เสียงของคุณหนูจวนอู่โหวพูดลอยๆ แต่คนทางนี้กลับบังเอิญได้ยิน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่กำลังดื่มน้ำบ๊วยอยู่ก็หยุดมองซ้ายมองขวา นอกจากพวกเราแล้ว รอบข้างก็ไม่มีใครแล้ว สีหน้าจึงขรึมลง แล้วถามเสียงแข็งว่า “เจ้ากำลังว่าพวกเรางั้นรึ”
คุณหนูจวนอู่โหวก็ “หึ” ออกมา แล้วพูดว่า “ใครจะรับก็รับไปสิ”
“นี่เจ้า… …” หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลุกขึ้น
หวงฝู่รุ่ยยื่นมือออกไปห้ามนาง “พี่รอง ท่านแม่เคยบอกไว้ว่า ไม่ให้พวกเราก่อเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยน”
เมื่อคิดถึงตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวลงโทษตนเองอย่างไม่ปรานีนั้น คอของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หดลง หลังจากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ ข้าไม่อยากมีเรื่อง ”
“พี่รอง ท่านก็คิดเสียว่ามีหมาบ้ามาเห่าใส่เท่านั้น อย่าไปสนใจเลย” หวงฝู่รุ่ยพูดลอยๆ คนรอบข้างดันบังเอิญได้ยิน
ผู้คนก็หัวเราะออกมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลูบหัวของหวงฝู่รุ่ยเบาๆ แล้วหัวเราะพูดว่า “น้องเล็กพูดถูก พวกเราไม่ควรลดตัวลงไปหาพวกหมาบ้า”
คุณหนูแห่งจวนอู่โหวโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ถามว่า “พวกเจ้าว่าใครเป็นหมาบ้า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เอาคำพูดของนางพูดแซะกลับไป “แน่นอนว่าใครอยากรับก็รับไปสิ”
“เจ้า… …” ครั้งนี้ก็เป็นตาของคุณหนูจวนอู่โหวบ้างที่โดนเอาคืน เลยโกรธจนหัวร้อนเป็นไฟ จึงหยิบแซ่ที่อยู่ที่เอว ฟาดไปที่พวกเขา “พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สมควรตาย”
พูดจบ แซ่นั้นก็ฟาดลงมา มีเสียงลมฟึบฟับไปมา ไร้ซึ่งความปรานี
ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่ากระโดดเข้าไป จับแซ่นั้นเอาไว้ได้
คุณหนูจวนอู่โหวที่กำลังออกแรงฟาดไปมา แต่ฟาดไม่ได้ เลยด่าว่า “พวกเจ้าสองคนแกล้งเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างข้า ไม่เห็นจะแน่จริง ถ้าแน่จริงพวกเรามาสู้กันตัวต่อตัวจะดีกว่า”
ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่ามองหน้ากัน แล้วปล่อยมือออก คุณหนูจวนอู่โหวไม่ทันได้ป้องกัน ตึกตึกตึก ถอยลงไปหลายก้าว แทบจะล้มลง แล้วนางก็โกรธเกรี้ยว ฟาดแซ่ดัง ฟุบฟุบ เตรียมพร้อมโต้กลับ
แซ่ของนางกำลังจะฟาดลงมาอีกครั้ง แต่ไม่ทันไร ก็มีอะไรไม่รู้สาดมาจากด้านหน้า
ขณะที่ทุกคนอึ้งอยู่นั้น น้ำแข็งทั้งหมดที่มีตกลงบนตัวของคุณหนูจวนอู่โหว
เสื้อผ้าฤดูร้อนนั้นบางนัก น้ำแข็งทั้งหมดตกลงบนตัวของนาง ทั้งหนาวทั้งเย็น คุณหนูจวนอู่โหวทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาว่า อ้าก… …
เสียงนั้นดังเสียจนได้ยินกันทั้งกั๋วจื่อเจี้ยน
ทุกคนมองนางด้วยความสงสาร
หวงฝู่รุ่ยวางกล่องใส่น้ำแข็งในมือลงอย่างช้าๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตบบ่าเขาอย่างชื่นชม “น้องเล็ก สุดยอดมาก”
หวงฝู่สือเมิ่งได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า แล้วพูดติติงว่า “น้องเล็ก อากาศร้อนอย่างนี้ น้ำแข็งเหล่านี้เป็นของแพง แล้วเหตุใดถึงต้องสิ้นเปลืองไปกับหมาบ้าด้วยเล่า”
หวงฝู่รุ่ยก็ตีหัวตัวเอง แล้วตอบรับว่า “ข้ารู้แล้วขอรับพี่ใหญ่ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกขอรับ”
ฉู่เหยากับหวงฝู่เฮ่ากลับไปนั่งที่เดิม ไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของคุณหนูจวนอู่โหวทั้งนั้น แล้วดื่มน้ำบ๊วยของตนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่บ้านผู้ติดตามก็รีบเข้ามาปัดน้ำแข็งบนตัวของนางออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “คุณหนูเจ้าขา เป็นอะไรหรือไม่เจ้าค่ะ”
“ออกไป!”คุณหนูจวนอู่โหวผลักแม่บ้านทั้งสองออก นางที่โดนน้ำแข็งสาดใส่ก็ยืนหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางสายตาทุกคน แล้วด่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พวกไม่ได้เรื่อง ยังไม่ไปเรียกพวกพี่ใหญ่ของข้ามาอีก”
แม่บ้านคนหนึ่งตอบรับ แล้วรีบวิ่งออกไปอีกด้านหนึ่งทันที
ส่วนแม่บ้านอีกคนหนึ่งก็ยืนบังอยู่ด้านหน้าของคุณหนูจวนอู่โหว มองพวกหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความโกรธ
หวงฝู่เย่าเย่ว์และพวกทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของนาง แล้วดื่มน้ำบ๊วย กินขนมว่างของตนต่อไป
ไม่นาน ก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบห้าสิบหกวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพอันดูไม่ได้ของคุณหนูจวนอู่โหวแล้ว หนึ่งในนั้นพูดถามว่า “อวี้เอ๋อร์ ใครแกล้งเจ้า ข้าจะจัดการมันให้”
คนที่เหลือก็ตามด้วย
หลิวอวี้เอ๋อร์ คุณหนูแห่งจวนอู่โหว ก็โกรธชี้ไปที่พวกเขา แล้วฟ้องว่า “พี่ใหญ่ พวกเขาอยู่นั่น ไม่เพียงแต่หยามว่าข้าเป็นหมาบ้า แล้วยังสาดน้ำแข็ใส่ข้าอีก” ประโยคสุดท้ายนั้นกัดฟันพูดออกมา เพราะเป็นดั่งที่หวงฝู่สือเมิ่งพูดไว้ น้ำแข็งนั้นหายากมีน้อย ในแต่ละปีฮ่องเต้จะประทานให้แต่ละจวนแค่หนึ่งร้อยชั่งเท่านั้น มันจะไปพอใช้ที่ไหนกัน จะมีแต่พวกเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่มีใช้ ส่วนพวกคุณหนู คุณชายธรรมดาอย่างพวกเขา ก็ได้แต่ให้บ่าวรับใช้คอยพัดให้ ฤดูร้อนทีหนึ่งกว่าจะผ่านไปนั้นแสนทรมาน แต่ว่าจวนท่านอ๋องฉีกลับมีน้ำแข็งที่ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด แล้วยังได้ยินว่าขนาดพวกบ้านของซื่อจื่อเฟยที่นอกเมืองก็ยังมีใช้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังเอาน้ำแข็งมาใช้เป็นเครื่องดื่ม แล้วจะไม่ให้นางอิจฉาได้อย่างไร จะไม่ให้นางเจ็บแค้นเคืองโกรธได้อย่างไร
หลิวเทามองไปที่น้ำแข็งที่พื้น แล้วมองไปที่เสื้อที่เปียกปอนของน้องสาวตน สีหน้าไม่พอใจนัก เลยก้าวเท้าออกมา พูดด้วยความโกรธว่า “อย่าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนของจวนอ๋องกับจวนท่านแม่ทัพแล้วจะทำร้ายใครตามอำเภอใจนะ พวกเราจวนอู่โหวก็ไม่ได้ยอมใครง่ายๆ เหมือนกัน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์นิ่ง แล้วหันไปถามหวงฝู่สือเมิ่งว่า “ท่านพี่ มีหมามาเห่าอีกตัวแล้ว พี่ว่าทำอย่างไรดีล่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งยังไม่ทันได้ตอบ หลิวเทาโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี เส้นเลือดที่คอขึ้นเป็นเอ็น แล้วกล่าวชื่อนามสกุลของอีกฝ่ายออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ “หวงฝู่เย่าเย่ว์ เจ้าอย่าเอาหมามาเปรียบเทียบ ข้าไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า เห็นว่าเจ้านั้นเป็นหญิง แล้วอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน”
พูดจบ ก็มีเงาคนพุ่งเข้าไป เขายังมองไม่ชัดว่าเป็นใคร ก็มีเท้าเตะลงไปที่แก้มซ้ายของเขา รุนแรงยิ่งนัก เตะเขาจนหมุนไปไม่รู้กี่รอบ แล้วถึงจะค่อยๆ เซล้มลงกับพื้น
เสียงไม่พอใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดังขึ้น “น้องเฮ่า เจ้าชิงลงมือเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าเรื่องแบบนี้ข้าจัดการเอง”
หลิวเทาล้มลงกับพื้น มึนไปชั่วขณะ
คนที่เหลือตกใจวิ่งเข้าไป รีบพยุงเขาขึ้นมา แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“วางใจเถิด” หวงฝู่เฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไม่ตายหรอก”
เมื่อเห็นว่าหลิวเทาโดนเตะจนลุกไม่ไหว หลิวอวี้เอ๋อร์ทั้งโกรธทั้งร้อนรน เลยเริ่มฟาดแซ่ที่อยู่ในมือพร้อมพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าจะจัดการพวกเจ้าเอง”
แล้วฉู่เหยาที่นั่งนิ่งมาตั้งนาน ก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดันจนทำให้อวี้เอ๋อร์ตัวสั่นขึ้นมาทันใด “ข้าว่าเจ้าคิดให้ดีเสียก่อนลงมือจะดีกว่า” แล้วพูดเสริมอีกว่า “แม่ข้าบอกเอาไว้ว่าไม่ให้ข้าก่อเรื่อง แต่ถ้าหากว่ามีคนมาทำร้ายหลานสาวข้าก็จัดการมันให้ตายไปได้เลย หรือว่าเจ้าจะลอง”
หลิวอวี้เอ๋อร์ชะงักไป
ฉู่เหยาเป็นลูกของท่านแม่ทัพ ได้ฝึกวิทยายุทธ์กับฉู่เหวินเจี๋ยมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่เข้ากั๋วจื่อเจี้ยน ก็ยังคงฝึกขี่ม้ายิงธนูอยู่ตลอด ถ้าพูดถึงฝีมือ ต้องดีกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลิวอวี้เอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง ถ้าหากว่าจะต้องลงมือจริง ฉู่เหยายังออกไม่ทันได้สามกระบวนท่านางก็แพ้แล้ว
และหลิวเทาก็ได้สติ แล้วได้ยินที่ฉู่เหยาพูด จึงดันคนที่เข้ามาพยุงตนเองออก ใบหน้าที่แดงไปซีกหนึ่งพูดด่าออกมาว่า “ฉู่เหยา ถ้าใครแพ้ ต้องมาเห่าเหมือนหมาต่อหน้าทุกคน”
ฉู่เหยาเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขา แล้วถามอย่างเฉยชาว่า “เจ้าทำเป็นงั้นรึ”
หลิวเทานิ่งชะงักไป
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับแทบจะพุ่งน้ำบ๊วยที่ตนเองดื่มออกมา พอกลืนลงไปได้ จึงยกนิ้วให้กับฉู่เหยาและบอกว่า “ท่านอาน้อย เท่ที่สุดเลย”
ทุกคนก็หัวเราะเสียงดังออกมา
หลิวเทาถึงได้รู้สึกตัว ฉู่เหยากำลังถามตนว่าเห่าเป็นหรือไม่ หรือกำลังพูดเสียดสีเขาว่าเขาจะแพ้นั่นเอง จึงเกรี้ยวโกรธ ยื่นมือออกไปหยิบแซ่ของหลิวอวี้เอ๋อร์มา แล้วออกแรงฟาดแซ่ลงไปที่พวกเขา
และทุกคนก็หลบออกอย่างรวดเร็ว หวงฝู่รุ่ยก็ยังไม่ลืมถือกล่องอาหารเอาไว้แน่น
แซ่ฟาดลงวืด ทำให้หลิวเทาโกรธยิ่งกว่าเดิม มือที่ถือแซ่อยู่ก็ฟาดลงไปอย่างรวดเร็ว ฟาดไม่ยั้ง
ทุกคนหลบแซ่ได้ ฉู่เหยาเริ่มโกรธ จึงอาศัยจังหวะที่เขากำลังฟาดแซ่อยู่นั้นพุ่งตัวเข้าไปที่ตรงหน้าเขา แล้วโจมตีเขาด้วยมือเปล่า
ระยะที่ใกล้เกินไป ทำให้แซ่ไร้ประโยชน์ หลิวเทาจึงตัดสินใจทิ้งแซ่ในมือ แล้วสู้กับฉู่เหยา
เมื่อมีคนสู้กับฉู่เหยา หลิวอวี้เอ๋อร์จึงมีความกล้าขึ้นมาทันที จึงเก็บแซ่ที่อยู่ทีพื้นขึ้นมา แล้วฟาดลงไปที่คนที่เหลือ
หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงออกหน้ารับ หวงฝู่เฮ่าตามอยู่ด้านหลัง
พวกที่เหลือเมื่อเห็นดังนั้น ก็เข้ามาร่วมด้วย
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่รุ่ยก็เข้าไปด้วยเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายได้เปิดศึกกันแล้ว
หวงฝู่อี้ที่ยืนอยู่ด้านนอกกั๋วจื่อเจี้ยนเห็นสถาณการณ์ ก็รีบร้อนจนเหงื่อออกเต็มไปหมด ตะโกนออกไปพูดกับทุกคนว่า “เลิกตีกันได้แล้ว เดี๋ยวกลับไปก็โดนลงโทษอีกหรอก”
ทุกคนกำลังตีกันอย่างเมามัน จะไปฟังเข้าหูได้อย่างไร จิตใจกำลังจดจ่อไปที่คู่ต่อสู้ตรงหน้า
แล้วทุกคนก็มายืนรุมดูกันเต็มไปหมด
แล้วก็มีคนรีบวิ่งไปฟ้องท่านอาจารย์
ผ่านไปสิบกระบวนท่า ทุกคนก็ได้เห็นคนลอยขึ้นสูงท่ามกลางสมรภูมิที่ดุเดือด หลังจากนั้นก็ตกลงที่พื้น ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด จนคนที่ยืนดูอยู่ไอกันไม่หยุด
แล้วก็มีเสียงร้องออกมา หลิวอวี้เอ๋อร์และพวกก็รู้ทันทีว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของใคร เลยตกใจ สติหลุด เลยล้มฟุบลงไปตามๆ กัน
หลิวอวี้เอ๋อร์และพวกกองกับพื้นด้วยสภาพยับเยิน
ฉู่เหยาเข้าไป ไม่สนใจเสียงร้องของหลิวเทา แล้วจับหัวของเขาเงยขึ้นมา ให้เขามองตนได้ชัดๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เร็วเข้าสิ!”
หลิวเทาที่ล้มเจ็บระบมไปทั้งตัว ไร้ซึ่งสติ แต่กลับเข้าใจในคำพูดของเขา ใบหน้าสีม่วงนั้น ได้แต่กัดฟันไว้แน่น
ฉู่เหยาง้างมือออกมาข้างหนึ่ง แล้วพูดกับเขาว่า “เลือกเอาว่าเจ้าจะเห่าเหมือนหมาหรือว่าจะให้ข้าต่อยเจ้าจนฟันร่วงหมดปาก”
เมื่อได้ยินฉู่เหยาพูดดังนั้น ใบหน้าของหลิวเทาซีดขึ้นมาทันที เห็นกำปั้นที่อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ก็กลืนน้ำลายลงไปหลายอึก
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ยอม นอนกองไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้นเพ้อเจ้อออกมาว่า “ฉู่เหยา เจ้าอย่าให้มันมากไปหน่อยเลย ถ้าหากว่าเจ้ากล้าต่อยฟันพี่ข้าหัก… …” แล้วก็มีอะไรไม่รู้เหม็นๆ ยัดเข้าที่ปากของนาง ทำให้นางพูดต่อไม่ได้
เงยหน้าขึ้นมอง เห็นหวงฝู่รุ่ยกำลังปัดมือของตน แล้วพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “พี่ใหญ่ ผ้าเช็ดหน้าของท่านนี่ไม่ได้ซักมานานเท่าไรแล้วล่ะ เหม็นจะตายอยู่แล้ว”
ได้ยินดังนั้น หลิวอวี้เอ๋อร์ก็โกรธจนเป็นลมไป
หวงฝู่รุ่ยมองไปที่นางอย่างสมเพช แล้วเหลือบไปมองคนอื่นๆ ที่นอนกองอยู่ที่พื้น
ทุกคนต่างก็ตกใจจนหัวหด ไม่กล้าพูดอะไรอีก
หลิวเทาเห็นดังนั้น ก็นึกผวา ใบหน้าจึงแสดงออกถึงความกลัว เลยเห่าออกมาอย่างไม่ลังเล
ทุกคนที่มุงดูอยู่ก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ฉู่เหยาปล่อยเขา แล้วกลับมาหาพวกของตน มองไปที่พวกเขาแล้วถามว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขำแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นอะไร เรื่องเล็กน้อย”
หวงฝู่สือเมิ่งก็เก็บกล่องอาหารอย่างดี แล้วส่งไปให้หวงฝู่อี้ แล้วขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “อาอี้เจ้าคะ ท่านไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่อี้ไม่ได้ตอบนาง แต่กลับถามด้วยความเป็นห่วงว่า “บาดเจ็บหรือไม่”
เมื่อรู้ว่าเขาตอบรับ หวงฝู่สือเมิ่งก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้านี่นะ……” หวงฝู่อี้ทั้งยิ้มทั้งโมโห “กลับไปเตรียมโดนลงโทษได้เลย”
สีหน้าดีใจของหวงฝู่สือเมิ่งก็ชะงักลง แล้วเบะปากกล่าวโทษหวงฝู่อี้ “อาอี้เจ้าคะ ท่านไม่รักษาคำพูดเลย”
“เรื่องที่พวกเจ้าก่อวันนี้มันใหญ่เกินไป ถึงแม้ว่าอาอี้กลับไปแล้วไม่บอก ช้าเร็วซื่อจื่อเฟยก็รู้อยู่ดี พวกเจ้าเตรียมตัวโดนลงโทษไว้เถิด”
หวงฝู่สือเมิ่งก้มหน้า
หวงฝู่อี้สงสาร จึงเสนอบางอย่างกับนางว่า “ตอนที่ซื่อจื่อเฟยถาม เจ้าก็บอกว่านายน้อยเหยาเป็นคนลงมือก่อนสิ พวกเจ้ากลัวว่าเขาจะเสียท่า ก็เลยเข้าไปช่วย”
หวงฝู่สือเมิ่งตาเป็นประกาย แต่แล้วมันก็หายไป “ท่านแม่ก็รู้วิทยายุทธ์ของท่านอาน้อย ว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเราช่วยเลยสักนิดเจ้าคะ”
หวงฝู่อี้จนปัญญา พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็เตรียมรับมือไว้ให้ดีเถอะ ข้ากลับก่อนล่ะ”
“อืม” หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า “ลาก่อนเจ้าค่ะอาอี้ เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ แล้วบอกกับท่านแม่ว่า เดี๋ยวพวกเราเลิกเรียนเสร็จแล้วก็จะกลับบ้านทันที”
หวงฝู่อี้ตอบรับ เอากล่องอาหารวางบนรถม้า แล้วขับรถม้ากลับจวนอ๋องไป
เด็กนักเรียนมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ฝ่ายปกครองของโรงเรียนก็ปล่อยผ่านบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้มีเรื่องกันใหญ่โตเหลือเกิน ไม่ออกหน้ารับไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นพวกของหวงฝู่เฮ่าเป็นคนก่อเรื่อง ก็รู้สึกปวดกระบาลกว่าปกติเป็นหลายเท่า
เด็กของจวนอ๋องฉีเหล่านี้ ล้วนฉลาดและมีมารยาทกันทุกคน เป็นนักเรียนที่ดีเด่นที่สุดตั้งแต่เขาเป็นฝ่ายปกครองของกั๋วจื่อเจี้ยนมาหลายปี แต่มีอย่างนึง ก็คือเด็กเหล่านี้จะไม่ยอมโดนเอาเปรียบ นิดเดียวก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าหากว่าไม่จัดการคู่ต่อสู้จนต้องร้องขอชีวิต ก็จะไม่เลิกรา
จึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด มองไปยังคนที่ถูกตี เมื่อเห็นชัดแล้วว่าเป็นใคร ก็อยากจะไปผูกคอตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ครั้งนี้จวนอ๋องฉีกับจวนอู่โหวมีเรื่องกัน เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ