนักยังไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วสายตรวจอย่างเจ้าจะสืบสาวเรื่องราวไปทำไมกัน หากเจ้าไม่รู้ว่าจะโยนเรื่องนี้ไปให้ใคร ข้าจะช่วยเจ้าคิดหาวิธี เจ้าดูสิ คืนนั้นข้าอยู่ในที่เกิดเหตุและมีคนแข็งแกร่งมากมายอยู่รอบตัว เจ้าก็แค่บอกหัวหน้าว่าข้าเพียงแค่เกลียดคนหัวโล้นกับพวกที่มีขนเยอะจึงพาคนไปฆ่าพวกเขา เจ้าคิดว่ารายงานเช่นนี้ดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดประชดตัวเอง เฮ่อเทียนซังจึงกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านโหว ต่อให้ตำแหน่งของผู้น้อยจะเล็กแค่ไหนแต่ก็ถือว่าเป็นขุนนาง กฏของต้าถังได้กำหนดไว้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชามีหน้าที่แยกแยะความชั่วร้ายและสอบสวนผู้ทรยศ หรือว่าท่านโหวปฏิบัติเช่นนี้กับขุนนางทุกคน ท่านจะดูถูกข้าก็ได้ แต่ผู้น้อยขอให้ท่านตอบอีกครั้งภายใต้การบังคับกฏหมายของต้าถัง”
มันไม่ง่ายเลยที่คนเช่นนี้จะได้เป็นสายตรวจ ถึงแม้ว่าตำแหน่งหัวหน้าสายตรวจในฉางอันจะเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่ก็พอจะได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง ที่ว่ากันว่ามังกรท่องฟ้า งูท่องแผ่นดิน ต่างคนต่างมีทางของตัวเอง หัวหน้าสายตรวจคนอื่นๆ มีใครบ้างที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีบางคนที่ถึงขั้นรวยล้นฟ้า แต่ว่าชายผู้นี้กลับสวมรองเท้าที่มีรอยปะ ถือว่าน่าทึ่งจริงๆ
“เจ้าพูดถูกแล้ว เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าก็ได้ คืนนั้นข้ากำลังหลับอยู่ ไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรทั้งนั้น นอนหลับสบายจนถึงเช้า ตื่นเช้ามาก็ต้มโจ๊กหนึ่งถ้วย รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว แล้วก็ไปปลดทุกข์อยู่ในป่าสน มีความสุขเป็นอย่างมาก”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของซินเย่วและน่ารื่อมู่ดังออกมาจากรถม้า ใบหน้าของเฮ่อเทียนซังเดี๋ยวก็ซีดเดี๋ยวก็แดง สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาว โค้งคำนับอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านโหวไม่ยอมพูด ผู้น้อยก็ขอตัวก่อน เดิมทีคิดว่าท่านโหวโค่นครอบครัวที่ร่ำรวยด้วยความโกรธเพียงเพราะนางรำแค่คนเดียว แต่ทำไมตอนนี้เมื่อต้องเผชิญกับห้าสิบเอ็ดชีวิตจึงทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หรือว่านี่คือที่เขาว่ากันว่าฟังคนอื่นเล่าไม่สู้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เสียดายที่ห้าสิบเอ็ดชีวิตต้องจมอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ไม่มีวันได้เห็นแสงอาทิตย์อีก”
อวิ๋นเยี่ยมองดูเขาหันหลังจากไป หัวเราะเบาๆ แล้วขึ้นรถม้า รถม้าถูกบังคับไปข้างหน้า ไม่นานก็ตามทันสายตรวจผู้นั้น อวิ๋นเยี่ยโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ถือว่าเจ้าเป็นสายตรวจที่ดี แต่ว่าคดีนี้เจ้าจัดการปิดคดีไปเถิด คนห้าสิบเอ็ดคนนั้นสมควรได้รับในสิ่งที่ทำแล้ว สำหรับข้าแล้ว ตายแล้วก็ตายไป ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เชื่อข้าเถอะว่าไม่มีใครถามหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากมีเวลาก็ลองไปดูว่าวัวบ้านใครหายบ้าง ดีกว่าที่เจ้าจะมาสืบคดีนี้”
“ท่านโหวอย่าได้พูดเหลวไหล ชีวิตคนก็คือชีวิตคน เมื่อตายก็ต้องสืบคดี อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบคดีฆาตกรรมครั้งนี้ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ผู้น้อยก็อยากจะบอกท่านโหวว่าข้าจะคอยตามสืบเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าราษฎรจะต่ำต้อย ชีวิตไร้ค่า แต่ว่าจะให้ใครฆ่าแกงเล่นไม่ได้เด็ดขาด ที่ท่านบอกข้ามาก็มากพอแล้ว อย่างน้อยผู้น้อยก็รู้แล้วว่าควรจะสืบสาวเรื่องราวไปทางทิศไหน ขอบคุณท่านโหวเป็นอย่างมาก”
เฮ่อเทียนซังเดินหายเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วก็แทบจะดูไม่ออก เพียงแต่ว่าเอวของเขาจะตรงแน่วกว่าผู้อื่นเท่านั้นเอง
อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะบีบเอวตัวเอง เรื่องไร้สาระเมื่อคืนยังมีผลกระทบกับเอวอยู่นิดหน่อย จากนั้นก็นอนไปบนรถม้าแล้วให้ซินเย่วนวดให้ตัวเองอีกครั้ง
น่าสนุกเสียจริง ตอนนี้มีคนกำลังตามสืบหลี่ซื่อหมิน น่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว มังกรร้ายตัวนั้นที่ปักหลักอยู่ในวัง ตอนนี้มีไฟพ่นออกมาทางจมูก แลบลิ้นที่มีสีแดงดั่งเลือด เอาเล็บฝนก้อนหินไปแล้วมองดูพวกแกะอ้วนที่กำลังวุ่นวายไปด้วย เตรียมพร้อมที่จะเปิดอ่างเลือดตลอดเวลาแล้วกลืนกินลงไปในทีเดียว
ไม่รู้ว่าวีรบุรุษสังหารมังกรอย่างเฮ่อเทียนซังผู้นี้จะใช่คู่ต่อสู้ของมังกรร้ายหรือไม่ แต่ว่าจากประสบการณ์ของอวิ๋นเยี่ยก่อนหน้านี้ มังกรร้ายจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายแกะอ้วนก็จะถูกเขากลืนลงท้องไป แน่นอนว่าในมูลมังกรที่ขับออกมา บางทีดาบที่เป็นมรดกตระกูลของเฮ่อเทียนซังอาจจะยังเหลืออยู่