ตอนที่1,145 มารดาและเพื่อนมีปัญหาในเวลาเดียวกัน จะช่วยใครก่อน ?
องค์ชายหกไอเป็นเลือดและหลังจากนั้นเขาก็เซไปมาสองสามครั้ง เหรินซีเฟิงตกใจรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อพยุงเขา จากนั้นนางก็มองไปที่ใบหน้าขององค์ชายหกซีดอย่างน่ากลัวเพราะเขาไอเป็นเลือด นางนึกไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้คน ๆ นี้เคยเข้าราชสำนัก โต้เถียงกันเสียงดังกับเจ้าหน้าที่ และก่อนหน้านี้เขายังตะโกนด้วยความโกรธ ในพริบตาเขาไอเป็นเลือด เป็นไปได้ไหมว่าพละกำลังเหลือเฟือที่เขามีอยู่ก่อนหน้านี้เป็นการเสแสร้ง ?
เหรินซีเฟิงกระทืบเท้าของนางด้วยความกังวลหันหน้าไปทางประตูและอ้าปากของนาง วางแผนที่จะตะโกนดัง ๆ เพื่อเรียกหมอหลวง ขณะที่นางอ้าปาก ซวนเทียนเฟิงก็ปิดมันด้วยมือเดียว นางมองซวนเทียนเฟิงด้วยความสับสนแต่นางเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้า และเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ “อย่าบอกใครว่าข้าไม่สบาย” เมื่อเห็นว่าเหรินซีเฟิงอยากจะพูด อยากจะผลักมือเขาออกไป เขาจึงพูดอีกครั้ง “คุณหนูตระกูลเหริน ก่อนอื่นเจ้าต้องสัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่ตะโกนเรียกใครเข้ามา แล้วข้าจะปล่อยเจ้า”
เหรินซีเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นและทำได้เพียงพยักหน้าซวนเทียนเฟิงปล่อยมือลงหลังจากที่เห็นนางพยักหน้า จากนั้นเขาก็ได้ยินเหรินซีเฟิงพูดอย่างกระวนกระวาย “พระองค์ป่วยขนาดนี้ ทำไมองค์ชายหกถึงต้องปิดบังเรื่องนี้จากคนอื่นเพคะ ? ”
ซวนเทียนเฟิงยิ้มอย่างมีปัญหา“ข้าแค่ไอเป็นเลือดออกมา มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าพูด ข้าเข้าใจร่างกายของตัวเอง มันไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขนาดที่หมอหลวงต้องมาตรวจ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีการเรียกตัวหมอหลวงมาแล้ว จิตใจของผู้คนอาจรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง ราชวงศ์ต้าชุนในปัจจุบันไม่สามารถทนต่อความวุ่นวายเช่นนี้ได้”
ซวนเทียนเฟิงมีกลิ่นอายของบัณฑิตที่ได้รับการขัดเกลาเมื่อคนผู้นี้มีสุขภาพดี ผู้คนจะรู้สึกว่าเขาอ่อนแอทางร่างกายในระดับหนึ่งเช่นเดียวกับบัณฑิตที่ถือพัดจีบ แม้ว่าเขาจะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ แต่ผู้คนก็ยังคงมองข้ามจุดนี้ เพียงคิดว่าเขาจะล้มลงด้วยลมกระโชกแรง ตอนนี้เขาป่วยจริง ๆ คนอื่น ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นเขา เหรินซีเฟิงรู้สึกว่าถ้านางปล่อย องค์ชายหกจะล้มลง ไม่สามารถฟื้นตัวจากอาการป่วยได้
นางรู้สึกกังวลและอารมณ์ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็กจากการเลี้ยงดูในครอบครัวของแม่ทัพเดือดพล่านขึ้นมานางอยากจะดุคนตรงหน้า นางอยากถามว่าเขาโง่หรือ ? ไม่ว่าความรับผิดชอบจะมากแค่ไหน การมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ! แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่คุ้นเคยกับองค์ชายหก ในที่สุดองค์ชายหกก็มีตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนแล้วแม้ว่าองค์ชายหกจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่องค์ชายหกก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ขององค์รัชทายาท ดังนั้นฮ่องเต้จึงวางมือทุกอย่าง สิ่งที่องค์ชายหกทำคือสิ่งที่ฮ่องเต้ควรทำ สติปัญญาของเหรินซีเฟิงบอกนางว่านางไม่สามารถพูดกับองค์ชายหกแบบหยาบคายไม่ได้
แต่เมื่อบางคำไม่ได้พูดมันก็เริ่มอึดอัดและนางก็รู้สึกขัดแย้ง ซวนเทียนเฟิงเป็นคนพูดก่อนโดยถามนางว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? ข้าจำได้ว่าบอกบ่าวรับใช้ในว่าห้ามคนเข้ามาในห้องโถงชั้นใน”
เขาต้องการตำหนิใครบางคน!
เหรินซีเฟิงก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “องค์ชายหก ข้าขอโทษ ข้าโน้มน้าวให้บ่าวรับใช้ข้างนอกอนุญาตให้เข้ามา ได้โปรดอย่าตำหนิพวกเขา ข้ามา……มา……” นางอยากจะพูด นางมาเพราะเฟิงหยูเฮง แต่เมื่อนางเห็นว่ามุมปากขององค์ชายหกยังมีเลือดอยู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าของนาง“องค์ชายหก เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าควรจะบอกพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าควรทำอย่างไรดีเพคะ”
ซวนเทียนเฟิงไม่เข้าใจเขาค่อย ๆ ดึงแขนเหรินซีเฟิงออกและนั่งที่เก้าอี้ นั่นคือตอนที่เขาพูด “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็จงพูดในสิ่งที่เจ้าอยากพูด ! สำหรับผู้หญิงที่จะเข้ามาในพระราชวังหลวงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจ้า……” ในขณะที่เขาพูด ความคิดหนึ่งก็เข้ามาในจิตใจของเขา และลางสังหรณ์ก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้า “มีอะไรเกิดขึ้นกับพระชายาหยูหรือ ? ” เขาเคยได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์เสนาบดีและคฤหาสน์แม่ทัพปิงหน่านนั้นดีมาก และเขาก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนไม่กี่คนเหล่านี้ แต่ทันใดนั้นคุณหนูใหญ่จากคฤหาสน์แม่ทัพก็เข้ามาในพระราชวังหลวง ไม่ควรเป็นเพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวนางเองหรือตระกูลเหริน ต้องเป็นเรื่องของเฟิงหยูเฮง
ซวนเทียนเฟิงพูดจี้ตรงจุดที่เหรินซีเฟิงต้องการจะบอกนางทำได้เพียงพยักหน้า“องค์ชายหกพดถูกเพคะ ข้ามาเพราะเรื่องของพระชายาหยู และมาขอความช่วยเหลือจากองค์ชายหกเพคะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง? ” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฟิงหยูเฮง ดังนั้นซวนเทียนเฟิงจึงสูญเสียความสงบ และแม้แต่น้ำเสียงของเขาก็กังวลมากขึ้น
เหรินซีเฟิงกล่าวว่า“องค์ชายหกกำลังป่วยอยู่ พระองค์ไม่ต้องการเชิญหมอหลวง อาเฮงก็เป็นหมอเช่นกัน เพียงแค่ไปหาอาเฮงและให้นางตรวจพระองค์เพคะ ! พระองค์ไม่สามารถอดทนแบบนี้ตลอดได้เพคะ”
“องค์ชายผู้นี้กำลังถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระชายาหยู? ” สีหน้าของซวนเทียนเฟิงเปลี่ยนไป เขาดูเย็นชาและเขาจ้องมองไปที่เหรินซีเฟิง “พูดสิ เจ้ามีจุดประสงค์อะไรในการเข้าพระราชวังหลวง ? ”
เหรินซีเฟิงสูดหายใจเข้าอย่างแรงแม้ว่านางจะรู้สึกหวาดกลัวกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันขององค์ชายหก แต่นี่แสดงให้เห็นว่าเฟิงเทียนหยูพูดถูกต้อง ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายหกและเฟิงหยูเฮงค่อนข้างดี สิ่งนี้เห็นได้จากสีหน้าวิตกกังวลขององค์ชายหกในตอนนี้ ดูเหมือนว่ากำลังเสริมที่นางมองหานั้นถูกต้อง !
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอยหลัง 2 ก้าว จากนั้นคุกเข่าต่อหน้าซวนเทียนเฟิงจากนั้นนางก็พูดว่า “ข้าเข้าไปมาในพระราชวังหลวงเพื่อขอให้องค์ชายหกช่วยอาเฮงเพคะ หากองค์ชายหกมีเวลาได้โปรดออกจากพระราชวังและไปที่ตำหนักหยูเพื่อพบอาเฮงเพคะ ! ” น้ำเสียงของเหรินซีเฟิงดูเหมือนจะร้องไห้ ขณะที่นางพูดและอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมล่าสุดของเฟิงหยูเฮงในเมืองหลวง สิ่งนี้รวมถึงการที่นางเป็นลมอย่างกะทันหันบนถนนและถูกองครักษ์เงาพาตัวกลับไป ทำให้ซวนเทียนเฟิงตกใจ
“เป็นไปได้อย่างไร? ” เขาผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับฟาดมือลงบนโต๊ะ “ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องใหญ่แก่องค์ชายผู้นี้ ? ทำไมองค์ชายผู้นี้ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย ? ”
หลังจากตะโกนด้วยความโกรธแล้วเลือดอีกคำก็พุ่งออกมา เหรินซีเฟิงก็พุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยุงเขา และคลื่นแห่งความรู้สึกเจ็บปวดก็พุ่งขึ้นมา โดยไม่ต้องคิดเลย นางดึงผ้าเช็ดหน้าที่นางพกติดตัวออกมาและเช็ดมุมปากของซวนเทียนเฟิง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะเช็ด “องค์ชายหก พระองค์ เรื่องของอาเฮงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นเพคะ ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นอาการป่วยของจิตใจ ร่างกายของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญ หากมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้…… ข้าคนนี้สมควรตายเพคะ ! ”
“ไม่มีปัญหา”ซวนเทียนเฟิงหอบสองครั้ง และตระหนักว่าเขาทำตัวแปลก ๆ เขาตอบสนองรุนแรงเกินไปหลังจากได้ยินเรื่องเฟิงหยูเฮง นั่นคือพระชายาหยู น้องสะใภ้คนเล็กของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เคยปล่อยผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในใจ แต่เขาก็ไม่ควรแสดงปฏิกิริยารุนแรงเช่นนั้นต่อหน้าคนนอก ในขณะที่เขาคิดเช่นนี้เขาก็แอบใช้กำลังภายในของเขาดันเลือดที่พุ่งขึ้นมาในร่างกายอย่างแรง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือของเหรินซีเฟิง กดผ้าเช็ดหน้าไปที่มุมปากแล้วเช็ดเลือดออกด้วยตัวเอง “น้องเก้ากำลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบในชายแดนตะวันออก ข้าสัญญากับเขาว่าข้าจะดูแลคนในตำหนักของเขา” เขาพบข้อแก้ตัว แต่เขาอดไม่ได้ที่จะถามเหรินซีเฟิง “อาการของนางดีขึ้นหรือยัง ? ”
เหรินซีเฟิงพยักหน้า“นางดีขึ้นมาก ท่านหมอเหยาตรวจนางด้วยตัวเอง นางไม่เป็นอะไรมาก ข้าได้ยินมาว่านางเดินไปตามท้องถนนเพื่อตามหาใครบางคน ข้าไม่รู้ว่านางกลับมาที่ตำหนักหรือยังเพคะ”
“ขอบคุณที่มาบอกเรื่องนี้กับองค์ชายผู้นี้”ซวนเทียนเฟิงมองไปที่เหรินซีเฟิง และพูดว่า “องค์ชายผู้นี้จะออกจากพระราชวังตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ข้าอยากจะขอให้คุณหนูตระกูลเรินเข้ามาในพระราชวังหลวง และแจ้งให้องค์ชายผู้นี้ทราบ” ในขณะที่เขาพูด เขาปลดแผ่นป้ายออกจากเอวของเขา “เอาอย่างนี้เจ้าสามารถเข้าออกในพระราชวังหลวงได้ทุกเมื่อ ด้วยสิ่งนี้ไม่มีใครจะหยุดเจ้าได้” novel-lucky
หลังจากที่เขาพูดจบเขาไม่รออีกต่อไปและเริ่มเดินออกจากห้องโถง เหรินซีเฟิงรีบตามไปข้างหลัง แผ่นป้ายที่ปลดออกจากเอวของเขานั้นถูกถือไว้ในมือของนาง อุณหภูมิร่างกายของซวนเทียนเฟิงยังคงอยู่ ส่งความรู้สึกมั่นคง
ทั้งสองเดินจากห้องโถงชั้นในไปยังห้องโถงชั้นนอกโดยไม่ได้เดินผ่านประตูห้องโถงขันทีรีบเปิดประตูและเดินเข้าไปข้างในจนเกือบจะชนกับซวนเทียนเฟิง ซวนเทียนเฟิงถามเขา “เกิดอะไรขึ้น ? ”
ขันทีพูดอย่างรวดเร็ว“องค์ชายหก มีคนมาจากตำหนักจิงซีมาส่งสารบอกว่าท่านผู้หญิงหลี่หนีออกจากตำหนักจิงซีและมาถึงริมทะเลสาบแล้ว โดยกล่าวว่า ว่า…… นางกระโดดลงไปในทะเลสาบพะยะค่ะ ! ” “อะไรนะ? ” ซวนเทียนเฟิงไม่คาดคิดมาก่อนว่ามารดาของเขาไม่เต็มใจที่จะฟังคำพูดของเขา ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง ความโกรธในใจของเขาพุ่งสูงขึ้นและใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ทำให้เหรินซีเฟิงตื่นตระหนก
นางจำได้ว่าจางหยวนพูดว่าท่านผู้หญิงหลี่สร้างความวุ่นวายเมื่อคืนนี้และองค์ชายหกคอยเฝ้าอยู่ที่ตำหนักจิงซีทั้งคืนและกลับมาตอนเช้าเท่านั้น ผ่านไปเพียงครึ่งวัน นางก็สร้างปัญหาอีกครั้งหรือ ?
“พระองค์”นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและพยุงซวนเทียนเฟิงเบา ๆ จากด้านข้าง นางกล่าวว่า “พระองค์อย่าพึ่งโกรธเพคะ ดูแลสุขภาพของพระองค์ด้วยเพค่ะ” เมื่อเห็นอารมณ์ที่ขัดแย้งกันบนใบหน้าของซวนเทียนเฟิง และรู้ว่าท่านผู้หญิงหลี่สร้างปัญหาในช่วงเวลานี้ ระหว่างเฟิงหยูเฮงและมารดาของเขา มันเป็นเรื่องยากสำหรับองค์ชายผู้นี้ที่จะเลือก นางจึงพูดอีกครั้งว่า “พระองค์เชื่อใจข้าสำหรับท่านผู้หญิงหลี่ จะมีหมอหลวงช่วยเพคะ”
ซวนเทียนเฟิงไม่คิดว่านางจะพูดแบบนี้และอดไม่ได้ที่จะหันไปด้านข้างเพื่อมองนาง โดยไม่รอให้เขาตอบ เขาได้ยินเหรินซีเฟิงพูดอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าพระองค์พูดกับนางมากมาย แต่สถานการณ์ของท่านผู้หญิงหลี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ถ้าอย่างนั้นพระองค์จะไปอีกครั้งก็ไร้ประโยชน์ ทำไมไม่เปลี่ยนให้คนอื่นลองดู ข้าไม่กล้าพูดหรอกกว่าข้าสามารถเกลี้ยกล่อมนางได้สำเร็จ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า พระองค์ไม่ต้องกังวล ข้าไม่กล้าพูดอะไรมากเพค่ะ แต่ข้าสามารถรับประกันได้ว่าท่านผู้หญิงหลี่จะไม่ตกลงไปในทะเลสาบ”
คุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์แม่ทัพนางยังได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากแม่ทัพ เมื่อนางเติบโตขึ้น นางไม่ได้มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้มากนัก แต่เพื่อป้องกันท่านผู้หญิงไม่ให้ตกลงไปในทะเลสาบเป็นสิ่งที่ง่ายมาก ซวนเทียนเฟิงพยักหน้าและมองไปที่เหรินซีเฟิงพูดอย่างเคารพและจริงจัง “ขอบคุณ ข้าฝากเรื่องนี้ไว้กับคุณหนูตระกูลเหรินด้วย”
เหรินซีเฟิงพยักหน้าและถอยหลังสองก้าวแล้วโค้งคำนับจากนั้นนางก็บอกขันทีที่มาส่งข่าวว่า “นำทางไป ! ”
ขันทีคนนั้นมองไปที่ซวนเทียนเฟิงเมื่อเห็นเขาพยักหน้า นั่นคือตอนที่ขันทีจากไปอย่างรีบร้อนกับเหรินซีเฟิง และซวนเทียนเฟิงก็พูดในขณะนี้ และสั่งบ่าวรับใช้ “เตรียมรถม้า องค์ชายผู้นี้จะออกพระราชวังหลวง ! ”
ท่านผู้หญิงหลี่ต้องการฆ่าตัวตายไม่ใช่สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ นับตั้งแต่ที่นางย้ายไปที่ตำหนักจิงซีก็ไม่มีวันใดที่ผ่านไปอย่างสงบ ในอดีตนางยังคงรู้สึกสมเพชตัวเองขณะอยู่ในเรือนของนางเอง ปัจจุบันได้ดำเนินไปถึงจุดที่ซวนเทียนเฟิงต้องถูกเรียกตัวไปที่เกิดเหตุ เมื่อใดก็ตามที่นางสร้างความวุ่นวาย
นางไม่ต้องการถูกขังอยู่ในตำหนักจิงซีอีกต่อไปนางรู้สึกว่าบุตรชายของนางนั่งบนบัลลังก์มังกร แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการแทน แต่นั่นก็ยังมีอำนาจมากมายมหาศาล นางควรจะมีอำนาจและมีความสุขกับผลประโยชน์เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วนางก็ถูกขังอยู่ในตำหนักจิงซี มันก็ดีถ้านางไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนจะหัวเราะเยาะนาง ! คำพูดของผู้คนมีพลัง บางครั้งประโยคหนึ่งประโยคอาจทำให้ใครบางคนถึงแก่ความตาย นางไม่สามารถอยู่ในตำหนักจิงซีได้อีกต่อไป นางต้องออกไป นางต้องได้รับความรุ่งโรจน์ นางเป็นของมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายผู้สำเร็จราชการแทน ด้วยเหตุนี้นางจะไม่ทำให้บุตรชายของนางเสียหน้า ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงเหล่านั้นในพระราชวังหลวงจะต้องไม่มองนางเป็นเรื่องตลก และนางสามารถทำให้พวกนางหุบปากได้
คราวนี้ท่านผู้หญิงหลี่สร้างความวุ่นวายจนกระทั่งนางมาถึงฝั่งทะเลสาบเมื่อเหรินซีเฟิงมาถึง เท้าข้างหนึ่งของนางได้ข้ามโขดหินที่ฝั่งทะเลสาบแล้ว ร่างของนางก็โน้มตัวไปข้างหน้า ขณะที่นางเตรียมกระโดดลงไปในทะเลสาบ…