[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 38 ใครคือเหยื่อ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมื่อฮ่องเต้โมโห ศพวางเรียงรายเป็นล้าน เลือดไหลพันลี้ แต่เมื่ออวิ๋นเยี่ยโมโหไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด คนในบ้านควรทำอะไรก็ไปทำ ยกเว้นซินเย่วที่กอดท่านพี่แล้วลูบผมของเขาเบาๆ จากนั้นพูดว่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ก่อนจะหนีไปเตรียมสินสอดให้รุ่นเหนียง อีกสามวันจะเป็นวันที่ลูกชายคนรองของตระกูลฉินจะเดินทางมารับญาติของเขา 

 

 

ทั้งครอบครัวเดินทางจากฉางอันกลับมายังหุบเขาอวี้ซัน พิธีการที่เหลืออยู่ของหลี่ซื่อหมินยังคงดำเนินต่อไป ส่งม้าเร็วให้เอาสาส์นไปส่งที่ทะเลจีนตะวันออกเพื่อขอลมและฝน ส่งม้าเร็วให้เอาสาน์สไปเผาที่เทือกเขาไท่ซานเพื่อขอให้ได้ดำรงตำแหน่งปกครองต่อไปอีกยาวนาน ส่งมาเร็วให้เอาสาน์สไปเผาที่เป่ยหมัง หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงกับเหยียนอ๋อง ขอให้อย่าพรากคนของเขาไปมากนัก สุดท้ายก็ส่งม้าเร็วให้เอาราชโองการไปเอาใจซื่ออี๋เพื่อแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้ต้องการจับดาบอีกแล้ว หากต้องการมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ แน่นอนว่าต้องส่งทหารม้าสองหมื่นนายไปที่ดินแดนเหลียวตง ข้ออ้างที่ใช้คือเส้นทางค้าขายไม่ราบรื่น ราษฎรไม่สงบสุข ส่วนเหตุผลว่าทำไมจึงได้วิ่งไปยังชายแดนเมืองเกาลี่อยู่เสมอ ก็เพราะว่าแม่ทัพสามารถออกรบในยามฉุกเฉินได้เมื่ออยู่นอกแคว้นโดยที่ไม่ต้องรอคำสั่งออกรบจากฮ่องเต้ แม่ทัพสามารถตัดสินใจได้เอง 

 

 

ทูตของเกาลี่คลั่งไคล้ในการพบปะกับเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในฉางอันพอสมควร อยากจะชวนผู้อาวุโสไปที่แม่น้ำฉวีเจียงด้วยกันเพื่อชมบทเพลงและการเต้นรำของเกาลี่ ส่งสาวงามมาให้นับไม่ถ้วน ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธของขวัญแต่อย่างใด ยิ้มรับพร้อมกับตกลงไปชมบทเพลงและเต้นรำ และบอกกับทูตชาวเกาลี่ซ้ำๆ ว่าแม่ทัพจางซื่อกุ้ยเป็นคนนำทัพที่โง่เง่า ไม่รู้จักแผนที่ จึงมักจะออกคำสั่งให้เขากลับมา ได้ยินมาว่าฮ่องเต้เกาลี่นามว่าเกาเจี้ยนอู่กำลังสร้างกำแพงเมืองจีน ไม่รู้ว่านี่หมายถึงสิ่งใด 

 

 

ทูตเกาลี่ตอบว่า “เพื่อป้องกันการบุกรุกของคนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ” ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันหัวเราะครื้นเครง เช่นนี้เรื่องการส่งทัพไปยังเกาลี่จึงได้กำหนดวันขึ้นแล้ว 

 

 

อวิ๋นเยี่ยหลบอยู่ในเขาอวี้ซัน แต่ว่ายังมีข่าวผ่านหูมาอยู่เรื่อยๆ การต่อสู้ระหว่างพระภิกษุและลัทธิเต๋าในฉินหลิ่งเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกทีจนวันหนึ่งซือซือเข้ามาร้องไห้ขอยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุดจากอาจารย์ อวิ๋นเยี่ยจึงได้พบว่าพระภิกษุหลายรูปที่อาศัยอยู่ในวัดของตัวเองต่างมีรอยบาดแผลเต็มตัวแล้ว 

 

 

ถอนหายใจก่อนจะหยิบกระเป๋ายาไปที่วัด น้ำในอ่างเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปหมด เจวี๋ยหย่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมให้ซือซือเช็ดหลังให้เขา บาดแผลยาวกว่าหนึ่งฟุตลามมาถึงด้านหน้า ซือซือใช้แป้งปิดบาดแผลแต่ก็ไม่ได้ผลนัก 

 

 

อวิ๋นเยี่ยดันซือซือออกไป เอาเส้นไหมออกมาจากกระเป๋ายา เริ่มเย็บบาดแผลจนกระทั่งปิดบาดแผลได้หมดจึงได้ทาผงยาลงไป พันด้วยผ้าพันแผลอีกที ในช่วงเวลานั้นเจวี๋ยหย่วนไม่ได้พูดอะไรสักคำ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม 

 

 

หลังจากที่ซือซือดูแลพ่อ ให้เขาดื่มยาเสร็จเรียบร้อย ก็มายืนก้มหัวอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ย อาจารย์ไปที่ไหนนางก็จะไปที่นั่น 

 

 

“ซือซือ พรุ่งนี้ท่านอารุ่นเหนียงของเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปหานาง มาตามข้าทำไม ผู้หญิงก็ต้องชอบเรื่องของผู้หญิงสิ ส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ มีอาจารย์อยู่ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน พ่อของเจ้าต่อสู้เพื่ออุดมคติของตัวเอง จะเป็นหรือตายก็โทษใครไม่ได้” 

 

 

“อาจารย์ ท่านอย่าไล่พ่อข้าออกไปเลย เขาไม่มีที่ให้ไปแล้วจึงได้มาที่บ้านเรา นักสืบด้านนอกคอยตามล่าไม่หยุด ข้าขอร้องอาจารย์ อย่าได้ไล่พ่อข้าไปเลย” 

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ไล่พ่อเจ้าไปหรอก ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่สามารถออกไปตีกับใครได้แล้ว รักษาตัวอยู่ที่บ้านจะดีที่สุด หวังว่าพายุครั้งนี้จะผ่านไปโดยเร็ว” 

 

 

“แต่ว่ามีนักสืบคนหนึ่งเอาแต่จ้องจับพ่อข้า เขาบอกว่าพ่อข้าฆ่าคน ทำอย่างไรดีอาจารย์ เขารออยู่ที่ประตูหน้าบ้านเรา ข้าดูอยู่หลายครั้งแล้วเขาไม่ขยับไปไหนเลย” 

 

 

“เขาชอบมองก็ให้เขามองไป อาจารย์ของเจ้ามีมิตรภาพที่ดีกับฮ่องเต้ เขาเป็นเพียงแค่นักสืบผู้ต่ำต้อย ไม่กล้าเข้าบ้านเราหรอก เอาล่ะ พ่อเจ้ากำลังพักผ่อน เจ้าก็ไปช่วยท่านอารุ่นเหนียงจัดเตรียมสินสอดเถอะ ดูไว้ให้ดีเมื่อถึงเวลาอาจารย์ก็จะทำเช่นนั้นเพื่อจัดเตรียมสินสอดให้เจ้า” อวิ๋นเยี่ยลูบหัวเด็กสาวแสนรู้ผู้นี้ มองนางเดินจากไปด้วยความเขินอาย 

 

 

เมื่อซือซือไปแล้วใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มาถึงตอนนี้แล้วฮ่องเต้ยังไม่พอใจอีกหรือ การสั่งหารหมู่ของนักบวชชาวพุทธและลัทธิเต๋าครั้งนี้ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมไปแล้ว เหตุใดจึงยังไม่หยุดอีก ตอนนี้แม้แต่พระภิกษุชั้นสูงอย่างเจวี๋ยหย่วนก็เริ่มเจ็บตัวแล้ว แค่คิดก็รู้ได้ว่าการตายของพระภิกษุท่านอื่นคงทำให้คนตกอกตกใจถึงเพียงไหน 

 

 

พูดแล้วก็น่าขัน มีพระภิกษุบางรูปที่ตั้งใจรนหาที่ตาย หลังจากที่ตัวเองตายก็สามารถส่งเสื้อคลุมของตัวเองให้แก่ลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้โกนหัวได้ ไม่สนใจชีวิตตัวเองเพียงเพราะต้องการสืบทอด จากที่อวิ๋นเยี่ยรู้มา ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ทางการไม่เคยออกใบรับรองให้เลยไม่ว่าจะให้กับพระภิกษุหรือว่านักบวชลัทธิเต๋า 

 

 

เมื่อก่อนในวันเกิดของหลี่หยวนจะมีการออกใบรับรองให้พระภิกษุและภิกษุณีเพื่อยืนยันตัวตน ไม่เคยขาดตกไปเลยแม้แต่ปีเดียว แต่วันเกิดในปีนี้กลับเปลี่ยนเป็นการบริจาคเสบียงอาหารแทน ทำให้พระภิกษุผู้กระตือรือร้นทั้งหลายพากันผิดหวัง 

 

 

จากผิดหวังก็แปรเปลี่ยนเป็นหมดหวัง คนหมดหวังมักจะขาดสติ หากมีสะเก็ดไฟเกิดขึ้นหนึ่งดวงก็จะลุกโชนขึ้นมาในทันที ไม่รู้ว่าสะเก็ดไฟนี้ใครเป็นคนจุดขึ้นมา 

 

 

วันธรรมดาเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นยาพิษของฮ่องเต้ โดยเฉพาะคนอย่างหลี่ซื่อหมินที่ชอบหาเรื่อง ความสุขสูงสุดของเขาคือการได้เห็นศัตรูของตัวเองต้องคลานเข่ามาขอร้อง อวิ๋นเยี่ยสาบานว่าชาตินี้จะไม่ทำให้ตัวเองต้องตกเป็นเป้าหมายในการทำสงครามของหลี่ซื่อหมิน 

 

 

ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ถูกผลักโดยซินเย่วผู้ยุ่งมาตลอดทั้งคืน วันนี้น้องสาวจะแต่งงานแล้ว มีแขกมามากมาย ตอนนี้ต้องตื่นนอนได้แล้ว 

 

 

ดูเหมือนว่าไม่มีใครอยากจะเป็นแขกของฝ่ายชายนัก จั่งซุนชงและพวกหลี่หวยเหรินรีบมาแต่เช้า ส่วนเฉิงฉู่มั่วได้ถูกชายเฒ่าจับไปที่บ้านตระกูลฉินก่อนรุ่งสาง ฉินหวยอิงจะสู่ขอรุ่นเหนียง ครอบครัวของเหล่าเฉิงจึงเป็นแขกของฝ่ายชายไปโดยปริยาย หวยอิงหาเพื่อนเจ้าบ่าวไม่ได้ เดิมทีกะว่าจะให้พี่ชายของตัวเองมาร่วมด้วยเสียหน่อย แต่ตอนนี้มีเฉิงฉู่มั่วแล้วพี่ชายจึงไม่ต้องมารับความโชคร้ายแล้ว 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในหอซิ่วโหล เห็นรุ่นเหนียงนั่งตัวตรงดูไม่เป็นตัวของตัวเองจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พูดกับซินเย่วด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “เอาเข็มกลัดดอกไม้ที่หลังของรุ่นเหนียงออก เจ้าลืมความทรมานในตอนนั้นไปแล้วหรือ” 

 

 

รุ่นเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ข้าไม่เจ็บ นี่เป็นธรรมเนียมโบราณ ตอนนั้นพี่สะใภ้เคยทำเช่นนี้ พี่สาวก็เช่นกัน ข้าเองก็เป็นผู้หญิง การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ท่านเอ็นดูข้า ข้าจะจำไปตลอดชีวิต ตอนนี้ข้าจะแต่งออกไปแล้ว ขอบคุณพี่อวิ๋นที่รักและเอ็นดูข้า” 

 

 

พูดจบก็คุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วหมอบคำนับ ทุกครั้งที่น้องสาวแต่งออกไป อารมณ์ของอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซินเย่วรู้จักนิสัยท่านพี่ตัวเองดี เห็นว่ารุ่นเหนียงคุกเข่าคำนับเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพูดต่อว่า “ท่านยังทำใจจากรุ่นเหนียงไม่ได้ ข้ารู้ว่าท่านกำลังโมโห แต่ว่าตอนนี้ต้องยอมเพื่อรุ่นเหนียง ท่านเป็นผู้ชาย มาอยู่ตรงนี้คงไม่เหมาะสม ไปทักทายเพื่อนๆ จะดีกว่า” 

 

 

ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้หญิงจริงๆ จึงรีบลงมาจากหอ ขณะเตรียมตัวจะไปดูวั่งไฉและเมียของวั่งไฉอีกสองสามตัว พึ่งจะมาถึงคอกม้าก็เห็นซ่านอิงนอนอยู่บนคานไม้เหมือนกับว่ากำลังพูดคุยอยู่กับวั่งไฉ ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน แต่ว่าสิ่งที่พูดในวันนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกี่ยวกับต้ายา 

 

 

“มาแล้วก็ออกมา อย่าหลบอยู่ด้านหลังฟังคนอื่นเขาสนทนา เจ้าไม่ได้มีความสามารถทางด้านนี้” ซ่านอิงมองไปทางแปลงดอกไม้ข้างๆ คอกม้าแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินออกมาจากหลังแปลงดอกไม้ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเมื่อแอบฟังแล้วมีคนจับได้ “เจ้าอยากจะสู่ขอต้ายาก็ต้องรอสักสองสามปี คนอย่างพวกเจ้าหั่นเนื้อข้าด้านซ้ายบ้าง หั่นเนื้อข้าด้านขวาบ้าง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตัวข้าเองจะยังเหลืออะไรอยู่อีกหรือ” 

 

 

ซ่านอิงมองไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นพี่ชาย ข้ามองดูรายการสินสอดทองหมั้นของรุ่นเหนียง เป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้องแต่เจ้าก็จัดงานให้เสียยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้ากำลังคิดว่าหากต้ายาแต่งออกไปจะจัดงานยิ่งใหญ่มากกว่านี้หรือไม่ เพราะอย่างไรแล้วต้ายาก็เป็นคุณหนูที่แท้จริงของตระกูลนี้” 

 

 

“เงินทองไม่ได้มีค่าอะไร ขอเพียงแค่ในภายภาคหน้าเจ้าดูแลนางเป็นอย่างดี ค่าสินสอดเท่าไหร่ข้าก็ยอมรับได้ แต่ถ้าเจ้าปฏิบัติไม่ดีต่อนาง ต่อให้ฝีมือข้าไม่ดีเท่าเจ้าแต่ข้าก็จะฆ่าเจ้า ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เจ้าจำคำพูดนี้ของข้าไว้ให้ดี” 

 

 

“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาฆ่าข้า ข้าซ่านอิงชีวิตนี้รักต้ายาเพียงคนเดียว ต่อให้ข้าได้เจอสาวงามอย่างเตียวเสียนข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ หากบนโลกนี้มีคนฆ่าข้าได้จริงๆ ข้าเชื่อว่าคนๆ นั้นต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน จริงสิข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า อาจารย์ข้ามาแล้ว ได้ยินมาว่ามีคนลงทุนเงินก้อนใหญ่ ไม่รู้ต้องการจะกำจัดใคร” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะนั่งบนเสาไม้ก็รีบดีดตัวขึ้นมาราวกับถูกไฟช็อต พูดกับซ่านอิงว่า “อาจารย์ของเจ้าคงจะมีอายุไม่ต่ำกว่าแปดสิบปีแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าชายอายุแปดสิบปีจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ได้” 

 

 

“มีบางคนที่เราก็ไม่สามารถมองเขาเหมือนคนธรรมดาได้ ชายเฒ่าอายุแปดสิบปีในหมู่บ้านต้องตื่นคืนละสี่ห้ารอบ จะลุกยืนยังลำบาก แต่ว่าอาจารย์ของข้ายังสามารถจับกระต่ายป่าบนภูเขาได้ด้วยมือเปล่า ยังสามารถบิดผ้าได้ด้วยสองมือ การโยนก้อนหินตั๊กแตนของเขาก็แม่นยำไม่มีพลาด ได้ยินมาว่าเขาใช้พิษงูเห่ามาทาบนก้อนหินตั๊กแตน เป็นพิษที่ร้ายแรงมาก ดังนั้นช่วงนี้เจ้าก็อยู่แต่ในบ้าน ข้าไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาคือใคร อาจจะเป็นข้าด้วยซ้ำ” 

 

 

“เขาเป็นอาจารย์เจ้า จะเป็นเช่นนั้นหรือ…” 

 

 

“เขาเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วว่าตัวเองนั้นแก่มากแล้ว ขาดความกระปรี้กระเปร่า แต่ว่ามีศิษย์พี่ข้าคนหนึ่งได้ทรยศเขา หลังจากที่โดนเขาฆ่าตายไป น่าแปลกเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาก็ดูอ่อนกว่าวัยลงยี่สิบปี ไปสู่ขอภรรยาน้อยแล้วก็มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ข้าคาดว่าเขากำลังคิดว่าหากกำจัดข้าเขาอาจจะอ่อนกว่าวัยอีกยี่สิบปี” 

 

 

“เจ้าก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่บ้านกันให้หมดนี่แหละ ในหมู่พวกเราใครก็ห้ามออกไปข้างนอก อยู่แต่ในบ้านใช้ชีวิตของตัวเองไป เจ้าอยู่กับต้ายา อ่านหนังสือหรือว่าร้องเพลงก็ได้ หากมีอะไรที่เกินเลย ขอเพียงแค่ข้าไม่เห็นก็พอ ไม่จำเป็นต้องหนีไปไหน ใครจะตายข้างนอกก็ช่างเขา ขอเพียงแค่คนในบ้านปลอดภัยก็พอ” 

 

 

“ฮ่าๆ พี่ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่ ไม่ใช่เพราะอะไรแต่เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าพึ่งพูดเมื่อครู่ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นญาติเจ้า แม้ว่าการมุดหัวอยู่ในกระดองจะน่าอายไปหน่อย แต่เมื่อข้าได้ฟังก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่ว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ฉางอันกำลังวุ่นวาย เป็นเวลาที่ข้าจะได้แสดงความสามารถ ข้าซ่านอิง สักวันหนึ่งจะปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ ลมฝนแค่นี้ก็ไม่อาจรั้งข้าไว้ได้ หากเจ้าไม่อยากให้ต้ายาไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิต ทางที่ดีก็ช่วยหายาแก้งูเห่าให้ข้า หินอาบยาพิษของชายเฒ่าดูจะน่ากลัวเกินไปแล้ว” 

 

 

เมื่อซ่านอิงพูดจบก็รีบปีนกำแพงแล้วจากไป 

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหงาเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่อึกทึกครึกโครม พารุ่นเหนียงขึ้นเกี้ยว ย้ำเตือนอยู่สองสามคำแล้วกลับเข้าไปในบ้าน ปิดประตูห้องหนังสือ นั่งอยู่ในนั้นตั้งแต่กลางวันจนพระอาทิตย์ตก