วังถงคือธนู อาวุธอันทรงอำนาจที่สุดของสวีโหย่วหรง ทั้งยังเป็นมหาศาสตราแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หากมองอีกแง่หนึ่ง ก็เปรียบได้กับกระบี่ไร้ราคีของเฉินฉางเซิง
บัดนี้วังถงชี้ลงที่ทรวงอกเฉินฉางเซิงตามแนวดิ่ง ขณะที่สายตาสวีโหย่วหรงจับจ้องจุดที่ปลายศรจรดอกเขา ดีดนิ้วคราหนึ่ง สายธนูก็สั่นไหวอย่างรวดเร็วจนมิอาจจินตนาการได้ กลายเป็นภาพพร่ามัว ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ครั้นแล้วก็มีครวญเพลงประดุจเสียงฉิน
เฉินฉางเซิงเคยอาบเลือดมังกรมาก่อน เสริมสร้างกายจนเทียบขั้นได้กับการชำระกระดูก อาวุธยุทโธปกรณ์ดาดๆ ธรรมดาหาระคายผิวเขาไม่ ทว่าตอนนี้ด้วยเพียงการสั้นของสายธนู ก็ก่อให้เกิดรอยแผลเล็กๆ บนหน้าอกเขา นี่คงเป็นดังกฎที่ว่าสิ่งที่ไร้สสารสามารถเจาะทะลวงของแข็งได้
แน่ทีเดียวว่าสวีโหย่วหรงย่อมไม่ยอมให้เลือดของเขาไหลออกจากบาดแผลนั้น นางโบกมือซ้ายเพียงแผ่วเบา แสงกระจ่างใสก็แผ่ลงมากั้นบาดแผลนั้นออกจากโลกภายนอก ในขณะเดียวกัน ด้วยอำนาจจิต เลือดแท้หงส์สวรรค์ซึ่งลุกโชนอยู่ที่ข้อมือของนางก็มอดดับไป สัมผัสแห่งความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่เมื่อครู่จางหาย ประดุจดังเป็นเพียงผืนน้ำ
เลือดของนางค่อยๆ ไหลลงมาตามธนูอย่างเรียบนิ่ง ด้วยอำนาจมหาศาสตรานี้ เลือดนางจึงกลายเป็นเส้นบางๆ ไหลเข้าไปในกายเฉินฉางเซิงผ่านทางบาดแผลนั้น
ครั้นเวลาล่วงไปนานพอสมควร นางก็หยุดลง แล้วเข้าไปดูแผลของเฉินฉางเซิงอย่างรวดเร็ว ใบหน้านางดูซีดเซียว ร่างพลันเปราะบาง อาจเป็นเพราะว่านางเสียเลือดมากเกินไป
กระนั้นก็ตามนางไม่ได้หยุดพัก เพราะการรักษายังไม่เสร็จสิ้นลง นางยกแขนขวาขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก ครั้นแล้วจับมือเฉินฉางเซิงไว้ นางหลับตาลงก่อนเริ่มเคลื่อนจิตใจ
อาศัยการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างตัวนางและเลือดแท้หงส์สวรรค์เป็นเครื่องนำพา จิตใจนางก็เคลื่อนเข้าสู่กายเฉินฉางเซิงโดยไม่มีการต่อต้านใดๆ เลือดแท้หงส์สวรรค์นำพาความคิดนางเลื่อนไหลพรั่งพรูสู่กายเขา เผยให้มองเห็นเส้นลมปราณที่ขาดสะบั้นเหล่านั้น
เลือดจำนวนมากมายไหลออกจากรอยรั่วที่เส้นลมปราณอย่างไม่หยุดหย่อน วิญญาณเขาสถิตอยู่ตรงกลางระหว่างองคาพยพภายในและเลือดแท้ ด้วยเหตุใดไม่ทราบ เลือดแท้นี้เหมือนจะบรรจุไว้ด้วยไอปราณแห่งชีวิต แม้นางจะไม่สามารถสัมผัสได้อย่างถ่องแท้ ทว่าเพียงมองผ่านจิตวิญญาณ ในเสี้ยววินาทีนั้น นางก็สัมผัสได้ว่าโลกวิญญาณของนางสั่นสะท้านด้วยว่ามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะไขว่คว้าไอปราณนั้นไป แม้ว่านางมิได้ปรารถนาจะอุทิศชีวิตแก่เขาก็ตาม
สวีโหย่วหรงหลังตาลง แพขนตาสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าแต่ก่อน โชคดีที่เมล็ดพุทราเชื่อมที่นางดูดอยู่นั้นซึมซ่านสู่กายนาง ช่วยให้นางรักษาเส้นทางแห่งจิตเอาไว้ได้ จึงไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
บัดนี้เลือดแท้หงส์สวรรค์ได้กระจายไปทั่วสรรพางค์กายเฉินฉางเซิงแล้ว เส้นลมปราณเจ็ดสิบสองเส้น จุดลมปราณสามร้อยหกสิบห้าจุด แม้แต่ในจุดที่เล็กที่สุด เฉกเช่นอณูรูขุมขน เลือดแท้ก็มีอยู่ทั่วทุกที่
ได้เวลาแล้ว
ส่งอำนาจจิตไปพลัน เลือดแท้หงส์สวรรค์ก็ไปเกาะติดอยู่กับเส้นลมปราณทั้งหลายเหล่านั้นโดยพร้อมเพรียงกันก่อนจะลุกเป็นไฟ เปลวเพลิงเล็กละเอียดมากมายปะทุขึ้นในกายเฉินฉางเซิง
ครู่ต่อมา เปลวเพลิงก็มอดดับไป
นอกจากกลิ่นไหม้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเหลือเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
นางจุดไฟไว้ในกายเฉินฉางเซิง
นางเปลี่ยนเลือดแท้หงส์สวรรค์เป็นเศษเสี้ยวที่เล็กที่สุด สมานรอยร้าวในเส้นลมปราณเหล่านั้น เพื่อห้ามเลือดโดยมิได้ทำร้ายผนังเส้นลมปราณที่บางอย่างยิ่ง
สวีโหย่วหรงลืมตาแล้วมองไปยังเฉินฉางเซิงที่นอนอยู่บนโต๊ะยาว หลังจากตรวจสอบดูบาดแผลและเห็นว่าอยู่ในสภาพคงที่แล้ว นางจึงผ่อนคลายลงได้ในที่สุด เส้นลมปราณทั้งเจ็ดสิบสองเส้นมีเลือดไหลออกจากจุดต่างๆ มากมายหลายพัน บัดนี้ได้สมานปิดเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เสียเลือดอีกต่อไป อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเขาจะไม่อยู่รอดข้ามคืนนี้
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์กล่าวว่าเฉินฉางเซิงจะไม่อาจอยู่รอดอย่างแน่แท้เพราะว่าเส้นลมปราณที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของเขานั้นไม่อาจรักษาหาย โดยเฉพาะเมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจนำออกมาใช้ได้ด้วยแล้ว ใครจะคาดคิดเล่าว่าสวีโหย่วหรงจะมีความคิดอุกอาจ แสดงวิชาอันเป็นปาฏิหาริย์เช่นนั้นออกมา
นางส่งเลือดแท้หงส์สวรรค์เข้าไปในกายเฉินฉางเซิง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยห้ามเลือดภายในไว้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหาที่สำคัญเท่าๆ กันได้อีกด้วย นางช่วยทดแทนเลือดแก่เขา
ไม่มีแพทย์คนในปัจจุบันที่เลือกวิธีเช่นนี้ในการทดแทนเลือด นั่นก็เพราะว่าเลือดของมนุษย์แต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากให้เลือดต่างชนิดอาจก่อให้เกิดการต่อต้านจากร่างกายผู้ที่ได้รับเลือด ส่งผลให้คนผู้นั้นตายเร็วขึ้น
เลือดแท้หงส์สวรรค์ย่อมล้ำค่าโดยแท้อยู่แล้ว แค่มิใช่ว่าทุกคนจะรับเข้าสู่กายได้ ด้วยว่าเลือดแท้นี้คือเลือดที่มีอำนาจแรงกล้ามากที่สุดในโลกประเภทหนึ่ง แม้แต่ในยามที่นางทอนความแข็งแกร่งลงทั้งหมดแล้ว ไอปราณที่เลือดแท้ปล่อยออกมาก็ยังมีอำนาจเปี่ยมล้นอยู่ เหนืออื่นใด เลือดของนางต่างจากเลือดของคนทั่วไปในโลกเสมอมา
เลือดเฉินฉางเซิงก็ต่างจากเลือดของคนทั่วไปเช่นเดียวกัน เลือดของเขานั้นบริสุทธิ์ที่สุด มีพลังชีวิตมากมายเหลือคณา อันเป็นเหตุให้เขาสามารถเสริมเลือดแก่สวีโหย่วหรงได้เมื่อครั้งอยู่ในสวนโจว ตอนนี้เลือดของสวีโหย่วหรงจึงหลอมรวมกับเลือดเขามานานแล้ว ด้วยเหตุใดนี้ทำให้นางทดแทนเลือดให้แก่เขาได้
ครั้นโน้น เขาเพียรช่วยเหลือนางอย่างไม่คิดยอมแพ้ ครั้งนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ เหตุผลก็ง่ายดายเช่นนี้เอง
……
……
ขาเจ๋อซิ่วไม่ได้ถูกศิษย์หญิงตัดขาดแต่อย่างใด ไม่มีเหตุนองเลือดที่หน้าบ้านให้เห็น เหตุผลนั้นง่ายดาย เพราะว่ามีถังซานสือลิ่วอยู่เคียงข้างเขานั่นเอง
“เขาจะไม่เป็นอะไรหรอก อย่าได้กังวล” เขาบอกเจ๋อซิ่ว
เจ๋อซิ่วมองเขาอย่างไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “ไฉนเจ้าถึงเชื่อใจสวีโหย่วหรงนัก”
ถังซานสือลิ่วตอบ “โลกทั้งโลกอาจหาทางทำร้ายเขา แต่นางไม่”
เจ๋อซิ่วไม่เข้าใจ
ไม่ว่าโลกทั้งโลก หรือทุกคนในหานซานแห่งนี้ ก็ล้วนไม่เข้าใจ
ยามที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์จากไปเมื่อสักพักมาแล้วนั้น เขามิได้พูดสิ่งใดให้แจ้งแก่ใจมากนัก บอกเพียงว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังดูแลเฉินฉางเซิง ได้ยินเช่นนั้นฝูงชนก็ทั้งสับสนทั้งตะลึงพรึงเพริด
สวีโหย่วหรงมีสถานะเช่นไรกัน ก่อนนี้ที่เสี่ยงชีวิตช่วยเฉินฉางเซิงก็เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจมากพออยู่แล้ว ไหนเลยตอนนี้จึงได้ถึงกับดูแลเขาเป็นการส่วนตัว หากแม้นางยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายเฉินฉางเซิง เรื่องนี้ก็คงสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ทว่าสัญญาหมั้นหมายก็เพิกถอนไปเมื่อนานมาแล้วมิใช่หรือ ไหนบอกว่านางรังเกียจเขา
ศิษย์แห่งหลีซานมีท่าทีสีหน้าประหลาด ฝ่ายโก่วหานสือชักสีหน้าเคร่งขรึม กวนเฟยไป๋จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป กระซิบออกมา “มิน่าเล่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์ถึงอยากอยู่ให้ห่างเข้าไว้”
มวลเมฆยามราตรีเคลื่อนคล้อยกระจายออกไป ดวงดาวสดใสฉายแสงส่องต้องผิวทะเลสาบ ยามนี้เงียบงันด้วยว่าทุกคนเก็บงำความคิดของตนไว้ เวลาล่วงมาสักพักจึงมีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนสวีโหย่วหรงจะเดินออกจากบ้าน
ฝูงชนพรั่งพรูไปข้างหน้าดุจกระแสน้ำ
ค่ายกลสถานศึกษาหนานซีกระจายหายไป ทว่ายังคงกั้นอยู่เบื้องหน้าสวีโหย่วหรง
ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากถาม สวีโหย่วหรงมองถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วก่อนเอ่ยว่า “เขายังไม่ตื่น เจ้าสองคนเข้าไปดูเขาได้ ข้าจะไปพักสักหน่อย”
ฝูงชนสังเกตเห็นว่าใบหน้านางซีดเผือดไร้เลือดฝาด ดูอิดโรยอย่างมาก
ราชันย์แห่งหลิงไห่เอ่ย “ข้าจะเข้าไปดูเจ้าสำนักเฉินก่อน”
สวีโหย่วหรงส่ายหน้า อย่างสงบทว่ามั่งคง
ราชันย์แห่งหลิงไห่ย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย แฝงความขุ่นเคืองไว้ภายใน เขาคิดว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ฝ่ายเดียวกัน และเขาคือผู้นำในเรื่องนี้ จึงมิได้คาดว่าจะถูกปฏิเสธ
“ตอนนี้เขาต้องการพักผ่อนมากที่สุด เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้”
ว่าแล้วนางก็จากไปในคุ้มครองของศิษย์สถานศึกษาหนานซี
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีมิได้จากไปพร้อมกับนางทั้งหมด ยังมีอีกหลายสิบคนยืนอยู่นอกบ้าน ค่ายกลกระบี่ก่อตัวขึ้นกันทุกสรรพสิ่งไว้อีกครั้ง มีเพียงถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน
ฝูงชนภายนอกค่อยๆ ทยอยกันจากไป พวกเขาเชื่อว่าเฉินฉางเซิงได้ประสบปัญหาตอนที่ทะลวงผ่านขั้นรวบรวมดวงดาว และด้วยความช่วยเหลือของหอความลับสวรรค์และความฉกาจฉกรรจ์ในการใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ไม่มีใครคาดคิดแม้แต่คนเดียวว่า หากไม่มีสวีโหย่วหรง คืนนี้เฉินฉางเซิงอาจตายไปแล้วก็ได้
……
……
เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมาตอนตีห้า
เขารู้ว่าเป็นตีห้าเพราะว่าช่วงหลายวันมานี้ เขามักตื่นเวลาเดิมเสมอ เขานึกอยู่พักหนึ่งว่าเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนเตรียมตัวลุกจากเตียง
ครั้นแล้วจึงตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้สวมใส่อะไรเลย
จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วอยู่ข้างเตียง กำลังจ้องมองเขาอยู่
เขารู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
กระทั่งตอนนี้เองเขาจึงนึกออกว่าเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น และสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ครั้นถังซานสือลิ่วเห็นว่าเขาตื่นแล้ว สีหน้าก็ผ่อนคลายลงบ้าง ทว่าเขายังไม่มีความตั้งจะพูดกับเฉินฉางเซิง แต่หันหลังออกจากบ้าน ทิ้งท้ายก่อนไปว่า “ข้าจะไปแจ้งสถานศึกษาหนานซี”
เฉินฉางเซิงท้วง “ไม่ต้อง นางไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”
ขณะพูด เขาก็มองไปทางเจ๋อซิ่วอย่างไม่รู้ตัว พลางคิดว่า ก่อนหน้านี้ถังซานสือลิ่วซ่อนความลับจากเจ๋อซิ่ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าหมดสติไปเมื่อวาน ถังซานสือลิ่วได้แพร่งพรายทุกอย่างไปแล้ว
“ตอนนี้คนทั้งโลกรู้กันหมดแล้ว”
ถังซานสือลิ่วตอบอย่างไม่ชอบใจ ก่อนออกไปจากบ้าน
เฉินฉางเซิงหันไปหาเจ๋อซิ่ว
เจ๋อซิ่วตอบอย่างไม่ยี่หระ “ข้าก็รู้”
เฉินฉางเซิงตัวแข็งทื่อ คิดในใจว่า ตอนข้าหมดสติไปเกิดอะไรขึ้นกันแน่