พูดจบ ร่างกระโจนขึ้น ตรงไปยังกำแพงเมือง

 

เมิ่งชิงตามหลังไปทันที

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้วิชาตัวเบา รออยู่ที่เดิม จนกว่าประตูเมืองจะเปิดให้ตนพาคนเข้าไปได้

 

องครักษ์ลับแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งตามหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปบนกำแพงเมือง อีกฝ่ายปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านล่าง

 

ปฏิกิริยาของฮั่วต้าเร็วไม่น้อย เห็นหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นมา ออกคำสั่งว่า “ปล่อยธนู ยิงพวกมันให้ตาย”

 

ฝนธนูลอยลงมาหาพวกเขา

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เงยหน้ามองพวกเขาด้วยความกังวล

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งชิงใช้กำลังภายในอย่างเต็มที่ ปล่อยหมัดออกมากลางอากาศ ศรธนูเปลี่ยนทิศทาง ฟุบๆ ๆ เสียบลงบนพื้นข้างกำแพงเมือง

 

พลธนูประหลาดใจ รีบหยิบลูกธนูออกมาจากด้านหลัง ยังต้องการยิงต่อไป หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชิงได้มาถึงกำแพงเมืองแล้ว

 

เป้าหมายของเมิ่งชิงคือพลธนู ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนตรงไปโจมตีฮั่วต้า

 

เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังอันแกร่งกล้าของเขา ฮั่วต้ารู้ดีว่าหากสู้กับเขาตนต้องพ่ายแพ้แน่ แต่อย่างไรยังคงกัดฟันแน่น ใช้วิชาป้องกันตัว

 

องครักษ์ลับกระโดดขึ้นมาบนกำแพงคนแล้วคนเล่า เริ่มการต่อสู้หากพูดให้ถูกคือ การการฆ่าอีกฝ่ายให้ราบได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

เมิ่งชิงไม่ออมมือ ฆ่าทุกคนตรงหน้า ดาบอาบไปด้วยเลือด องครักษ์ลับก็เช่นกัน มีดเล่มสั้นในมือส่องแสงสะท้อน แทงทะลุอีกฝ่ายอย่างไม่ออมมือ

 

พลังของพวกเขาดุร้าย เหล่าทหารเริ่มเกิดความเกรงกลัว ฝีมือที่ใช้ต่อสู้เริ่มไม่เป็นท่า

 

นี่ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้เมิ่งชิงและเหล่าองครักษ์ลับ ไม่เกินหนึ่งก้านธูปทหารของฝ่ายตรงข้ามล้มลงนอนกองกับพื้นจนหมด เหล่าทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้น ตกใจกลัวเสียจนขาสั่น คุกเข่าลงที่พื้นเพื่อขอร้อง

 

ทหารทั่วไปและเหล่าทหารพวกนั้นแตกต่างกัน เมิ่งชิงจึงไม่ได้ออกคำส่งให้ฆ่าพวกเขา ชายตาไปมองพวกเขาเล็กน้อย จากนั้น สั่งองครักษ์ลับว่า “ไปเปิดประตูเมือง!”

 

องครักษ์ลับจำนวนหนึ่งกระโดดลงจากกำแพง เปิดประตูเมืองบานใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวควบม้าเข้ามา พูดว่า “อี้เซวียน จัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่แล้วแน่”

 

เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้น จึงได้ออกแรงเพิ่มขึ้น ฮั่วต้ารับมือไม่ไหว ถอยหลังไป

 

เมิ่งชิงถือดาบยืนอยู่อีกด้าน เตรียมช่วยหวงฝู่อี้เซวียนอีกแรง

 

พริบตาเดียวผ่านไปแล้วกว่าสามสิบกระบวนท่า ฮั่วต้าที่เป็นผู้เพลี่ยงพล้ำเริ่มทรงตัวไม่อยู่ ร่างหงายไปด้านหลัง เมิ่งชิงได้โอกาส ใช้ดาบเสียบทะลุผ่านหลังเขา จากนั้นดึงออก เลือดสดไหลสาดออกมา

 

ร่างใหญ่ของฮั่วต้าล้มลงบนพื้น กระแทกแรงเสียจนทำเอากำแพงเองสั่นไหว เบิกตาโพลงมองเมิ่งชิงด้วยความตกใจ

 

เมิ่งชิงไม่ให้กระทั่งโอกาสหายใจแก่เขา ใช้ดาบฟันคอของเขาขาดออกจากกัน รีบหันหลังจากไป “พี่เขย ไปกันเถิด ไม่รู้ว่าพวกเมิ่งเอ๋อร์เป็นเช่นไรแล้ว”

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้ชายตามองฮั่วต้า เดินลงจากกำแพงทันที

 

ฮั่วต้าเบิกตาโพลง มองทั้งสองเดินจากไป ตายตาไม่หลับ

 

พลทหารรักษาประตูกลัวจนใจสั่น ร่างกายอ่อนแรง ความสามารถของฮั่วต้าพวกเขารู้ดี เขาผู้เดียวสามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้ แต่คนเหล่านี้ กลับฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย น่ากลัวเหลือเกิน โชคดีที่เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ออกแรงห้ามปราม มิเช่นนั้น บัดนี้คงตายตามเขาไปแล้วเป็นแน่

 

เมื่อลงจากกำแพงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “โจวอัน แบ่งคนเอาไว้เฝ้าประตู ห้ามมิให้ผู้ใดหนีออกไป”

 

พูดจบ กระโดดขึ้นหลังม้า พุ่งทะยานเข้าเมืองทันที

 

หลังโจวอันจัดการเรียบร้อยก็ได้ตามไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์ลับร่วมสามสิบนายอยู่เฝ้าประตูเมือง

 

พวกเขาตรงเข้าเมืองไปยังที่ว่าการ เสียงดังสนั่นทำให้ชาวบ้านตรงนั้นตกใจ ต่างชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความสงสัย เห็นคนกลุ่มหนึ่งควบม้าวิ่งเร็ว ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความน่ากลัว หัวที่ยื่นออกมาก็หดกลับไป รีบปิดประตูสั่งให้คนแก่และเด็กที่บ้านให้อยู่อย่างสงบ ประตูที่ว่าการยังคงปิดอยู่ ด้านในไม่มีเสียง ครานี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่เกรงใจ สั่งให้คนไปทำลายประตูหน้าที่ว่าการทันที จากนั้นก็บุกเข้าไปด้านใน

 

บ่าวรับใช้ที่เรือนหลังได้ยินเสียง จึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวดุร้าย ก็ตกใจกลัวเสียจนสีหน้าซีดเผือด ถอยหลังออกมา “พวก พวกเจ้าเป็น ผู้ ผู้ใด”

 

“จูจือหมิงเล่า ให้เขาไสหัวมาหาข้า!” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความคลั่งโกรธ ฝีเท้าไม่หยุดลง

 

บ่าวรับใช้ตกใจเสียงของเขา จึงได้ถอยหลังไปไม่หยุด “นาย นายท่าน…”

 

“ไสหัวไป อย่าขวางทางข้า!” เพียงได้ยินเสียงของเขา ฟันก็กระทบกันแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดกับเขาให้เสียเวลา เอ็ดเขา จากนั้นเดินตรงไปยังเรือนใน การตกแต่งภายในที่ว่าการไม่ต่างกันนัก พวกเขาเดินไปยังเรือนหลักด้วยความคุ้ยเคย

 

เมื่อเห็นพวกเขาเข้าไป บ่าวรับใช้ขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงบนพื้น ในใจหวังตะโกนร้องเสียงดัง แต่ลองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย

 

ภายในเรือนหลักสาวใช้และบ่าวรับใช้ที่รอรับใช้อยู่ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนนำคนบุกเข้ามาด้านใน จึงได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเรือนพลอยตกใจไปด้วย

 

อดข้าวมาสามวันแล้ว จูจือหมิงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขยับร่าง ฮูหยินจูพาลูกทั้งสามนั่งคุกเข่าขอร้องอยู่ที่พื้น ขอร้องไปได้นานทีเดียว เมื่อได้ยินเสียงด้านนอก ทั้งสองตกใจเป็นอย่างมาก จูจือหมิงรู้ดีว่าคนจากเมืองหลวงได้เดินทางมาถึงแล้ว แต่ฮูหยินจูกำลังไม่พอใจที่มีผู้บุกรุกเข้ามาในที่ว่าการได้

 

กำลังจะยืนขึ้น เพื่อไปดูว่าเกิดเรื่องอะไร แต่คุกเข่าอยู่หลายชั่วยาม ขาชาไปหมด ลุกขึ้นมาหลายครั้งก็ยังลุกไม่ขึ้น

 

ด้านนอกหนาวเหน็บ อากาศของเดือนห้านี้ แล้วเสียงที่ราวกับสามารถคร่าชีวิตของทุกผู้ดังขึ้น “จูจือหมิง ไสหัวเจ้าออกมา! ข้าเมิ่งชิง ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท มาตรวจสอบเหตุการณ์สะพานไม้ถล่ม”

 

ร่างของจูจือหมิงสะท้าน พูดกับฮูหยินจูด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เร็วเข้า พยุงข้าไปหาผู้แทนฝ่าบาท”

 

ฮูหยินจูยืนขึ้น ลูกทั้งสามยืนตาม เดินเข้ามาพร้อมกัน พยุงเขา

 

นอนเป็นเวลานาน เมื่อลุกขึ้น จึงได้หน้ามืด หัวหมุน จูจือหมิงไม่มีเวลาสนใจ ปิดตาลง ลืมตาขึ้น ลงจากเตียง ไม่ใส่แม้รองเท้า ให้คนเหล่านั้นพยุงตนออกไป คุกเข่าคำนับด้วยร่างโอนเอน “ข้าน้อยคารวะท่านผู้แทนพระองค์”

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาหน้าตอบลง ฝีเท้าไร้เรี่ยวแรง เสมือนว่าสามารถปลิวไปตามลมได้ ในใจสงสัยขึ้น เมิ่งชิงถามว่า “ท่านเจ้าเมืองจู ท่านป่วยหนักหรือ”

 

“ขอขอบพระคุณที่ไต้เท้าที่ถามไถ่ขอรับ ข้าน้อยมิเป็นไร” จูจือหมิงหายใจยาว จากนั้นจึงได้ตอบ

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าครอบครัวท่านอ๋องอยู่ที่ใด” เสียงแปลกหน้าที่เย็นชาดังขึ้น

 

จูจือหมิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กำลังจะตอบ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนได้ชัดเจน จึงตกใจจนทำให้หงายหลังนั่งลงกับพื้น “ซื่อ ซื่อจื่อ”

 

“ท่านจูรู้จักข้าด้วยหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอัดอั้น

 

“ไม่ ไม่ ไม่รู้จักขอรับ” จูจือหมิงตอบเป็นพัลวัน พูดจบ ก็คิดได้ว่าไม่ควร จึงได้รีบพยักหน้าว่า “รู้จัก รู้จักขอรับ”

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็พูดกันตรงๆ เถิด ท่านเจ้าเมือง เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้าอยู่ที่ใด บอกมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

 

จูจือหมิงตะเกียกตะกาย หวังจะคุกเข่าอีกครั้ง แต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำได้เพียงนั่งบนพื้น ตอบพร้อมหายใจหอบว่า “ข้าน้อยมิทราบขอรับ”

 

“หืมมมม?” ลากเสียงยาว เต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งความโหดร้าย ทำเอาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นใจสั่น จูจือหมิงกลัวเสียจนเหงื่อออกเต็มมือ

 

“ท่านจูช่างเป็นขุนนางชั้นดีเสียจริง จวนอ๋องฉีของข้าเกิดเรื่องเข้า แต่ท่านกลับแอบอยู่ในจวนไม่ส่งเสียง เห็นทีคงจะสมกับคำที่ว่า ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ไม่มีผู้ใดสามารถจัดการกับเจ้าได้งั้นรึ”

 

“ซื่อจื่ออภัยให้ข้าน้อยด้วย ซื่อจื่ออภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อย…” เม็ดเหงื่อบนหัวของจูจือหมิงหยดลง ก้มลงขอร้อง ยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไป เงยหน้าขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งชิงได้พาคนออกไปแล้ว

 

อ้าปากค้าง นั่งงุนงงอยู่ที่เดิม กระทั่งทุกคนเดินจากไปหมดแล้ว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ใดแล้ว ฮูหยินจูจึงได้ตะโกนขึ้นว่า “ท่านพี่!”

 

จูจือหมิงได้สติกลับมา สั่งทันทีว่า “เร็วเข้า รีบพาข้ากลับเข้าห้อง ข้ามีเรื่องจะไหว้วานพวกเจ้า”

 

พวกเขาพาเขากลับเข้าห้อง หลังจูจือหมิงสูดหายใจเข้าไปครู่หนึ่ง จึงได้หยิบตั๋วเงินออกมาจากชายเสื้อ มอบให้ฮูหยิน “ฮูหยิน เร็วเข้า เก็บข้าวของจำเป็น รับตั๋วเงินนี่ไป พาลูกๆ หนีออกจากเมือง ไปไกลเท่าใดยิ่งดี”

 

“ท่านพี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ ท่านรีบบอกข้า ให้พวกข้าได้ทำใจไว้ก่อนได้หรือไม่” ฮูหยินจูพูดด้วยความรีบร้อน

 

“ข้าได้ทำผิดมหันต์ อาจต้องถูกส่งตัวกลับเมืองหลวง ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจถูกร่างแหไปด้วย อาศัยตอนนี่ที่ซื่อจื่อและผู้แทนพระองค์ยังไม่มีเวลาสนใจพวกเรา เจ้าพาลูกๆ หนีไป ยิ่งไปไกลเท่าใดยิ่งดี” พูดประโยคยาวเช่นนี้ในคราวเดียว จูจือหมิงก็ไอขึ้นมาอย่างหนัก

 

ฮูหยินจูเข้ามา หวังจะช่วยทุบหลังให้เขา แต่ถูกจูจือหมิงผลักออกอย่างแรง เอ็ดว่า “ฮูหยินผู้โง่เขลาเอ๋ย นี่มันเวลาใดแล้ว ยังร่ำไรอยู่อีก ยังไม่รีบพาลูกๆ หนีไปอีกหรือ!”

 

อยู่กินกันมาหลายสิบปี จูจือหมิงมิเคยทำเช่นนี้กับนาง คราวนี้ฮูหยินจูเข้าใจถ่องแท้แล้ว ว่าจูจือหมิงอาจทำความผิดร้ายแรงลงไป จึงได้กัดฟัน พูดว่า “ให้ลูกๆ หนีไป ข้าจะอยู่ที่นี่กับท่าน”

 

“บ้านของแม่เจ้า และบ้านของข้าไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจโดนจับได้ เจ้าจะให้พวกเขาทั้งสามไปที่ใด เชื่อข้า รีบหนีไป หนีได้สักคนก็ยังดี หากยังไม่ไป อาจไม่ทันแล้ว” จูจือหมิงเร่งรัด

 

ฮูหยินจูกัดฟัน มองเขา แล้วลังเลเล็กน้อย

 

จูจือหมิงหยิบแก้วขึ้นมาจากโต๊ะ โยนลงบนพื้น สั่งเสียงดังว่า “รีบไปสิ!”

 

ฮูหยินจูตกใจจนแทบร้องออกมา ลูกทั้งสามตกใจเสียจนตัวสั่น

 

จูจือหมิงไอเสียงดังอีกครั้ง

 

ฮูหยินจูไม่ได้เข้ามาช่วย เช็ดน้ำตา สั่งลูกทั้งสามว่า “คารวะลาท่านพ่อของเจ้าซะ!”

 

ลูกทั้งสามคุกเข่าลง ก้มคารวะ

 

จูจือหมิงโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง

 

ฮูหยินจูหันหลังเดินออกไป ลูกทั้งสามลุกขึ้น เดินตามออกไปด้านนอก

 

มองแผ่นหลังของพวกเขา ตาของจูจือหมิงมีน้ำตาแห่งความเสียดายไหลรินออกมา ผิดหนึ่งก้าว ผิดตลอดไป ตนโลภมาก รักตัวกลัวตาย เห็นแก่ได้ จนเกือบทำร้ายครอบครัวตนเองแล้ว

 

เขาวางแผนได้ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อฮูหยินจูเก็บของเรียบร้อย นั่งรถม้าไปยังประตูเมืองนั้น ก็ถูกขวางเอาไว้ “ฮูหยินขอรับ ตัวแทนพระองค์มีคำสั่งว่ามิให้ผู้ใดเข้าออกเด็ดขาดขอรับ”

 

ฮูหยินจูจนปัญญา ทำได้เพียงกลับมายังที่ว่าการอีกครั้ง เมื่อเห็นคนทั้งสี่คนกลับมาอีกครั้ง จูจือหมิงจึงเป็นลมล้มไป