บทที่ 2687 ข้าเกือบจะหลับไปแล้ว
ร่างกายของฟั่นเชียนซื่อสั่นสะท้านไปหมด เขารีบจรดนิ้วคล้ายจะคำนวณอันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ทำนายได้ว่าซีจิ่วสิ้นชีพด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายไปแล้วจริงๆ เขาโกรธเกรี้ยวยิ่ง ต่อสู้กับตี้ฝูอีอย่างรุนแรงอีกครั้ง…
การต่อสู้ครั้งนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฟั่นเชียนซื่อ ฟั่นเชียนซื่อบาดเจ็บสาหัส ฝืนหนีกลับมายังตำหนักเทวาของตน นั่งสมาธิอยู่ภายในตำหนักเทวา ทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของซีจิ่ว...
แต่ซีจิ่วไม่เพียงแต่ถูกปลากัดกินกายเนื้อไปแล้วเท่านั้น แม้แต่ดวงวิญญาณก็แตกแยกกระจัดกระจาย ประกอบกับฟั่นเชียนซื่อเองก็เป็นม้าตีนปลายแล้ว เขาพยายามทำพิธีอย่างสุดกำลังก็เรียกมาได้เพียงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณเท่านั้น เขามองเสี้ยวดวงวิญญาณที่ปลายนิ้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ซีจิ่ว ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะคืนชีพให้เจ้า แม้ว่าต้องแลกด้วยพลังทั้งหมดของข้าก็ตาม!”
เขาลุกขึ้น นำพาหนึ่งดวงจิตหนึ่งดวงวิญญาณเลือนหายไปจากจุดเดิม
กล้องหมุนสลับไป เป็นฉากในยุคสมัยปัจจุบัน ปรากฏเงาร่างของหลงฟั่นขึ้น นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น ทุ่มเททำการวิจัยโคลนนิ่งมนุษย์ ทำการทดลองอย่างบ้าคลั่ง โคลนนิ่งมนุษย์คนแล้วคนเล่า มีผลงานที่ผิดพลาดนับไม่ถ้วน และบางครั้งก็ประสบความสำเร็จบ้างเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหลงซี ที่ต่อมาได้กลายเป็นหลงซือเย่
จนถึงวันนั้น หลงฟั่นได้ทำการโคลนนิ่งตัวอ่อนตัวหนึ่งออกมา ใช้วิชากู่เคลื่อนย้ายตัวอ่อนไปใส่ไว้ในครรภ์ของคุณนายเย่ จากนั้นเย่หงเฟิงก็ถือกำเนิด…
หลงฟั่นสบโอกาสหนึ่ง ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของร่างกายเย่หงเฟิง คล้ายว่าจะไม่ค่อยพอใจยิ่งนัก ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
“ซีจิ่ว ข้าจะมอบร่างกายที่เหมาะสมที่สุดให้เจ้า!” เขาพึมพำกับตัวเอง แล้วเข้าไปขลุกอยู่ในห้องวิจัยต่อ ด้วยเหตุนี้ ผ่านไปไม่นาน ทารกโคลนนิ่งที่แท้จริงคนนั้นก็ค่อยๆ ก่อร่างขึ้นในโลงน้ำแข็ง
หลงฟั่นใส่หนึ่งดวงจิตหนึ่งวิญญาณของซีจิ่วเข้าไปในร่างโคลนนิ่ง ผ่านไปไม่นาน ทารกโคลนนิ่งก็ราวกับตื่นจากความฝัน…
หลงฟั่นมองทารกน้อยที่เพิ่งลืมตาขึ้นมา ยิ้มน้อยๆ “ซีจิ่ว ยินดีต้อนรับกลับมา!”
….
“ซีจิ่ว ยินดีต้อนรับกลับมา” น้ำเสียงที่น่าลุ่มหลงยิ่งกว่าแสงจันทร์คล้ายจะแว่วขึ้นมาจากด้านหลังจอภาพ ชายคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นบนจอภาพ
สวมอาภรณ์สีดำดุจรัตติกาล บนเสื้อคลุมตัวยาวราวกับมีแสงดาวกำลังส่องกะพริบอยู่ เรือนผมยาวดำขลับดั่งราตรี ทุกเส้นล้วนเรียบลื่นอย่างยิ่ง เครื่องหน้างดงามสมบูรณ์แบบ ทำให้คนไม่อยากหาข้อตำหนิได้เลย
เขายิ้มน้อยๆ ก้าวออกมาจากจอภาพนั้น ร่อนลงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว
…ฟั่นเชียนซื่อ เทพผู้สร้างโลกคนนั้น
กู้ซีจิ่วนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เพียงกอดอกมองเขา “ที่แท้ท่านผู้สูงศักดิ์ก็เล่นเล่ห์อยู่เบื้องหลังนี่เอง!”
แววตาฟั่นเชียนซื่อวูบไหวนิดๆ “เล่นเล่ห์? ไม่ ซีจิ่ว ข้าแค่อยากให้เจ้ากลับมาอย่างสมบูรณ์”
เขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้ หยุดอยู่ห่างจากกู้ซีจิ่วเมตรสองเมตร ก้มมองเธอ “เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“ทักษะการแสดงอ่อนด้อย บทละครห่วยแตก สุ่มนักเขียนที่มีมโนธรรมสักคนมาแต่งบทละครส่งๆ ก็ยังน่าชมกว่านี้เลย ข้าเกือบจะหลับไปแล้ว” กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ใบหน้าเฉิดฉันเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“เจ้าไม่เชื่อหรือ?” ฟั่นเชียนซื่อมองเธอนิ่งๆ ไม่มีท่าทีเก้อกระดากของคนที่ถูกเปิดโปงแผนการเลย สายตาที่มองเธอกลับเจือความสงสารประการหนึ่งเอาไว้ “ยังไม่กล้าเชื่อหรือ?”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากบางนิดๆ แย้มยิ้ม “ท่านจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ข้าไม่ใส่ใจ”
พล็อตเรื่องเต็มไปด้วยช่องโหว่ขนาดนี้ถ้าเธอเชื่อสิถึงบ้าไปแล้ว! เห็นเธอเป็นคนโง่เง่าหรือไง? หรือคิดว่าสติปัญญาของเธอมีปัญหา?
คนอย่างตี้ฝูอีจะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
หากว่าเขาลุ่มหลงเพียงอำนาจไม่ชมชอบเธอ แต่ตอนนั้นจะเสี่ยงชีวิตขนาดนั้นไปทำไม? จะยินยอมให้ลบความทรงจำทั้งหมดในโลกใบนี้ไป เพียงเพื่อให้เธอสมปรารถนาหรือ?
เขาไม่มีทางเป็นคนแบบนั้น!
ในเมื่อไม่ใช่คนแบบนั้น เรื่องราวการทรยศหักหลังอย่างอำมหิตทั้งหมดที่เกี่ยวกับเขาย่อมเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น!
————————————————————————————-
บทที่ 2688 เหลวไหลไร้เหตุผล
ส่วนที่เหลือ เกรงว่าจะเป็นน้ำไปเสียมากนัก ต่อให้มีความจริงแฝงอยู่สักสองส่วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว…
จากทั้งเรื่อง เกรงว่าจะมีเพียงเรื่องที่ตี้ฝูอีเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ ฟั่นเชียนซื่อเป็นเทพผู้สร้างโลก ฟั่นเชียนซื่อกับตี้ฝูอีแย่งชิงตำแหน่งเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์กันเท่านั้นที่เป็นความจริง
ส่วนเรื่องที่ว่าตี้ฝูอีถือกำเนิดมาจากการสร้างของฟั่นเชียนซื่อ ถึงแม้กู้ซีจิ่วไม่มีมีหลักฐานมายืนยันอย่างแท้จริง แต่เธอสังหรณ์ใจว่าความเป็นมาของตี้ฝูอีมิได้ง่ายดายเช่นนี้เด็ดขาด! ในส่วนนี้ก็น่าจะเป็นน้ำไปเสียมากเช่นกัน…
เพียงแต่ กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าฟั่นเชียนซื่อจะปรากฏตัวขึ้น และคล้ายว่าหลงฟั่นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นก็เป็นอีกตัวตนหนึ่งของเขาเช่นกัน…
สีหน้าเธอเรียบเฉย ทว่าในใจกลับค่อนข้างกระสับกระส่ายอยู่เล็กน้อย
ในเมื่อฟั่นเชียนซื่อผู้นี้เป็นเทพผู้สร้างโลก พลังยุทธ์ย่อมลึกล้ำเกินหยั่ง แม้ว่าตนจะมีพลังยุทธ์ระดับซ่างเสินแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้เลย
ตอนนี้เขาเผยตัวออกมาโดยตรง ซ้ำยังปิดตายเส้นทางหลบหนีของเธอด้วย กักขังเธอไว้ในห้องโดยสารนี้ คงวางแผนเอาไว้หมดแล้ว ซ้ำตนยังไม่มีกองหนุนจากภายนอกอีก คิดหลบหนีเกรงว่าจะยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก…
ฟั่นเชียนซื่อก้าวเข้าไปหาเธออีกก้าว เธอไม่อยากอ่อนข้อให้เขา จึงฝืนอดทนไม่ถอยหนี เพียงเอ่ยถามประโยคเดียว “ท่านเป็นคนชักจูงชาวดาวจิ้งจอกครามพวกนี้มาใช่ไหม? บอกหน่อยเถอะว่าท่านทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใด! มิใช่แค่ทำลายทวีปนี้เพียงอย่างเดียวกระมัง?”
ฟั่นเชียนซื่อยิ้มแวบหนึ่ง “เหตุใดจะไม่ได้เล่า? เปิ่นจุนไม่ชอบสิ่งมีชีวิตในทวีปนี้ เข้มแข็งรอดอ่อนแอพ่ายก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ต่ำต้อยเดิมทีก็ไม่คู่ควรได้ครองแผ่นดินที่เฟื่องฟูแห่งนี้อยู่แล้ว”
“วาจานี้ของท่านดูไม่คล้ายเป็นผู้สร้างโลกเลย กลับดูคล้ายมารบรรพกาล”
ฟั่นเชียนซื่อดีดนิ้วทีหนึ่ง เล็บมือเขาเป็นสีชมพูเงางาม บนนิ้วกลางยังสวมแหวนวงใหญ่เอาไว้ด้วย แหวนวงนั้นคล้ายดวงตาข้างหนึ่งที่หรี่ปรือครึ่งหนึ่ง ทำให้คนมองแวบเดียวก็สะท้านใจแล้ว
“ทุกสิ่งในโลกนี้เดิมทีก็เป็นเปิ่นจุนที่สร้างขึ้นมา เมื่อเปิ่นจุนอยากทำลายล้างก็ย่อมทำลายล้างได้ ทำลายผู้อ่อนแอทิ้ง แทนที่ด้วยคนที่แข็งแกร่ง ซีจิ่ว เจ้ามีความใจอ่อนเยี่ยงอิสตรี”
“หือ ใช่หรือ? เช่นนั้นในเมื่อท่านผู้สูงศักดิ์มีความสามารถยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ซ้ำยังเห็นผู้คนบนทวีปซิงเยวี่ยแห่งนั้นขัดตามานานแล้ว เหตุใดจึงไม่ลงมือตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่า? กลับฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่ลอบเข้าจู่โจม นี่คือสิ่งที่เทพผู้สร้างโลกกระทำงั้นหรือ? ท่านผู้สูงศักดิ์ไม่รู้สึกว่าวิธีนี้ต่ำช้าไปหน่อยหรือ?”
ฟั่นเชียนซื่อนั่งลง มีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นขวางกับกู้ซีจิ่วไว้ เขายื่นมือไปรินชาถ้วยหนึ่ง ดันไปหากู้ซีจิ่ว “มาเถอะ ชิมสุรานี้ดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
กู้ซีจิ่วดมกลิ่นชาที่ลอยฟุ้ง จากนั้นก็มองเขา “ท่านแน่ใจนะว่าจมูกของท่านไม่ได้มีปัญหา นี่เป็นชาถ้วยหนึ่งชัดๆ!”
ฟั่นเชียนซื่อพลันยิ้มแวบหนึ่ง “สุราก็ดี ชาก็ช่าง ล้วนเป็นคำเรียกขานอย่างหนึ่งที่พวกมนุษย์เห็นพ้องต้องกัน ความจริงแล้วก็มิได้ตั้งไว้ตายตัวมิใช่หรือ? กฏเกณฑ์เป็นสิ่งที่คนตั้งขึ้น วิธีเรียกขานก็เป็นคนที่ตั้งขึ้น เหตุใดจะเรียกชาว่าสุราไม่ได้เล่า?”
วาจานี้ค่อนข้างเล่นลิ้นอยู่บ้าง โชคดีที่กู้ซีจิ่วฉลาด จึงเข้าใจแล้ว
เธอเลิกคิ้วแวบหนึ่ง “ความหมายของท่านคือ อันว่ากฏเกณฑ์หรือว่านิยามความดีความชั่วในโลกมนุษย์ล้วนเป็นมนุษย์ที่กำหนดขึ้น เมื่อกำหนดได้ย่อมต้องทำลายทิ้งได้ ดังนั้นต่ำช้าก็ไม่อาจเรียกขานว่าต่ำช้าได้กระมัง?”
“ฉลาด!” ฟั่นเชียนซื่อปรบมือ “กฏเกณฑ์ของโลกนี้เดิมทีก็เป็นกฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ แต่กฏเกณฑ์นี้เป็นเพียงสิ่งที่ตี้ฝูอีค่อยๆ บัญญัติขึ้นมา เหตุใดเปิ่นจุนต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของเขาด้วยเล่า? เปิ่นจุนก็มีวิธีจัดการในแบบของเปิ่นจุนเอง”
วาจานี้ของเขาคล้ายจะมีเหตุผล แต่ความจริงแล้วเหลวไหลไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิงเลย!
กู้ซีจิ่วหยักมุมปาก “เห็นเช่นนี้แล้ว โชคดีที่ท่านผู้สูงศักดิ์มิใช่เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ หาไม่แล้วโลกนี้คงไม่มีขาวมีดำ วุ่นวายเละเทะ…”