ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 1 เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

มหันต์ที่แสนร้อนระอุ แสงอาทิตย์สาดส่อง จนร้อนรุ่มไปทั่วทุกสารทิศ 

 

 

ในจวนอ๋อง 

 

 

“ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงอันไพเราะของเด็กสาวก็ดังขึ้นภายในเรือนนั้น เจียงจิ่นและเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังตรวจสอบบัญชีอยู่ด้วยกันนั้นยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ม่านประตูก็เปิดออก เด็กสาวฝาแฝดและหนุ่มน้อยสองคนก็เดินเข้ามาในห้อง 

 

 

เด็กสาวที่เดินนำหน้ามาก่อนเมื่อเห็นเจียงจิ่นก็เลยเรียกขึ้นมาว่า “ท่านอาสะใภ้” หลังจากนั้นพุ่งเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วก็งอแงถามขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ไม่ได้เจอกันตั้งครึ่งวัน ท่านคิดถึงข้าบ้างหรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหน้า “แม่อยากจะส่งเจ้าออกไปจะแย่ บ้านเงียบสงบเช่นนี้ จะคิดถึงเจ้าทำไมกัน” 

 

 

เด็กสาวทำแก้มป่องด้วยความไม่ปลื้ม ออกจากอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพุ่งไปหาเจียงจิ่น แล้วทำเป็นน่าสงสาร “ท่านอาสะใภ้ ท่านดูท่านแม่ของข้าสิ ไม่รักข้าเลย เหตุใดข้าถึงไม่ใช่ลูกสาวของท่านกันนะ” 

 

 

เจียงจิ่นก็หลุดขำออกมา แล้วลูบหลังปลอบใจนางเบาๆ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองบน เด็กคนนี้นี่ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร ตอนก่อเรื่องนี่แทบจะทำให้โมโหจนแทบบ้า แต่พอตอนออดอ้อนก็ทำให้ไปไม่ถูกเหมือนกัน  

 

 

เด็กสาวอีกคนหนึ่งก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่” 

 

 

เด็กชายที่อยู่ด้านหลังก็ยิ้มออกมาแล้วเรียน “ท่านป้า” 

 

 

ส่วนเด็กชายตัวน้อยก็เรียกออกมาว่า “ท่านแม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบรับ แล้วพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้อากาศร้อน ข้าทำน้ำบ๊วยให้พวกเจ้าดื่มด้วย พวกเจ้าไปล้างหน้าล้างตากันก่อนแล้วค่อยมาดื่มกัน” 

 

 

ทุกคนก็ตอบรับอย่างดีใจ  

 

 

หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยวิ่งออกไปก่อน หยิบผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ขึ้นมาเช็ดหน้าจนสะอาด  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วรอให้พวกเขาจัดการให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “เอาล่ะ เลิกแกล้งเสียใจได้แล้ว เจ้าก็รีบไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สะอาดเถิด” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ทำหน้าทำตาหยอกล้อใส่เมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากนั้นก็เดินไปด้วยความดีใจ  

 

 

เจียงจิ่นไปที่ห้องครัว แล้วหยิบน้ำบ๊วยจากถังน้ำแข็งขึ้นมายกไป แล้วส่งให้ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทีละคน 

 

 

ทั้งสี่คนรับมาแล้วดื่ม ความเย็นได้แผ่ซ่านเข้าไปข้างใน ทำให้ความร้อนในร่างกายหายไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พ่นลมออกมาด้วยความสดชื่น แล้วพูดประจบว่า “ท่านแม่ น้ำบ๊วยนี่อร่อยจัง พรุ่งนี้พวกเราเอาไปที่กั๋วจื่อเจี้ยนด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดขอแล้วหลายรอบ แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธทุกครั้ง น้ำบ๊วยนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ของล้ำค่า แต่ว่าก็มีแต่จวนอ๋องเท่านั้นที่มี ถ้าหากว่าให้พวกเขาเอาไปที่กั๋วจื่อเจี้ยน แล้วโดนพวกลูกหลานของชนชั้นสูงเห็นเข้า แล้วส่งคนถ่อกันมาขอถึงจวนอ๋องล่ะก็ หวงฝู่อี้เซวียนต้องไม่พอใจแน่ แต่ว่าหลายวันนี้ก็ร้อนมาก หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดจบ เด็กอีกสามคนก็มองเขาด้วยสายตารอคอย  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดกับทุกคนว่า “จะเอาไปก็ได้ แต่คนละแก้วเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้” 

 

 

เด็กทั้งสี่ก็ส่งเสียงดีใจ  

 

 

เสียงดังจนหลังคาแทบปลิว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้ว “เอาล่ะ ดื่มเสร็จแล้วก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องหนังสือก่อน แล้วไปหาปู่กับย่า กลับมาทำการบ้าน คืนนี้จะกินอะไรเดี๋ยวแม่จะไปทำให้พวกเจ้าที่ครัว” 

 

 

ทั้งสี่คนก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างตื่นเต้น พูดชื่ออาหารจานเย็นที่อยากกินคนละเมนู เมื่อดื่มน้ำบ๊วยหมดแล้วก็สะพายกระเป๋าไปที่ห้องหนังสือที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะ ในนั้นได้เตรียมน้ำแข็งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เย็นฉ่ำชื่นใจ ทั้งสี่คนวางกระเป๋าลง แล้วเดินไปที่เรือนของพระชายาฉี  

 

 

ทั้งสี่คนเดินไป ในห้องก็เงียบสงบลง เจียงจิ่นก็เก็บเล่มบัญชีบนโต๊ะไป หัวเราะไปแล้วพูดว่า “จวนอ๋องนี้ ถ้าหากว่าไม่มีเสียงของพวกเขาสี่คนล่ะก็ ข้าล่ะไม่ชินเสียจริงๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรายังดีหน่อย โดยเฉพาะเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ วันๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น เอาแต่ตั้งตารอพวกเขากลับมา” 

 

 

พูดจบ เงยหน้าถามด้วยความสงสัยว่า “ผ่านไปก็หลายปีแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่มีเพิ่มสักทีล่ะ” 

 

 

เจียงจิ่นหน้าแดง ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจา  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจได้ เลยชักจะสงสัย จึงยิ้มๆ แล้วถามว่า “หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากมีหรือ” 

 

 

เจียงจิ่นหน้าแดงระเรื่อ ปีแรกที่แต่งงานเข้ามา ไม่นานนางก็มีเฮ่าเอ๋อร์ หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันได้ลิ้มรสความข้าวใหม่ปลามันเลย ความอัดอั้นนั้นเลยทำให้หลังจากที่นางคลอดลูกแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ไปขอยาคุมกำเนิดจากหมอหลวงเจียงอย่างไม่อาย การที่ผู้หญิงจะมีลูกนั้นอันตรายนัก ยิ่งไปกว่านั้นเจียงจิ่นก็มีให้แล้วคนหนึ่ง จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร หมอหลวงเจียงเลยให้ยาคุมนั้นมากับหวงฝู่อวี้อย่างไม่ลังเล ดังนั้น หลายปีมานี้ พวกเขาเลยไม่มีลูกนั่นเอง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำร้อนมาก่อน มองแวบเดียวก็รู้ว่าเจียงจิ่นนั้นรู้สึกอย่างไร จึงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว พวกเจ้าควรมีอีกคนหนึ่งได้แล้ว” 

 

 

เจียงจิ่นก็พยักหน้าแดงๆ ของนาง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรมาก แล้วทั้งสองคนก็เดินที่ห้องครัว 

 

 

เด็กๆ ทำการบ้านเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้ก็กลับจวนมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำอาหารจานเย็นเสร็จแล้ว สำรับในห้องครัวก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเลยสั่งให้เด็กทั้งสี่คนยกสำรับออกไปที่ห้องอาหารคนละอย่าง  

 

 

ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีก็นั่งรออยู่ที่ห้องอาหารแล้ว สิบกว่าปีผ่านไป ทั้งสองคนดูไม่แก่ขึ้นเลย แต่กลับดูดีขึ้น โดยเฉพาะพระชายาฉี อาจเป็นเพราะว่ายาชั้นดีที่กินมาแต่ก่อน ตอนนี้ใบหน้าสีแดงชาด เต่งตึงงดงาม ดูเผินๆ เหมือนกับหญิงสาวอายุสามสิบอย่างใดอย่างนั้น มองไม่ออกเลยว่านางเป็นย่าของเด็กๆ ทั้งสี่คนนี้ 

 

 

หลังจากที่กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุขแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็กลับไปที่ห้องอันแสนเย็นสบาย ส่วนหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยอยู่ต่อ ท่านอ๋องฉีเก็บใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่ให้กับหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วพูดกับทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พักก่อนครึ่งชั่วยาม แล้วค่อยฝึกกระบวนท่าที่ข้าสอนเมื่อวานให้ข้าดู” 

 

 

“ขอรับ ท่านปู่” ทั้งสองคนตอบรับพร้อมๆ กัน  

 

 

หวงฝู่เฮ่ายังดี เพราะเขาคงได้ดูแลกิจการของจวนอ๋องต่อไป ดังนั้นความคาดหวังของท่านอ๋องฉีที่มีต่อตัวเขาก็ไม่เท่าไรนัก แต่หวงฝู่รุ่ยนั้นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทำอะไร ท่านอ๋องฉีล้วนคาดหวังสูงมาก ดูได้ตั้งแต่การเรียกชื่อ หวงฝู่เย่าเย่ว์สองคนนั้นจะเรียก ‘ปู่ ย่า แม่ พ่อ’ แต่พอเป็นเขา ต้องเรียกว่า ‘เสด็จปู่ เสด็จย่า มารดา บิดา’ เท่านั้น 

 

 

ตอนที่หวงฝู่รุ่ยเพิ่งรู้เรื่อง ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องเรียกคนในครอบครัวไม่เหมือนกับคนอื่น พอโตขึ้นมานิดหน่อย ก็รู้ว่าตนเองนั้นต้องเป็นผู้สืบทอดจวนอ๋อง จะต้องแบกรับภาระทั้งหมดของจวนอ๋องให้ได้ จึงไม่ได้บ่นอะไร และแน่นอน ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มี การที่อยู่ในจวนอ๋อง เด็กผู้หญิงย่อมได้รับความเอ็นดูมากกว่าเด็กผู้ชายอยู่แล้ว 

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ท่านอ๋องฉีก็ควบคุมพวกเด็กๆ ฝึกซ้อมวิทยายุทธ์ด้วยตนเอง 

 

 

ส่วนคนที่เหลือก็กลับไปที่เรือนของตน 

 

 

พอเข้าห้องมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อคลุมออก เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปรับ แล้วเอาไปแขวนไว้ที่ตู้เสื้อผ้าที่ตนทำเอง เห็นหน้าที่เหนื่อยล้าของเขา ก็เลยไปเทน้ำมาหนึ่งแก้ว วางไว้ที่ตรงหน้าเขา แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไรน่าหนักใจหรือไม่” 

 

 

นับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนลงจากบัลลังก์ แล้วหวงฝู่ซวิ่นขึ้นสืบทอด แล้วบริหารรัฐอู่ร่วมกับหวงฝู่อี้เซวียน ทำให้บ้านเมืองสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ข้าราชบริพารต่างก็อยู่อย่างสุขสบาย กลายเป็นภาพความสงบสุขของบ้านเมืองให้เห็น หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้มีสีหน้าหนักใจขนาดนี้มานานมากแล้ว 

 

 

ยกแก้วน้ำขึ้นมา ดื่มไปหลายอึก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มอย่างสบายกาย ยื่นมือออกมา ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขา แล้วลูบหัวของนางเล่นอย่างเคย พูดว่า “วันนี้ได้รับรายงานจากชายแดน บอกว่ารัฐอิงเพื่อนบ้านของเราชอบทำร้ายราษฎรที่แถบชายแดน มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่ฝ่ายนั้นคิดจะเข้ามารุกรานเราได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “จะเปิดศึกกันหรือ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ฮ่องเต้ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ดูเชิงไปก่อนค่อยว่ากัน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก แล้วไม่พูดต่อ  

 

 

เงียบสงัด  

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง มือของหวงฝู่อี้เซวียนก็ซุกซน ลูบลงไปในที่ๆ ไม่ควรลูบ เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยแววตาเหมือนโกรธ  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมา ลุกขึ้นอุ้มนางไปที่เตียง 

 

 

โจวอันและหวงฝู่อี้ที่ได้ยินความเคลื่อนไหวภายในห้อง ต่างก็ถอยห่างออกไปด้านนอก 

 

 

วันที่สอง เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาตื่นขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ไปเสียแล้ว มีแต่ชิงหลวนคอยเฝ้าประตูที่ตอนนี้กลายเป็นแม่ลูกสองถือกะละมังเดินเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้สายแล้ว นายหญิงเจ้าคะ วันนี้ท่านไม่มีอะไรต้องทำหรือเจ้าคะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นนั่งใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ลงจากเตียงแล้วถามว่า “ลูกๆ ล่ะ ไปกันหมดแล้วหรือ” 

 

 

ชิงหลวนกำลังเก็บเตียงให้เรียบร้อย ดึงผ้าปูที่นอนออก หลังจากนั้นก็เปิด**บแล้วหยิบผ้าปูที่นอนที่สะอาดมาเปลี่ยนให้ใหม่ พับผ้าห่มบางๆ ให้เรียบร้อย แล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “ตอนเช้ามาหาทีหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ แต่โดนซื่อจื่อห้ามไม่ให้เข้ามา หลังจากนั้นก็ไปกับซื่อจื่อเจ้าค่ะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่อ้างล้างหน้าแล้วล้างหน้าจนสะอาด  

 

 

ชิงหลวนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ซื่อจื่อตื่นขึ้นมาก็ต้มข้าวต้มเอาไว้ กำลังอุ่นร้อนอยู่ที่เตา ข้าจะไปยกมาให้ท่านนะเจ้าคะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  

 

 

ชิงหลวนเดินออกไป ไม่นานก็ยกข้าวต้มกับสำรับเดินเข้ามา วางไว้ที่โต๊ะ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไป แล้วตักขึ้นมาหนึ่งชาม วางไว้ตรงหน้าแล้วถามว่า “เจ้ากินมาหรือยัง มากินด้วยหรือไม่” 

 

 

ชิงหลวนรีบโบกมือ “ข้าไม่กล้ากินหรอกเจ้าค่ะ ถ้าหากซื่อจื่อรู้เข้าล่ะก็ ข้าได้โดนไล่ออกจากจวนแน่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง มองจ้องไปที่นาง จากนั้นก็กินข้าว กินได้ไม่กี่คำก็ถามว่า “ตอนนี้จูหลีเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

จูหลีตั้งครรภ์อีกแล้ว ครั้งนี้ก็ครั้งที่สามแล้ว หรือว่าอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว ตอนที่ตั้งครรภ์ในช่วงแรกมีอาการตกเลือด เมิ่งเชี่ยนโยวเลยให้นางหยุดไปเพื่อพักรักษาให้ดี  

 

 

“ยังพักอยู่ที่เตียงอยู่เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  

 

 

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เจียงจิ่นก็มา ทั้งสองคนไปที่ครัว ทำน้ำบ๊วยและขนมว่างต่างๆ เทใส่แก้วเอาไว้ ส่วนขนมว่างก็เก็บไว้ในกล่องอาหาร จากนั้นก็ให้หวงฝู่อี้เอาไปส่งที่กั๋วจื่อเจี้ยน 

 

 

หลังจากที่หวงฝู่ซวิ่นขึ้นรับตำแหน่ง ภายใต้คำแนะนำของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว กั๋วจื่อเจี้ยนก็ขยับขยายขึ้นเป็นอย่างมาก ลูกหลานขุนนางน้อยใหญ่ต่างได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม 

 

 

 

 

 

ที่กั๋วจื่อเจี้ยน  

 

 

อากาศร้อนระอุ นักเรียนทั้งหลายต่างไร้ซึ่งชีวิตชีวา ทำท่าจะหลับตลอดเวลา เมื่ออาจารย์เห็นเช่นนั้น ก็โกรธจนตาเขม็ง เพราะเหมือนโดนตบหน้า แต่ก็เป็นลูกเจ้าขุนมูลนายทั้งนั้น ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าที่จะทำ อีกอย่าง ปีนี้อากาศร้อนกว่าปีไหนๆ พวกเขาไม่ไหวแล้วจริงๆ 

 

 

จะหลับๆ จนเรียนได้สองคาบ เมื่อถึงเวลาพัก พอเลิกเรียนปุ๊บ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลุกจากที่นั่งทันที เดินไปหาหวงฝู่สือเมิ่ง ลากมือของเขาออกมา แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ไปกันเถอะ ไปที่หน้าประตู ท่านแม่น่าจะส่งน้ำบ๊วยมาให้แล้ว” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งก็ลุกขึ้น ทั้งสองคนเดินออกไปที่หน้าประตูของอีกห้องหนึ่ง เรียกหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยให้ไปด้วยกัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำขนมว่างได้หลากหลาย เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วเมืองหลวง ดังนั้น พอถึงเวลานี้ นักเรียนคนอื่นต่างก็จะอยู่ห่างกับสี่คนนี้ เพื่อไม่ให้กลิ่นหอมนั้นมันมาเย้ายวนหัวใจ แล้วไปแย่งของนั่นมา  

 

 

ทั้งสี่คนเดินมาถึงประตู หวงฝู่อี้ได้ถือกล่องอาหารยืนรอไว้แล้ว ทั้งสี่คนเดินเข้าไปด้วยความดีใจ เรียกผ่านประตู “ท่านอาอี้” 

 

 

หวงฝู่อี้ก็ตอบรับด้วยความดีใจ แล้วเอากล่องอาหารในมือส่งมอบให้กับเขา “ในนี้มีน้ำบ๊วยกับขนมว่าง พวกเจ้าหาที่ร่มๆ นั่งกินเสีย แล้วเอากล่องมาให้ข้าเอากลับจวน ข้าจะรอพวกเจ้าที่หน้าประตู” 

 

 

ทั้งหมดก็ตอบรับ 

 

 

หวงฝู่เฮ่ารับกล่องมา แล้วเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ เอาขนมว่างออกมาก่อน ค่อยเอาน้ำบ๊วยออกมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ทำกล่องเล็กๆ ขึ้นมาเป็นพิเศษ วางอยู่ในข้างใต้ล่างของกล่องอาหาร ในนั้นใส่น้ำแข็งเอาไว้ และก็มีน้ำบ๊วยห้าแก้ววางอยู่ด้านในนั้น 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบออกมาหนึ่งแก้ว ใส่หลอดไม้ไผ่ทำเองลงไป แล้วดูดขึ้นมา ความเย็นของน้ำแข็งนั้นก็แทรกเข้าไปในร่างกายของนาง จนอดไม่ได้พูดออกมาว่า “สดชื่นที่สุด” 

 

 

อีกสามคนก็มีท่าทางชอบใจเป็นอย่างมาก  

 

 

ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ที่มารับกล่องอาหารที่หน้าประตู เห็นพวกเขาท่าทางมีความสุข แล้วยังเห็นกล่องอาหารในมือของพวกเขา ต่างก็กลืนน้ำลาย แล้วก็เหมือนเดิม อยู่ให้ห่างจากพวกเขาเสีย ตามองไม่เห็น ก็ย่อมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น  

 

 

ฉู่เหยาเดินมาแต่ไกล เหงื่อไหลไคลย้อย เสื้อก็เปียกไปหมด หวงฝู่เย่าเย่ว์เลยโบกมือเรียกเขา “ท่านอาน้อย ทางนี้” 

 

 

ฉู่เหยาเห็นพวกเขา เลยเดินมานั่งกับพวกเขาด้วย  

 

 

“นี่เป็นน้ำบ๊วยที่ท่านแม่ทำมาใหม่ ดับร้อนแก้กระหาย ลองดูสิ” หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบกล่องอาหารขึ้นมาแล้วเอาแก้วที่เหลืออีกหนึ่งใบนั้นยื่นให้กับเขา  

 

 

ฉู่เหยารับมา ดื่มไปหนึ่งอึก ก็สดชื่นขึ้นทันที เลยพูดชมออกมาเสียงดังว่า “อร่อยมาก” 

 

 

คนที่อยู่รอบๆ ก็มองมาอีกรอบ  

 

 

ทั้งหมดก็ไม่ได้สนใจ ดื่มน้ำบ๊วยไปหัวเราะกันสนุกสนาน  

 

 

คุณหนูจวนอู่โหวที่อยู่ข้างๆ ก็ทนไม่ไหว เลยหลุดพูดออกมาว่า “ที่สาธารณะเช่นนี้ กินกันเงียบๆ ไม่เป็นหรือไง ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!”