ในหมู่สมาชิกสำนักฝึกหลวง ระดับการบำเพ็ญเพียรของเจ๋อซิ่วมิได้สูงที่สุด ทว่าการต่อสู้นั้นเขาฉกาจฉกรรจ์ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ในการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย แม้แต่เฉินฉางเซิงก็มิใช่คู่เปรียบเขา นั่นก็เพราะเขามีประสบการณ์การต่อสู้เจนจัดไร้ใดเปรียบ และนั่นจะพาเขาก้าวผ่านความเป็นและความตาย แต่ทว่า ในเรื่องของความรักนั้น เขาไม่มีประสาการณ์แม้แต่น้อยนิด นับประสาอะไรจะเข้าใจความรักได้เล่า
“นางไม่ได้เกลียดเจ้าหรอกหรือ” เขาเอ่ยความสงสัยในใจออกไปอย่างเถรตรง
เฉินฉางเซิงหัวร่อ ไม่รู้ว่าต้องตอบสนองอย่างไร กระนั้นยามที่เขาหัวเราะ กลับได้กลิ่นเหล็กขึ้นสนิมอ่อนๆ ลอยมาจากในลำคอ มิใช่กลิ่นคาวเลือด สีหน้าเขาเปลี่ยนไป จิตวิญญาณเคลื่อนไปตามการรำลึกจิตใคร่ครวญ จมจ่อมในความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ใบหน้าเขาซีดเซียวยิ่งนัก
ที่แท้…นี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นสินะ เป็นไม่ได้หรือไม่ว่ากำหนดเวลายี่สิบปีของเขาจะมาถึงก่อนล่วงหน้า
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเส้นลมปราณทุกเส้นในกายได้ขาดสะบั้นลงแล้ว ทว่าด้วยเหตุใดมิอาจทราบ บาดแผลในเส้นลมปราณหลายพันแห่งกลับสมานปิดและไม่มีเลือดไหลอีกต่อไป มินานหลังจากนั้นเขาก็เข้าใจ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงเลือดของนางที่ไหลเวียนอยู่ในกาย
น้ำทะเลสาบกระจ่างใสเยียบเย็นเอื่อยไหลรอบเสาไม้ของบ้าน ครั้นแล้วมีเสียงฝีเท้าเดินมา สวีโหย่วหรงและถังซานสือลิ่วเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนถังซานสือลิ่วจะเอ่ยว่าเขาและเจ๋อซิ่วจะออกไป ให้เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอยู่กันตามลำพัง น้ำทะเลสาบยังคงเรื่อยเอื่อยไหลอยู่ใต้บ้าน ทว่าฝูงปลาดำไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป ด้วยว่าเมล็ดพุทราได้หายไปแล้ว
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงสบตากันอย่างเงียบงัน ไม่มีผู้ใดพูดอะไรอยู่นาน ในบ้านนิ่งงันประหนึ่งถูกทิ้งร้าง เขาใคร่ครวญกับตนเอง เป็นชาย ข้าควรเอ่ยอะไรสักอย่าง เขาเลียปากอันแห้งผากก่อนบอกนางอย่างจริงจัง “ขอโทษ”
คำ ‘ขอโทษ’ ง่ายๆ นี้ มีความหมายแฝงอยู่มากมาย อาทิ ที่ปกปิดเรื่องอาการป่วย ที่ดวงชะตาไม่ดีจนลำบากนาง ที่ทั้งสองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
สวีโหย่วหรงมองจ้องเข้าในตาเขาอย่างสงบก่อนกล่าว “คืนวันนั้น นี่คือความลับที่เจ้าอยากบอกข้าใช่หรือไม่”
“ใช่ สุขภาพร่างกายข้าไม่ดีตั้งแต่ยังเด็กแล้ว หลังครบสิบปี วิญญาณข้าก็เริ่มไหลออกจากเส้นลมปราณ อาจารย์บอกว่าข้ามิอาจอยู่รอดเกินอายุยี่สิบ แต่…”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็พูดต่อ “ข้าคิดว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องชีวิตอยู่จนถึงยี่สิบปี ยังมีเวลาเหลืออีกสามปี ข้าเชื่อว่าตนเองมีโอกาสเปลี่ยนชะตา ข้าอยากลองดูก่อนจากทางเลือกที่มี แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่า สุดท้ายแล้ว เวลายี่สิบปีจะมาถึงล่วงหน้าเช่นนี้”
สวีโหย่วหรงถาม “แล้วอย่างไร”
เฉินฉางเซิงพิศมองใบหน้าขาวนวลดุจหิมะของนาง และนึกไปว่านางต้องเสียเลือดแท้ไปมากเพียงไรเพื่อช่วยชีวิตเขา เขาเอ่ยเสียงแผ่วอีกครั้ง “ขอโทษ”
สวีโหย่วหรงเอามือไพล่ขณะย่างเท้าไปที่ริมหน้าต่าง สายตาทอดมองไปยังดวงดาวเดียรดาษบนท้องฟ้ายามราตรี ปล่อยให้เงียบงันอยู่นานก่อนจะกล่าว “ตอนนั้นเจ้าต้องการจะบอก แต่ข้าไม่ต้องการฟัง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็มิต้องขอโทษ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบอยู่นานทีเดียว ในที่สุดก็เอ่ยว่า “โชคดีที่สัญญาหมั้นหมายยกเลิกไปแล้ว”
“หาไม่แล้วข้าจะเป็นหม้ายเช่นนั้นหรือ” สวีโหย่วหรงไม่ได้หันกลับมามอง น้ำเสียงนางเยียบเย็นยิ่งขึ้น
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้ว่านางรู้สึกอะไร เขารู้สึกซาบซึ้งและชื่นหัวใจ แต่ว่ารู้สึกกังวลใจมากที่สุด เขาตอบนาง “ข้าจะตาย”
น้ำเสียงสวีโหย่วหรงเยือกเย็นยิ่งขึ้น เจียนจะเหมือนว่าไม่ใส่ใจ “แล้วอย่างไร”
เฉินฉางเซิงตอบ “อาการป่วยของเจ๋อซิ่วมีโอกาสรักษาได้ แต่ของข้าไม่มีทางรักษา”
เสียงตอบรับของสวีโหย่วหรงยังคงเป็นคำเดิม “แล้วอย่างไร”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “แม้แต่ผู้อาวุโสซูหลีที่เป็นคนใจกว้าง ก็ยังไม่ยอมให้เจ๋อซิ่วตบแต่งกับลูกสาวเขา แล้วพ่อแม่เจ้าจะยอมให้เจ้าแต่งกับข้าได้อย่างไร”
สวีโหย่วหรงตอบ “ข้าไม่ต้องรับคำสั่งจากพ่อแม่ อาจารย์ข้าก็อยู่ไกล การแต่งงานคือเรื่องของข้าเอง”
เฉินฉางเซิงแย้ง “แล้วจักรพรรดินีเล่า นางทุ่มเทดูแลเจ้า จะเป็นไปได้หรือหากเจ้าไปยอมฟังความเห็นของนาง”
เสียงสวีโหย่วหรงสงบนิ่ง “กงการของข้ามิเคยต้องฟังความเห็นของใคร และหากเจ้าคือรัชทายาทเจาหมิงจริง ฉะนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะป่วยหรือไม่ หรือแม้แต่ใกล้ตาย ก็ยังจะได้รับสรรเสริญให้อยู่นานหมื่นปี และจักรพรรดินีก็จะไม่มีทางตกลงให้ข้าแต่งกับเจ้า ดังนั้นคำถามนี้ของเจ้าไร้ความหมาย”
ดวงดาวสาดส่องต้องทะเลสาบ แสงตกกระทบผิวน้ำสะท้อนระยับจับตัวบ้านจนเป็นสีเงินยวง และขับเน้นโครงร่างของนางให้ชัดเจนขึ้น นางงดงามดุจนางสวรรค์ ประหนึ่งว่าจะแหวกกลีบเมฆไปเมื่อไรก็ได้
เฉินฉางเซิงมองร่างงามแล้วก็รู้สึกประหนึ่งว่านางลอยถอยห่างออกไปเรื่อยๆ เขาถามเพียงแผ่วเบา “แล้วข้าเล่า”
สวีโหย่วหรงหันมาหาเขา ชุดพลิ้วไหวตายสามลมเย็นเช่นเดียวกับเสียงนาง “แล้วเจ้าทำไม”
เฉินฉางเซิงมองนัยน์ตานางอย่างไม่คิดถอย “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแต่งงานกับคนใกล้ตาย ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปป่าวประกาศให้โลกรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา การหมั้นหมายอย่างไรก็ต้องถูกยกเลิกตราบใดที่เราไม่ยอมรับ จากนั้นหลังจากข้าตาย ไม่ว่าเจ้าจะต้องแต่งกับใครก็จะง่ายขึ้น เช่น… ชิวซานจวิน”
หลังจากฟื้นขึ้นมาพบว่าเส้นลมปราณของเขาล้วนขาดทุกเส้น พบว่าโอกาสรอดชีวิตของเขาเป็นศูนย์ พบว่าวันข้างหน้าไร้หนทาง เขาก็เริ่มคำนึงถึงปัญหาขึ้นมา นี่คือความเห็นที่แท้จริงของเขา คือการตัดสินใจของเขา เขาคิดไว้แล้วว่าจะไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างใจเย็น แม้กระนั้น ยามที่พูดว่าในอนาคตนางจะได้ตบแต่งกับชิวซานจวิน ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกขมขื่นโศกเศร้าก็พรั่งพรูเข้ามาในอกเขา
สวีโหย่วหรงจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรอยู่นาน ครั้นเมื่อเฉินฉางเซิงคิดว่านางจะสะบัดแขนเสื้อจากไป นางก็พลันเอ่ยขึ้น “ดังเช่นที่เจ้าว่า สัญญาหมั้นหมายของเราได้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงไม่มีความสัมพันธ์อันใดระหว่างเรา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้พูดจาด้วยน้ำเสียงประหนึ่งว่าเป็นคู่หมั้น ทั้งยังมาถกว่าข้าควรทำอะไรหลังจากเจ้าตาย”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าต้องตอบเช่นไร เพราะทุกสิ่งที่นางเอ่ยมานั้นล้วนเป็นความจริง
“แต่ข้าจะตายจริงๆ จะตายในอีกไม่ช้า”
“ทุกคนย่อมตาย จักรพรรดิไท่จงและโจวตู๋ฟูก็ตายแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติ”
“ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า”
“อย่าได้ห่วง ตราบที่เจ้ายังอยู่ ข้าจะตายเพื่อเจ้า เฉกเช่นที่เจ้าจะตายเพื่อข้า”
นี่คือถ้อยคำอันเป็นที่สุดแห่งรักและสิเน่หา คือการสารภาพรักอย่างถ่องแท้จริงใจ ทว่าสวีโหย่วหรงกลับเอ่ยออกมาอย่างสงบนิ่งและเฉยเมย ประหนึ่งว่าท่องบทอาขยานที่เรียบง่ายที่สุด น้ำย่อมไหลลงต่ำ ดวงอาทิตย์ตกย่อมขึ้นใหม่อีกครั้ง ทุกคนย่อมตาย เราเป็นคนรักกันเดินบนทางสายเดียวกัน ก็ย่อมอุทิศชีวิตแก่กันได้เป็นธรรมดา
หากเป็นคนอื่นก็คงตะลึงไร้คำพูดเมื่อได้ยินยลว่าคำพูดและอารมณ์ที่แสดงออกมานั้นช่างแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน กระนั้นก็ตาม เฉินฉางเซิงนั้นมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ผิดแผกแตกต่างแต่อย่างไร กลับกัน เขารู้สึกว่านี่คือตัวตนของนางที่เขารักเหลือเกิน เขาเป็นคนเช่นนี้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความเป็น ความตาย หรือความรัก ก็จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างใจเย็นด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง
“…แต่ข้าจะไม่ได้อยู่เพื่อเจ้า ยามที่เจ้ายังอยู่ ข้าจะใช้ชีวิตของข้า หากเจ้าตาย ข้าก็จะใช้ชีวิตดังเดิม”
สวีโหย่วหรงมองเข้าไปในตาเขาแล้วเอ่ย “แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องดิ้นรนสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะดิ้นรนให้เจ้ามีชีวิตอยู่เช่นกัน ข้าไม่อยากให้เจ้าตาย”
บทสนทนาก่อนความเป็นตาย เรื่องรักและสิเน่หา สิ้นสุดลงแล้ว
นางได้รับชัยชนะในการโต้วาทีครั้งนี้อย่างสงบราบคาบ