GGS:บทที่ 959 วิธีรักษาแห่งห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
ไม่ว่าข้างนอกจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม ซูจิ้งไว้ใจพอที่จะให้เฉินฮงจัดการเรื่องทุกอย่างของพิพิธภัณฑ์แล้วทำการจัดการขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาต่อไป
ตอนนี้เขาได้เริ่มจัดการขยะกองผ้าแล้ว และในกองนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสวยๆในยุคก่อนและเศษผ้ามากมาย เขานั้นหวังเพียงว่าจะพบวัตถุดิบที่พอจะใช้ทำอาวุธวิเศษได้เท่านั้น ไม่ว่าของพวกนี้จะสวยขนาดไหนก็ตาม ยังไงซะก็เทียบไม่ได้กับอาวุธวิเศษอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหลังจากเขาจัดการไปเกินกว่าครึ่งกองแล้วแต่เขาก็ยังไม่เจออะไรดีๆเลยสักอย่าง ที่เจอก็มีเพียงเศษผ้าที่มากมายและหาประโยชน์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากจัดการไปได้สักพัก เขาก็ได้เจอถุงผ้าใบหนึ่ง เขาได้เปิดมันออกดู และในทันทีที่เปิดเขาก็พบกลิ่นเหม็นเน่า ข้างในนั้นคืออาหารที่เน่าเสียจนราขึ้นแล้ว
ซูจิ้งได้โยนของข้างในที่เจอทิ้งไปในทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็พบเจอขวดเล็กๆที่แตกออกอยู่ตรงมุมของถุงผ้า ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงในทันที
ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังจิตของเขาเพื่อทำการแยกเอาอาหารที่แห้งกรังในถุงออกไป หลังจากนั้นเขาได้ลองเปิดขวดแตกนี้ดูก็พบกับอะไรสักอย่างที่มันดูหยึยๆสี่ชิ้นและมันก็เน่าแล้วอย่างแน่นอนเพราะมันนั้นมีราที่กำลังฟูฟ่องจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่
“อืมมมมม นี่มันเม็ดยารึเปล่าหว่า” หัวใจของซูจิ้งในตอนนี้รู้สึกเสียดาย ถ้านี่เป็นเม็ดยาของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯจริงล่ะก็หากได้ทดลองใช้ดูก็คงดีไม่น้อยเช่นเดียวกัน เขาพลางนึกถึงว่าการที่มีขวดยาในถุงผ้าแบบนี้สมควรจะเป็นของใช้พื้นฐานของนักบวชที่แห่งห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
ที่นั่นนักบวชจะได้รับถุงผ้าพร้อมของใช้ประจำตัว ของในถุงนั้นประกอบด้วยถุงดำห้าชิ้น น้ำเต้าเก็บของ กระเป๋าเก็บดาบ และเครื่องมือที่จัดเก็บของ
หากพวกเขานั้นเอาของพวกนี้ใส่ไว้ในกระเป๋าธรรมดาล่ะก็แน่นอนว่าของข้างในคงไม่ได้มีค่าอะไรนัก แต่ยังซะของนี้ก็มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ แต่ให้เป็นยาที่โยนทิ้งเป็นว่าเล่นก็สมควรจะเป็นสุดยอดแห่งยาเมื่ออยู่บนโลกนี้
“เสี่ยวไป๋ ซ่อมเจ้านี่ทีสิ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฮอว์” เสี่ยวไป๋รีบวิ่งมาหาในทันทีที่ไม่ได้ยินซูจิ้งบอก เมื่อมาถึงเสี่ยวไป๋ได้ปลดปล่อยสแตนด์เพื่อทำการซ่อมของตามที่ซูจิ้งสั่งในทันที
ครั้งนี้ความเร็วในการซ่อมแซมอยู่ในระดับที่เร็วพอจนตาเปล่าเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลง และขนราทั้งสี่ในขวดนี้ค่อยหดลงไปอย่างรวดเร็ว และเม็ดยาก็ได้ก่อรูปขึ้นใหม่อีกครั้งและค่อนข้างจะดูเงางามมากขึ้น ในขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะใช้เวลาฟื้นคืนสภาพพอสมควร
หลังจากเวลาผ่านไปค่อนข้างนาน เสี่ยวไป๋ก็ได้หยุดการซ่อมแซมและตรงหน้ามันในตอนนี้ก็ได้มีขวดยาที่ข้างในมีเม็ดยาสีแดงสีเม็ดอยู่ในขวด
ซูจิ้งได้เปิดปากขวดดูแล้วใช้จมูกเขาดมมันใกล้ๆ และทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นของตัวยาสมุนไพรในทันที
“นี่สมควรจะเป็นเม็ดยาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประเด็นคือมันเป็นยาสำหรับใช้ทำอะไรนี่แหล่ะ” ซูจิ้งแน่นอนว่าไม่ยอมลองยานี่ด้วยตัวเอง หากว่ามันเป็นยาพิษขึ้นมาอาจจะตายเลยก็ได้
ต่อให้ไม่ใช่ยาพิษยังไงซะก็ไม่รู้ว่าจะส่งอะไรกับร่างกายบ้าง หากกินไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจมีปัญหาตามมาได้
ดังเช่นทุกครั้ง ซูจิ้งต้องการหนูสักตัวมาทดลองยาตัวนี้ แต่ปัญหาคือยานี้มีเพียงสี่เม็ดเท่านั้น และโดยปกติแล้วเขาเองก็จำเป็นต้องลองยาหลายๆครั้งเพื่อที่จะได้รู้ผลของยาว่ามันมีผลที่แท้จริงแบบไหนกันแน่ ด้วยเม็ดยาที่น้อยขนาดนี้เขาคงลองอะไรได้ไม่มากนัก ดีไม่ดีลองทั้งสี่เม็ดนี้แล้วเขาอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเม็ดยาชุดนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่
“….หรือจะใช้มดดีล่ะ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นก็ได้ลองดูในทันที ถึงแม้เขานั้นจะไม่เคยใช้มดในการทดลองยามาก่อน มันทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีของมันคือด้วยการที่มดนั้นตัวเล็ก ลองให้กินยานิดหน่อยแน่นอนว่าไม่นานก็รู้ผล
แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่โครงสร้างร่างกายของมดนั้นต่างกับมนุษย์เกินไป
แน่นอนว่าผลที่ได้อาจจะไม่เหมือนกับมนุษย์ซะทีเดียว ไม่เหมือนกับหนูที่มีความใกล้เคียงกับร่างกายมนุษย์
มากกว่า
แต่ยังไงซะตอนนี้เขาก็มีเม็ดยาอยู่เพียงสี่เม็ดเท่านั้นและไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วก็คงได้แต่ลองให้มดทดลองดูก่อน
คิดได้ดังนั้นซูจิ้งก็ได้ปล่อยมดออกมาจากกระเป๋ากักอสูรในทันที เขาได้ลองให้มดนั้นกินเศษยาที่มีอยู่ก้นขวดไปเล็กน้อย หลังจากรอดูผลแล้วไม่พบว่ามดตัวนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเลยลองเปลี่ยนวิธีการทดลองโดยการให้มดนั้นกินพิษไปก่อนแล้วลองให้กินยาดู
แต่ดูเหมือนว่ายานี้จะไม่ได้ผลแต่อย่างใดเพราะไม่นานมดตัวนี้ก็ตายด้วยพิษที่มันกินเข้าไป เมื่อเห็นดังนนั้นซูจิ้งจึงได้ปล่อยมดมาอีกตัวหนึ่งแล้วทำการบี้มดตัวนี้ให้อยู่ในสภาพสาหัสในทันที
เจ้ามดที่มีสภาพปางตายในตอนนี้ได้กินเศษยาเข้าไปเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฎภาพอันน่ามหัศจรรย์ขึ้น นั่นก็คือเจ้ามดที่เกือบตายด้วยการบี้แบนของซูจิ้ง เพียงไม่กี่นาทีที่กินยามันก็ได้ฟื้นคืนสภาพกลับมาปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามซูจิ้งเองก็ยังไม่อาจแน่ใจในฤทธิ์ยาได้อยู่ดี ด้วยการที่มดตัวนี้อาจไม่เหมือนกับมดทั่วไป หากเป็นมดทั่วไปเมื่อถึงจุดที่มันเกือบตายแต่ทิ้งไว้สักพักมันก็อาจจะฟื้นคืนสภาพตัวเองได้
บางตัวถึงขนาดที่ว่าต่อให้ล่างขาดครึ่งก็ยังเคลื่อนที่ต่อไปได้ นี่คือความสุดยอดของมดในความอึดชนิดที่ไม่ว่าหนูหรือมนุษย์ก็เทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังแน่ใจไม่ได้ว่าความอึดนี้ของมดตัวนี้เป็นผลของยาหรือเป็นความอึดของตัวมันเองกันแน่
ซูจิ้งได้ทดลองซ้ำๆกับมดอีกหลายๆตัว หลายวิธีๆ หลายๆรูปแบบอาการบาดเจ็บ ทั้งหักแขน แยกชิ้นส่วน และทำอย่างอื่นอีกราวกับว่าสนุกไปกับมัน
ในทุกๆกลุ่มนั้นเพียงได้เศษยานี้ไปเล็กน้อยเท่านั้น พวกมันก็ได้ฟื้นคืนสภาพสู่สภาพเดิมในทันทีเหมือนกันหมด
“ดูเหมือนว่ายานี้จะเป็นยารักษาจริงๆแหะ” หลังจากแน่ใจแล้วซูจิ้งได้ปล่อยหนูที่อยู่ในถุงกักอสูรตัวหนึ่งออกมาแล้วทำให้มันเจ็บหนัก หลังจากนั้นเขาก็ให้มันลองกินยานี้ไปครึ่งเม็ด
เหมือนเจ้าหนูตัวที่เจ็บหนักนี่กินยาเข้าไป ไม่นานนักจากหนูที่สภาพเกือบตายก็ได้กลับสู่สภาพเดิมเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ไม่เหลือรอยแผลเป็นไว้เลยแม้แต่น้อย
“ผลของยานี่มันน่าเหลือเชื่อเลยจริงๆ” ซูจิ้งได้เปรยออกมาด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้ว่าผลจากการทดลองยากับมดนั้นจะพอที่จะบ่งบอกได้ว่ายานี่คือยารักษาจริงๆ แต่ยังไงซะการทดลองกับหนูก็ทำให้เขามั่นใจได้มากกว่าอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเคยได้รับยารักษามาจากกองขยะห้วงเวลาฯจูเซียนมาแล้ว แต่ผลของมันนั้นทำได้เพียงสมานแผลภายนอกเท่านั้น แต่กับเม็ดยาดูเหมือนว่านอกจากจะรักษาบาดแผลภายนอกแล้วมันยังมีผลในการรักษาอาการบาดเจ็บภายในอีกด้วย ผลของยานี่สุดยอดเลยจริงๆ
“เดี๋ยวนะ…เหมือนฉันจะจำได้อยู่นา…ยาเม็ดสีแดงที่มีผลในการรักษาชั้นเลิศ….ยาโลหิตเหรอ” ซูจิ้งนึกชื่อนี้ได้ในทันที ในห้วงเวลาฯสุสานฯนั้นมียาวิเศษตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า เม็ดยาโลหิต
ตัวยานี้มีส่วนประกอบหลักคือหญ้าเลือดกวาง ยามีผลต่อการรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถึงจะอย่างนั้น มันก็เป็นเพียงยาระดับต่ำเท่านั้นแน่นอนว่าไม่ได้มีค่าอะไรเมื่ออยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
“ถึงแม้จะเป็นยาระดับต่ำก็ผลของมันก็ยังวิเศษเมื่ออยู่ที่นี่อยู่ดี หากว่ามียาระดับสูงหลุดออกมาอย่างยากยกระดับขั้น ยาศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็ยาแห่งภูติผี หรือยาเทพเซียนอมตะหลุดมาพร้อมขยะกองนี้ก็คงจะดีล่ะนะ”
ซูจิ้งในตอนนี้รู้สึกแบบนี้จริงๆ แต่พอคิดไปคิดมาเขานั้นก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยวางและถอนหายใจเท่านั้น
พลางคิดต่อว่าพวกยาระดับสูงแบบนั้นจะมาอยู่กับกองขยะแบบนี้ได้ยังไง แค่ได้เจ้านี่มาก็ดีมากแล้ว ต้องขอบคุณเสี่ยวไป๋ล่ะนะที่ช่วยฟื้นฟูยานี้ห้กับเขาไม่งั้นก็คงต้องปล่อยให้มันเน่าไปเสียอย่างนั้น
ซูจิ้งได้โยนยาทั้งสามเม็ดที่เหลือใส่ในกระเป๋ามิติของเขาอย่างสุขใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการจัดการขยะของเขาแต่โดยมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเจอของดีๆอีก
หลังจากค้นไปได้สักพักเขาก็ได้พบกับตำราชุดหนึ่ง ตัวของตำรานี้เต็มไปด้วยอักษรที่ใช้มือวาด ดูเหมือนตัวตำราจะทำมาจากผ้าไม่ก็หนังสัตว์เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าที่ไหร่ที่เจอตำรานี้ในขยะกองผ้านี้
ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ทำการซ่อมแซมในทันที หลังจากเสร็จแล้วเขาก็ได้รีบอ่านดูและเพียงแค่เขาเปิดได้เพียงไม่กี่หน้าก็พยว่านี่คือตำรา “การรักษาทั่วไป” ที่ดูเหมือนจะมีเนื้อสมบูรณ์จบในเล่มเดียว
ซูจิ้งจ้องตำรานี้ด้วยตาเป็นมันพักใหญ่ก่อนที่จะทำการไล่เปิดตำรานี้ดูอีกครั้ง เนื้อหาตำรานี้เต็มไปด้วยวิธีการรักษามากมายหลายแขนงและหลายโรคภัย มีแม้กระทั่งการผสมยาด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามส่วนผสมของยาในตำรานี้เขาเองก็เคยแค่ได้ยินเพียงบางตัวเท่านั้น ตัวยาส่วนใหญ่เขานั้นไม่เคยได้ยินเลยไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบนโลกนี้ไม่มีหรือว่าโลกนี้ยังไม่รู้จักรึอย่างไร
เจียวเฟยที่เป็นตัวเอกของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเองก็มีตำราชุดคัดลอกของตำราการรักษาทั่วไปนี่เหมือนกัน เขาได้ใช้เนื้อหาในตำรานี้ในการหลอมเม็ดยากระหายเลือด ยาทะลวงระดับขั้น และยาปรับเสถียร
แต่เรื่องการหลอมเม็ดยานี้ซูจิ้งเองก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก สิ่งที่สนใจมากที่สุดคือวิธีการรักษา หลังจากเขาอ่านตำราเล่มนี้ไปจนหมดก็พบว่าโรคภัยต่างๆที่มีบันทึกวิธีการรักษาในตำรานี้ค่อนข้างจากเหมือนกับโรคภัยบนโลกนี้ และสมควรที่จะใช้ในการรักษาได้เช่นเดียวกัน
แต่เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้ในสายการแพทย์นี้โดยตรง ดูเหมือนเขาจะต้องให้ใครสักคนที่เขาไว้ใจได้มาช่วยดูตำรานี้ให้แน่ใจอีกครั้ง
“โลกนี้ถึงแม้จะไม่มีคลื่นพลังแบบเดียวกับในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯแต่เม็ดยาโลหิตกลับได้ผลดีขนาดนี้ เจ้าตำราการรักษาทั่วไปเล่มนี้ก็สมควรจะได้ผลดีไม่ต่างกันอย่างแน่นอน หากได้ศึกษาไว้ย่อมดีกว่าโยนทิ้งไว้เปล่าๆ”
คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งจึงได้ทำการเก็บตำราการรักษาทั่วไปไว้ในกระเป๋ามิติโดยเขาตั้งใจว่าจะหาโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติมในภายหลัง