GGS:บทที่ 960 ตำราปลอม
ซูจิ้งยังคงทำการรื้อค้นขยะกองผ้าต่อไปด้วยความเหนื่อยหน่าย ทันทีเขากำลังหยิบกองผ้ามาตรวจสอบและโยนทิ้งไปด้านหลังของเขา เขาก็ได้สังเกตุเห็นเศษผ้ากองหนึ่งที่เป็นผ้าไหมสีเหลืองและน่าเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง
ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจในทันทีเพราะว่าเศษผ้าชิ้นนี้มีกลิ่นอายของพลังภายในหลงเหลือเอาไว้ เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ทำการซ่อมแซมมันในทันที แต่ผ้าชิ้นนี้ดูเหมือนจะเหมือนกับพระธาตุที่เจอก่อนหน้านี้ ผ้าผืนนี้ค่อยฟื้นฟูสภาพอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงเห็นจะได้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีเหลืองนี้ก็ไร้รอยขาดแม้แต่น้อย มันยังเป็นผ้าไหมที่นุ่มมาก เหมือนกับว่าวัตถุดิบที่ใช้จะดีมากทีเดียว นอกจากนี้ผ้าเช็ดหน้าผืนยังมีอักขระอะไรบางอย่างปักเอาไว้
ซูจิ้งกางผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือออกแล้วทำการตรวจสอบดูอยู่นาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่าผ้าผืนนี้ใช้ทำอะไรกันแน่
เขาได้ลองถ่ายทอดทั้งพลังภายในและพลังวิญญาณลงไปในผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แต่ก็เหมือนกับว่ามันไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
เขาอาจจะยังใช้งานผ้าผืนนี้ได้ไม่ถูกวิธีก็เป็นได้แต่ถ้าดูจากพลังงานที่ผ้าผืนนี้ปล่อยออกมารวมถึงอักขระที่ปักเอาไว้แล้ว หากผ้าผืนนี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษอย่างหนึ่งก็สมควรจะเป็นเครื่องรางอะไรบางอย่าง
ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจวิธีใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แต่เขาก็ไม่ได้รีบเร่งแต่อย่างใด ซูจิ้งเก็บผ้าเช็ดหน้าไหมสีเหลืองนี้เข้าไปไว้ในกระเป๋ามิติแล้วจัดการขยะกองผ้าต่อไป
หลังจากจัดการขยะกองผ้านี้จนหมด เขาได้ทำการตรวจสอบขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯทั้งหมดดูอีกครั้ง หลังจากคัดเลือกของที่พอใจใช้ได้เพิ่มเติมไปเก็บไว้ในมิติเก็บของของสถานีเขาก็ได้ตรวจสอบดูอีกรอบหนึ่ง
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรมีค่าเขาก็ได้ให้ฉิงหยุนเผาและย่อยขยะเหล่านี้ และในตอนนี้ลานกองขยะห้วงเวลาฯก็ได้โล่งเตียนลงอีกครั้ง
หลังจากกำจัดขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเสร็จสิ้น ซูจิ้งก็ใช้เวลาไปสองสามวันกับการฝึกตำราวิถีแห่งใต้หล้า วิถีแห่งมังกร ตำราจ้าวแห่งสายน้ำ ตำรากระดาษการสงคราม ตำรารักษาโรคทั่วไป ศึกษาอักขระบนผ้าเช็ดไหมสีเหลือง และตำราอื่นๆทั้งหมด
ในตอนนี้ที่โลกภายนอกต่างก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งกันอย่างบ้าคลั่ง แต่นั่นก็หาได้ทำให้เขานั้นสนใจได้ไม่
เช้าวันถัดมา เสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้น เป็นเสี่ยวรุยที่โทรหาเขา เขาได้รีบรับโทรศัพท์ในทันทีและพูดออกไปว่า “โย่ว เสี่ยวรุยว่าไง ช่วงนี้มีใครก่อกวนนายอีกรึไงกัน”
“ไม่ไม่ ผมยังอยู่ดีอยู่” เสี่ยวรุยหัวเราะออกมา เขาเป็นคนแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวและมีนิสัยยังคล้ายกับเด็กๆอยู่ ถึงแม้ว่าจะผ่านเรื่องเฉียดตายอย่างการลักพาตัวมาแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เขากลับลืมเรื่องแย่ๆแบบนั้นไปจนเกือบจะหมดสิ้นและไม่ได้ใส่ใจมันอีกต่อไป
“ถ้าไม่เป็นไรแล้วทำไมวันนี้โทรมาหาแต่เช้าได้ล่ะเนี่ย”
“ก็ไม่เชิงอ่ะ พอดีผมมีเรื่องจะกวนพี่แต่ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ คือวันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคนที่ผมไล่จีบอยู่ ผมเลยอยากจะให้พี่ช่วยผมเกี่ยวกับเรื่องของขวัญหน่อยน่ะ”
“หืม ปกติของแบบนี้นายเองเตรียมเองจะไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะยืมมือคนอื่นเลยนา…”
“ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าจะเตรียมอะไรให้เธอดี ทั้งหมดก็เป็นเพราะพี่นั่นแหล่ะ หลังจากเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ของพี่แล้วทำให้ผมรู้สึกว่าของภายนอกนั้นไม่มีอะไรเหมาะกับการเป็นของขวัญเลยแม้แต่น้อย
นอกจากพี่จะเป็นพี่สามของผมแล้วพี่ยังเป็นจ้าวแห่งของขวัญอีกด้วยนา ถึงแม้พี่จะบอกว่าไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้พี่ก็ควรจะจริงจังได้แล้ว
พี่สาม ช่วยผมหน่อยเถอะนะ ไม่ต้องให้ของชิ้นใหญ่โตก็ได้ ขอของชิ้นเล็กๆเท่านิ้วก้อยก็ยังดี ยังไงซะของชิ้นเท่านี้ของพี่ก็ยังดีกว่าของที่ผมหาได้ทั่วไปอยู่ดี”
“ก็ได้ก็ได้ นายมานี่ก็แล้วกันเดี๋ยวฉันหาไว้ให้” ซูจิ้งพูดตัดบทพลางยิ้มออกมา ดูเหมือนว่ากับคนๆนี้เสี่ยวรุยจะเอาจริงแหะ ขนาดพยายามทำตัวให้สูงเพื่อจะได้มีความมั่นใจในการจีบแถมยังอยากหาของขวัญดีๆให้เสียอีก
ถ้าไม่ติดว่าหมอนี่นับถือเขาเป็นพี่จริงๆนี่ให้ตายเขาก็ไม่ช่วยให้เสียเวลาหรอกนะ ถ้าเป็นเขาล่ะก็คงจะทำของทำมือให้แค่นั้นก็พอละ
“พี่สาม ถ้าพี่ไปงานเลี้ยงของเธอกับผมได้นี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ยังไงซะพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปเอาของที่พี่อยู่แล้ว เอาเป็นพี่ก็ไปงานเลี้ยงวันเกิดของเธอเป็นเพื่อนผมหน่อยก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวนะ นายจะให้ฉันไปงานเลี้ยงของเธอทำไมล่ะนั่น”
“น่าๆไปกับผมหน่อยก็แล้วกัน ผมเองก็ไม่ได้อยากไปนักหรอก แต่ว่าคู่แข่งของผมนี่สิมีเพื่อนของเธอคอยยุส่งอยู่ หากผมไม่ไปร่วมงานแน่นอนว่าต้องเสียโอกาสทำคะแนนไปเปล่าๆเลย
อีกอย่างพี่ใหญ่กับพี่รองไม่อยู่ที่เมืองจงหยุน ตอนนี้ผมก็มีแต่พี่นี่แหล่ะ เธอเองก็จบจากมหาวิทยาลับเทียนหยางเหมือนพวกเราด้วยนา และในงานนี้ก็มีเพื่อนเก่าบางคนของเราไปร่วมงานด้วย พี่ก็คิดซะว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่นก็ได้”
“ห้ะ นางแบบ…เพื่อนเก่า… เพื่อนเก่าของเรามีคนเป็นนางแบบด้วยเรอะ” เมื่อซูจิ้งได้ยินก็นิ่งเงียบไปในทันที เขาพยายามนึกว่าเป็นใครแต่ก็นึกไม่ออก
“ช่ายยยย เธอเองเรียนอยู่รุ่นหลังเราปีนึง แต่ตอนเรียนเธอไม่ได้พักอยู่ที่หอพักก็เลยไม่ได้เจอกันน่ะ พ่อของเธอมีชื่อว่าหลูฉิงหมิง เขานั้นเป็นหมอชื่อดังและถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ในวงการแพทย์ของเมืองจงหยุนเลยนะ ผมไม่รู้ว่าพี่จะเคยได้ยินรึเปล่า”
“อืมมมม ไม่เคยได้ยินชื่อแหะ” ซูจิ้งตอบกลับไป แต่หลังจากได้ยินเกี่ยวกับชื่อหมอแล้วซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างในทันที
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่พ่อของเธอที่ชื่อหลูฉิงหมิงนี่จะไปงานรึเปล่า”
“ก็น่าจะไปนะ เขารักลูกยังกับเด็กน้อยแน่ะ เล่นซะผมเห็นแล้วอยากจะถะนุถนอมตามไปด้วยเลย” เสี่ยวรุยพูดออกมา
“โอ้…งั้นเอาเป็นฉันจะไปร่วมงานเลี้ยงกับนายวันพรุ่งนี้ด้วยก็แล้วกัน” ซูจิ้งตกปากรับคำในทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมากอีกต่อไป
หลังจากวางสาย เขาได้หยิบตำราการรักษาโรคทั่วไปที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯออกมา ก่อนที่จะจ้องมองพลางนึกอะไรบางอย่างอย่างหนัก
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาตำรานี้อย่างถี่ถ้วน แถมเขายังอ่านตำราแพทย์ของโลกเพิ่มเติมอีกด้วย ต้องขอบคุณทักษะในการอ่าน จำ และเข้าใจของเขาทำให้เขานั้นศึกษาตำราต่างๆได้ดีกว่าคนทั่วไปได้ไกลมากนัก
และเขานั้นแทบจะไม่เคยรีบเรียนรู้เนื้อหาเลย ต่อให้เขาจะคิดว่ามันไม่จำเป็นก็ตาม
หลังจากใช้เวลาศึกษาไปกว่าสองวัน ในตอนนี้เขาก็มีความรู้เกี่ยวกับตัวยาไม่ได้ด้อยไปกว่าแพทย์ที่จบป.ตรีในสาขาการรักษาโรคทั่วไปแม้แต่น้อย
ถึงแม้เขาจะเข้าใจในตำราการรักษาโรคทั่วไปนี่ได้อย่างดีแล้วแต่ยังไงซะเขาไม่ใช่มืออาชีพเรื่องการรักษา เขาเองก็กลัวว่าการแพทย์ในห้วงเวลาฯที่ตำรานี้จากมาจะไม่สามารถนำมาใช้บนโลกได้อยู่ดี
ตอนนี้เขาก็หวังเพียงแค่ว่าจะมีหมอดีๆสักคนที่อ่านตำรานี้รู้เรื่องและพร้อมที่จะทำการศึกษาตำรานี้ไปพร้อมกับเขา เพื่อว่าดีไม่ดีอาจจะได้กำไรมาอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้ สิ่งเรื่องนี้มีแต่ได้กับได้เท่านั้นเอง
“วิธีการรักษาที่ฉันได้เรียนรู้กับตำรานี้น่าจะพอที่จะทำให้ฉันคุยกับคนอื่นเขาเรื่องเรื่องมั่งล่ะนะ ต่อให้เรื่องนี้จะเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนอยู่บ้าง
แต่ยังไงซะดูๆไปแล้วก็น่าจะได้มากกว่าเก็บไว้เฉยๆอยู่ดี แต่….อืม…ส่วนวิธีการทำยานี่ยังไงก็เปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้แหะ”
ซูจิ้งคิดอู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจคัดลอกตำรานี้ก่อนที่จะเอาไปคุยกับคนอื่นเขาได้ ด้วยการที่ข้อมูลในตำรานี้ล้ำค่ามาก ไม่มีทางที่เขาจะนำไปเผยแพร่ให้คนอื่นเห็นได้อย่างแน่นอน
“ว่าแต่ ฉันควรจะเอาส่วนไหนไปคุยกับคนอื่นดีหล่ะ แถมฉันเองก็ไม่สามารถใช้ลายมือตัวเองเขียนตำรานี้ได้อีกด้วยย เพราะคงไม่มีใครเชื่อแน่นอนอยู่แล้วว่านี่จะเป็นตำราแพทย์สมัยโบราณจริงๆ
เอาจริงๆต่อให้เชื่อฉันแต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่สนตำราแพทย์โบราณกันอยู่แล้วล่ะนะไม่ว่าจะบอกว่ามันเป็นตำราแพทย์โบราณที่ลองใช้แล้วรักษาโรคได้ชะงักงันก็ตาม
ดีไม่ดีพอรู้ว่าเป็นของโบราณจะโดนเอาไปขายเสียมากกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาพลางนึกไปถึงตำราแพทย์แผนจีนสมัยโบราณเล่มต่างๆที่เขารู้จักอย่าง ตำรารักษาภายนอกของฮวงตี้ ตำราการรักษาภายในของฮวงตี้ ตำราบำรุงร่างกาย และตำราอื่นๆ ที่ไม่ได้มีคนใส่ใจจะศึกษามากมายนัก
ความจริงตำราแพทย์ที่สาบสูญไปอย่างตำรารักษารักษาโรคของฮวงตี้และตำราบำรุงร่างกายที่ว่า หากมีใครสักคนหาตำราฉบับเต็มของทั้งสองตำรานี้ได้ล่ะก็ แน่นอนว่าต้องทำให้คนทั้งประเทศต้องประหลาดใจกันไปหมดอย่างแน่นอน
ตำราแพทย์แผนจีนสมันโบราณแบบนี้ ต่อให้ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับตำราสมุนไพรจีนของหลี่ซือเซินและ
ตำราสมุนไพรของเชิงหนงก็ตาม แต่อย่างน้อยๆก็คงจะดึงดูดความสนใจได้บ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
“……ไหนๆจะทำของปลอมแล้วก็ปลอมให้มันสุดๆไปเลยก็แล้วกัน หึหึหึ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาก็ไม่รอช้าได้รีบทำการปลอมเนื้อหาในส่วนที่เขาพอที่จะยอมเผยแพร่ในทันที
หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้หัวกระโหลกกาลเวลาทำการเร่งอายุของหนังสือนี้ให้อยู่ในช่วงเดียวกับตำนานที่ได้เล่าลือกัน