ตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อโลกวุ่นวายมักจะมีภูตผีปีศาจปรากฏตัวขึ้นมา หากวุ่นวายผีวัวเทพงูก็จะออกมาจากทุกหนแห่ง ออกมาลาดตระเวนอยู่ในความมืด เมื่อมีโอกาสพวกมันก็จะถือโอกาสกัดคำใหญ่ๆ ตอนนี้แม้แต่ฉลามเฒ่าอย่างติงเหยี่ยนผิงที่จมอยู่ในน้ำก็ยังโผล่หัวออกมา เมืองฉางอันยังเป็นที่ที่คนอาศัยอยู่ได้อยู่หรือ ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า พวกเจ้าจะทำอะไรกันแน่ ก็แค่จ่ายภาษีไม่ใช่หรือ มันยากลำบากถึงเพียงนี้เลยหรือไง พวกเจ้าครอบครองที่ดินผืนใหญ่ขนาดนั้น จ่ายภาษีนิดหน่อยจะตายเช่นนั้นหรือ
แต่ก็จริงที่ตั้งแต่พวกเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา พวกเจ้าชอบอ้างว่าตัวเองได้กระโดดออกจากสามอาณาจักร ไม่ได้อยู่ในธาตุทั้งห้า เมื่อออกบวชไปแล้ว เรื่องของประเทศชาติไม่เกี่ยวอะไรด้วยอีก หลี่ซื่อหมินจะเอาแค่สามส่วนไม่ใช่หรือ ก็แค่เอาให้เขาไปเสียก็สิ้นเรื่อง พระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าควรจะกินมังสวิรัติกันไม่ใช่หรืออย่างไร หากกินแต่ปลาแต่เนื้อทั้งวัน ทุกคนบนโลกคงต้องการจะออกบวชกันหมด
สุดท้ายก็เป็นเพียงความตระหนี่ถี่เหนียวนั่นแหละ สำนักเล็กๆ ของหยวนเทียนกังแต่ทว่ากลับหรูหราผิดปกติ เสื้อคลุมที่สวมใส่ก็ทำมาจากผ้าไหมสีทอง เหล่าพระภิกษุก็เว่อร์วัง ต้องการสร้างวัดใหญ่โตเท่าใดก็สร้างได้ ต้องการสร้างวัดสูงมากเพียงใดก็สร้างได้ ทองข้างบนจะทาสีหนาแค่ไหนก็ทาได้ จะทำไปทำไมกันหรือ เพราะเหตุใดกัน แค่ให้เอาเงินไปซ่อมแซมถนน สร้างทางเข้า ขุดคลอง และสร้างตำหนักให้ฮ่องเต้อีกสักสองสามตำหนักพวกเจ้าไม่พอใจเช่นนั้นหรือ แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องมีคนตาย อยากจะหยุดแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ เลือดที่ไหลนองออกมา นอกจากความเคียดแค้นแล้วมันจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีก
หาติงเหยี่ยนผิงไม่เจอ แม้แต่ซ่านอิงเองก็หาไม่เจอ เขาเห็นแค่เครื่องหมายที่ชายเฒ่าทิ้งไว้ที่ประตูเมืองฉางอัน นี่คือเครื่องหมายที่ใช้เรียกเขา เขาต้องติดตามไปดู
ฟ้ามืดแล้ว แต่ซ่านอิงยังไม่กลับมา แขกเหรื่อที่บ้านกลับไปกันหมดแล้ว ซินเย่วเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยอารมณ์ไม่ค่อยดี นางจึงบอกแขกที่บ้านว่าท่านพี่ไม่สบาย ตอนนี้กำลังนอนเหงื่อไหลอยู่ในห้องคนเดียว ไม่สะดวกที่จะเจอผู้คน ถึงแม้ว่าจะเสียมารยาทแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร อวิ๋นเยี่ยเอาแผ่นกระดาษมาเขียนข้อความให้จั่งซุนชงแผ่นหนึ่ง บอกให้เขารีบไสหัวกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ ปิดประตูและอย่าโผล่หน้าออกไปที่ตลาดฉางอันเด็ดขาด
จั่งซุนชงที่เห็นข้อความบนกระดาษ เขาก็รีบเขียนเนื้อหาเดียวกันอีกห้าแผ่น แจกจ่ายให้กับเฉิงฉู่มั่วและคนอื่นๆ พวกเขายืนหยัดดื่มเหล้าจนหมด จากนั้นก็ขึ้นรถม้าและรีบกลับบ้านไปในทันที
ชื่อของติงเหยี่ยนผิงนั้นน่ากลัวเกินไป เฉิงเหย่าจิน จั่งซุนอู๋จี้ ฉินฉยง และอวี้ฉือกงไม่คุ้นเคยกับชายเฒ่าคนนี้ หลัวสือซิ่นเคยประลองฝีมือกับเขา สุดท้ายเขาก็กลายเป็นเชลยของหลิวเฮยท่า ก่อนสุดท้ายเขาจะต้องตาย ฉินฉยงเคยบอกว่าฝีมือการต่อสู้ของหลิวสือซิ่นคืออันดับหนึ่งของพวกเขา ดังนั้น เมื่อเฉิงฉู่มั่วเห็นข้อความบนกระดาษแผ่นนั้น เขาจึงรีบหดหางกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางออกจากบ้านตามอำเภอใจ
อวิ๋นเยี่ยรอซ่านอิงอยู่ในสวนดอกไม้ด้วยความกังวล เจ้านั่นถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวกลับมา อู๋เสอมองดูอวิ๋นเยี่ยที่เป็นกังวลและปลอบใจเขาว่า “ฝีมือของซ่านอิงไม่ธรรมดา แม้แต่ข้าก็ยังสู้เขาไม่ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเขาก็กลับมา”
ซุนซือเหมี่ยวหยิบแส้ขนหางจามรีขึ้นมาปัดใบไม้ที่ร่วงลงมาบนโต๊ะแล้วถามอวิ๋นเยี่ย “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเหล่าเต้าคือเป้าหมายของติงเหยี่ยนผิงล่ะ ตั้งแต่เกิดมาเหล่าเต้าไม่เคยพัวพันกับใคร เขาจะฆ่าเหล่าเต้าไปทำไมกัน”
เขาไม่พอใจกับการที่อวิ๋นเยี่ยลากเขากลับมายังจวนอวิ๋นวันนี้เป็นอย่างมาก สองสามวันนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการศึกษาเกี่ยวกับไข้ทรพิษ จู่ๆ ก็ต้องมาทำอะไรก็ไม่รู้ที่บ้านของตระกูลอวิ๋น มันทำให้เขาหงุดหงิด
“ติงเหยี่ยนผิงไม่ใช่แม่ทัพอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาเป็นนักฆ่า ได้ยินซ่านอิงบอกว่ามีคนจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญเขากลับมา หากเป็นข้าที่เชิญมา หมายถึงว่าข้าต้องการจะทำให้สถานการณ์นี้วุ่นวายนี้แย่ลงไปอีก และการฆ่าเจ้าคือทางเลือกที่ดีที่สุด
ลัทธิเต๋าคงจะเป็นบ้า ศาสนาพุทธมีปากกว่าพันปากก็แก้ตัวไม่ขึ้น ฝ่าบาทเองก็จะโมโห พระภิกษุก็จะซวย และแน่นนอนว่าการฆ่าเสวียนจั้งระหว่างทางก็ทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน เพียงแต่คนที่ซวยจะเป็นลัทธิเต๋า
เรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นแบบแปลกๆ ข้าคิดว่าฝ่าบาทเป็นคนทำ แต่เมื่อวันนั้นข้าได้เจอกับฝ่าบาท ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนทำ ตอนนี้เขากำลังนั่งดูความสนุก เตรียมเก็บกวาดสถานการณ์อันน่าอนาถในตอนจบ”
อู๋เสอยิ้มและพูดว่า “เจ้าดูสิ มันจะต้องมีคนได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ สุดท้ายใครได้รับประโยชน์มากที่สุด คนนั้นก็คือคนที่ยุยง เรื่องที่ทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่ค่อยมีใครอยากทำนักหรอก”
หลังจากพูดจบ อู๋เสอก็ยืนขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่กำแพง จากนั้นก็เห็นซ่านอิงนอนอยู่บนกำแพงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ทางที่ดีเจ้าหายาถอนพิษให้เจอ ไม่เช่นนั้นข้าซวยแน่” พูดจบเขาก็ตกลงมาจากกำแพงทันที
อวิ๋นเยี่ยอุ้มซ่านอิงกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ตรวจร่างกายของเขาอย่างละเอียด สุดท้ายก็เจอรอยแผลอยู่ที่ส่วนโค้งของขา เลือดเป็นสีดำ ไม่ต้องสงสัย นี่คือยาพิษของฟั่นฉ่านโถวอะไรนั่น
เตรียมท่อดูดเลือดไว้อยู่แล้ว ซุนซือเหมี่ยวหยิบมีดมากรีดที่แผลอย่างรวดเร็ว เลือดสีจางๆ ไหลออกมาทันที อวิ๋นเยี่ยกดท่อดูดเลือดที่ทำจากไม้ไผ่ให้ลงไปบนแผลแล้วค่อยๆ ดึงแกนด้านในออกมา ดึงออกมาแล้วก็หยุดดึง ดูว่าเลือดกลับมาเป็นสีปกติแล้วหรือยัง จนกระทั่งดูดออกมาสองท่อ เลือดถึงได้กลับมาเป็นสีปกติ อวิ๋นเยี่ยหยิบน้ำสบู่ที่เตรียมไว้แล้วมาทำความสะอาดแผลอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้มีพิษตกค้างบนแผล
ยาถอนพิษของซุนซือเหมี่ยวปรุงเสร็จแล้ว ใช้นิ้วบีบกรามของซ่านอิงแล้วเทยาเย็นๆ ลงไป อวิ๋นเยี่ยมองดูซุนซือเหมี่ยวทรมานซ่านอิงอย่างช่วยไม่ได้ มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขาไม่มีเลือดสด ต้องพึ่งซุนซือเหมี่ยว
หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ซุนซือเหมี่ยวก็จับชีพจรของซ่านอิงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะยังมีพิษหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ผงซีฮวาของข้าเป็นยารักษาพิษงูที่ยอดเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เกือบจะล้มเหลว พิษงูนั้นรุนแรงมาก เขากะจะฆ่าเสี่ยวอิงให้ตายกันเลยทีเดียว”
อวิ๋นเยี่ยได้ยินเสียงหายใจอันแผ่วเบาของซ่านอิง มันไม่ได้ร้อนรนเท่าเมื่อครู่แล้ว เขาจึงวางใจลง ห่มผ้าให้ซ่านอิงแล้วตัวเองก็ออกมาข้างนอก มองหาอู๋เสอแต่ไม่พบ เหล่าจวงที่อยู่บนหลังคาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหว อู๋เสอไล่ตามออกไปแล้ว แล้วยังเอาหน้าไม้ไปด้วยอันหนึ่ง”
อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า ดูเหมือนว่าติงเหยี่ยนผิงจะไล่ตามซ่านอิงมาจนถึงที่บ้านของตระกูลอวิ๋น เขาคงไม่วางใจที่ไม่ได้เห็นซ่านอิงตายด้วยตาตัวเอง สุดท้ายถูกอู๋เสอจับได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นใครจะเก่งกว่ากัน
พึ่งจะกลับเข้าไปในห้อง อู๋เสอก็เดินออกมาจากสวนดอกใม้ หน้าไม้ในมือไม่มีลูกธนูแล้ว
“ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดา วิ่งอยู่ยังฟังเสียงลมได้ ลูกธนูสามลูกเขาก็หลบได้” อู๋เสอวางหน้าไม้ลงบนโต๊ะแล้วพูดอีกว่า “ข้าว่า ไอ้ติงเหยี่ยนผิงมาหาเจ้า เขาคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านของตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างดี คุ้นเคยกว่าข้าเสียอีกกระมัง คิดไม่ถึงว่าข้ายังไล่ตามเขาไปไม่ทัน”
จมูกของอวิ๋นเยี่ยแทบจะเบี้ยว คนที่สูงส่งอย่างหลี่ซื่อหมินเจ้าไม่ไปไล่ฆ่า นักปราชญ์อย่างฝางเสวียนหลิงเจ้าไม่ไปไล่ฆ่า เทพเจ้าแห่งกองทัพอย่างหลี่จิ้งเจ้าก็ไม่ไปฆ่า แต่มาหาข้าทำไมกัน ข้าแค่อยากจะกินข้าวอย่างสงบสุข ไม่เคยกล้าที่จะไปขวางทางของใครเสียหน่อย
ได้ยินเสียงไอของซ่านอิงดังออกมาจากในห้องเขาก็รีบกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เห็นซ่านอิงเอนหลังอยู่ ซุนซือเหมี่ยวกำลังป้อมน้ำชะเอมให้เขา เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาเขาก็พูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก “ข้าแน่ใจแล้วว่าเป้าหมายของเขาคือเจ้า ไม่ใช่สิ่งล่อใจของคนอื่น ชายเฒ่าคนนั้นบ้าไปแล้ว เขาอยากจะเป็นอมตะ ได้ยินมาว่าเจ้ามีแผนที่ของไป๋อวี้จิงอยู่ในมือ จะให้ข้าขโมยไปให้เขา ข้ารู้ว่าของพวกนั้นไม่ได้มีประโยชน์กับเจ้า ขอเจ้าเจ้าก็คงให้ แต่ว่าเขาไม่เชื่อ บอกว่าข้าโกหก จากนั้นก็ไม่ไว้หน้าข้า เราต่อสู้กันได้สักพัก สุดท้าย ข้าก็ถูกหินตั๊กแตนขว้างใส่ รีบหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยหยิบหยกอวี้ไผออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดกับซ่านอิงว่า “พรุ่งนี้เราเอาของสิ่งนี้ไปแขวนไว้ที่ประตู ปล่อยให้เขาเอาไป ยั่วเขาไม่ได้ ในเมื่อชอบออกไปตามหาไป๋อวี้จิงก็เท่ากับไปตาย ใครจะสนใจเขากัน”
อู๋เสอหัวเราะราวกับนกเค้าแมว หัวเราะจบแล้วถึงได้พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่มีประโยชน์ เขาจะไม่มีทางเชื่อ เขาคงจะคิดว่ามันเป็นกับดักของเจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอาไปให้เขากับมือ เขาก็ไม่มีทางเชื่อเจ้า แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยเห็นแผนที่ คนที่โหดเ**้ยมอย่างเขาหากไม่ฆ่าเจ้าแล้วครอบครองไป๋อวี้จิงคนเดียวเขาไม่มีทางยอม”
เห็นว่าซ่านอิงก็พยักหน้าตาม หนังหัวของอวิ๋นเยี่ยก็ชาไปหมดและพูดกับซ่านอิงว่า “เจ้าบอกว่าอาจารย์ของเจ้าใจดีมากไม่ใช่หรือ เลี้ยงเจ้าราวกับลูกชายแท้ๆ ไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้เขาถึงได้กลายเป็นปีศาจเช่นนี้”
“ใช่แล้ว ตอนข้าเด็กๆ เขาเลี้ยงข้าราวกับลูกชายแท้ๆ ของเขา แต่ต่อมาเขาตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง จากนั้น ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับหมา” ซ่านอิงยิ้มอย่างขมขื่น
อวิ๋นเยี่ยที่เคยเห็นเรื่องราวที่น่าเศร้าเช่นนี้มาแล้วนับไม่ถ้วนก็พยักหน้า บนโลกใบนี้มีคนที่โง่ที่สุดมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือชายเฒ่าที่ตกหลุมรักเด็กผู้หญิง และอีกประเภทหนึ่งคือหญิงเฒ่าที่ตกหลุมรักชายหนุ่ม เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายเฒ่าหรือหญิงเฒ่าที่ฉลาดหลักแพลมเพียงใด เมื่อตกหลุมรักใครสักคนพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ซึ่งเหตุผล ต้องยอมจำนนแต่โดยดี
ติงเหยี่ยนผิงคงจะบ้าไปแล้วจริงๆ เดิมทีคิดว่าเขาไปเอาเงินใครมาแล้วจะไปก่อเรื่องที่เมืองหลวง แต่ที่แท้ก็กังวลว่าตัวเองอายุมากแล้ว จะอยู่กับภรรยาสาวได้อีกไม่นาน จึงพยายามตามหาความเป็นอมตะ บังเอิญไปได้ยินเรื่องไป๋อวี้จิงเข้า เขาจึงพุ่งมาที่นี่อย่างบ้าคลั่ง แต่ว่าข่าวนี้ใครเป็นคนที่ปล่อยออกไปกัน
อู๋เสอพูดถูก ต่อให้เอาให้เขา เขาก็ไม่มีทางเชื่อ ในความคิดของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าของความเป็นอมตะ ถึงแม้ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั้งตระกูล อวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีทางเอามันออกมาให้เขาง่ายๆ หากจะเอาไปแขวนไว้ที่หน้าประตู มันดูเป็นเรื่องตลกที่เอาไว้หลอกคนโง่ชัด
เขาอยากให้ซ่านอิงขโมยไปให้เขา ในช่วงนั้นเขาคงได้คิดถึงขั้นตอนที่ยากลำบากไว้แล้ว บางทีซ่านอิงอาจจะตายได้ แต่ฟังจากที่ซ่านอิงพูด หากอาจารย์ของเขาอยากได้ ข้าไปขอมาให้ท่านก็ได้ ได้ยินแบบนี้ ติงเหยี่ยนผิงคงจะคิดว่าซ่านอิงทรยศเขาตั้งนานแล้ว และกำลังร่วมมือกันเพื่อจัดการเขา ดังนั้นชายเฒ่าผู้โหดเ**้ยมจึงฆ่าเขาทันที ซ่านอิงผู้เคราะห์ร้ายเกือบจะต้องตาย หากตอนนี้ติงเหยี่ยนผิงเห็นซ่านอิงร้องไห้ก็คงจะรู้ว่าตัวเองคิดผิดไปแค่ไหน
ช่วงนี้ช่างเต็มไปด้วยปัญหาไม่ขาดสาย ฉิวหรันเค่อ เฮ่อเทียนซัง แล้วยังมีติงเหยี่ยนผิงอีกคน ไอ้สารเลวพวกนี้มีแต่จะมาหาเรื่องตัวเอง ที่บ้านไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หลี่หวยเหรินบอกว่าฉิวหรันเค่อมาหาตัวเองแล้ว จั่งซุนชงก็บอกว่าเฮ่อเทียนซังมีลูกธนูพระราชโองการของฮ่องเต้ ตอนนี้ติงเหยี่ยนผิงก็มาหาเรื่องอีกคน เยี่ยมมาก ความขัดแย้งต้องมีเวลาปะทุขึ้น เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีวิธีแก้ไขได้
แต่เมื่อนึกถึงคนในตระกูลอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขาอ่อนขึ้นมา ไม่ได้ ให้คนทั้งตระกูลไปอยู่ในเขตพระราชวังดีกว่า ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินจะยอมเห็นด้วยหรือไม่ หากไม่เห็นด้วยก็คงต้องให้ไปอยู่กับรัชทายาท รอให้ตัวเองแก้ไขปัญหาหมดแล้วค่อยรับกลับมา