ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 3 รับโทษแทน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ปรึกษากันอยู่พักใหญ่ ทั้งสี่คนก็ยังหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นไม่ได้เลย  

 

 

ฉู่เหยาเห็นท่าทางของแต่ละคนแล้วก็เข้าใจได้ว่าพวกเขานั้นกลัวอะไรอยู่ จึงทุบลงไปที่อกตัวเอง แล้วพูดออกมาว่า “เดี๋ยวข้าจะส่งพวกเจ้ากลับบ้านเอง พี่สะใภ้ใหญ่รักข้าจะตาย มีข้าอยู่ทั้งคนอย่างไรเสียก็ไม่ลงโทษพวกเจ้าหรอก  

 

 

ทั้งสี่คนตาเป็นประกาย ไม่กังวลอีกต่อไป แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้าของจวนอ๋องที่รออยู่ด้านนอก กลับไปอย่างสบายใจ 

 

 

พอมาถึงหน้าประตูจวนก็ลงจากรถม้า ทุกคนก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านใน เมื่อถึงปากประตู หวงฝู่รุ่ยก็หยุด แล้วหันไปทำท่าบอกทุกคนว่าช้าก่อน ส่วนตนนั้นไปหลบอยู่ข้างประตู แล้วแอบมองเข้าไปที่ด้านใน  

 

 

ไม่มีคน  

 

 

หวงฝู่รุ่ยลูบไปที่อกของตนเอง ยืดตัวตรง นำหน้าเดินเข้าไปในจวน ส่วนสี่คนที่เหลือก็เดินตามเข้ามา 

 

 

ฉู่เหยาอยู่ท้ายสุด  

 

 

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวเท่าใด ใจของทั้งสี่คนก็เต้นแรงเท่านั้น โดยเฉพาะหวงฝู่รุ่ย รู้สึกว่าบรรยากาศของจวนวันนี้ผิดแปลกไป ขนาดบ่าวรับใช้ที่เดินผ่านพวกเขายังต้องย่องเบา ไม่กล้าเดินเท้าเสียงดัง สถานการณ์แบบนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์รวมไปถึงหวงฝู่เฮ่ารู้ดี ต่างมองหน้ากัน แล้ววิ่งไปหลบหลังของฉู่เหยา  

 

 

ฉู่เหยาไม่เข้าใจ มองไปที่พวกเขาด้วยความสงสัย  

 

 

ทุกคนไม่ได้อธิบาย บอกกับเขาแค่ว่าให้เดินอยู่ด้านหน้า  

 

 

ฉู่เหยาเดินนำหน้าไปที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่ลังเล 

 

 

ทั้งสี่คนเดินย่อง ตามอยู่ด้านหลังอย่างลับๆ ล่อๆ 

 

 

เมื่อเข้าเรือนไป ฉู่เหยาก็หยุด ทั้งสี่คนเลยร้องออกมาพร้อมๆ กัน “ตายแล้ว” จึงเงยหน้าขึ้น แล้วเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนยิ้มให้กับพวกเขาอยู่ตรงหน้าประตู ส่วนเจียงจิ่นยืนอยู่อีกทางด้วยสีหน้าเป็นกังวล 

 

 

ฉู่เหยาก้าวเข้ามา แล้วเรียกอย่างอ่อนน้อมว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบรับ แล้วถามว่า “เหยาเอ๋อร์ ทำไมวันนี้ถึงได้มีเวลามาจวนอ๋องได้ล่ะ” 

 

 

“อ่อ เป็นเพราะ… …” เขาพูดถึงตรงนี้ หวงฝู่รุ่ยที่อยู่ด้านหลังก็ดึงเสื้อเขา พยายามเตือนเขาว่าอย่าพูด 

 

 

ฉู่เหยาเลยไม่พูด แล้วโยกหัวไปมา  

 

 

“เป็นเพราะอะไรงั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปล่อยผ่าน ยิ้มแล้วถาม  

 

 

“เอ่อ เพราะว่า… …” ฉู่เหยาพูดตะกุกตะกัก  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพราะพวกเจ้ามีเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยนงั้นสิ เจ้ามาเพื่อขอร้องแทนพวกเขาสินะ” 

 

 

ฉู่เหยารีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ใช่ขอรับๆ” พูดจบก็รู้สึกว่าพูดผิด เลยรีบพูดต่อทันทีว่า “ใช่ขอรับๆ ใช่” 

 

 

“ใช่หรือไม่ใช่กันแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วถาม  

 

 

ฉู่เหยาเห็นว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว เลยพูดออกมาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ วันนี้ที่มีเรื่อง ข้าเป็นคนลงมือก่อน พวกเขาก็แค่กลัวว่าข้าจะเสียท่า เลยเข้าไปช่วยเท่านั้นขอรับ” 

 

 

“งั้นหรือ”  

 

 

ทั้งห้าคนก็พยักหน้า  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแก้มปริ 

 

 

หวงฝู่รุ่ยและที่เหลือตอนนี้ต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่ในใจของตนแล้ว  

 

 

แต่ฉู่เหยาไม่รู้สึกเลยสักนิด นึกว่าเอาโทษทั้งหมดมาไว้ที่ตนเองได้สำเร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มแล้วบอกว่า “แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่ารุ่ยเอ๋อร์เอาน้ำแข็งที่เป็นของหายากไปสาดใส่คุณหนูจวนอู่โหวล่ะ ทำให้นางอับอายต่อหน้าทุกคน คุณหนูจวนอู่โหวก็โกรธเป็นอย่างมาก เลยเข้ามาเจรจา แต่พวกเจ้ากลับร่วมมือกันกลั่นแกล้งนาง” 

 

 

โดนเรียกชื่อเข้าให้แล้ว หวงฝู่รุ่ยออกมาจากหลังของฉู่เหยา ยืนขึ้นยืดอกพูดว่า “ท่านแม่ คำของหลิวอวี้เอ๋อร์นั่นมันคำให้การผู้ร้ายขอรับ จริงๆ แล้วนางเป็นคนด่าท่านพี่ก่อนว่าไม่รู้จักเจียมตัว ข้าเลยโกรธมากจนใช้น้ำแข็งสาดใส่หน้านาง นั่นข้าก็ออมมือแล้ว เห็นว่านางเป็นหญิงหรอก มิเช่นนั้นข้าจะต่อยนางให้ฟันร่วง จะได้ไม่พูดจาเพ้อเจ้ออีก”  

 

 

“อ่อ แล้วเหตุใดนางต้องพูดเช่นนี้งั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลุกขึ้นมาบอกว่า “พวกเราจะไปรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเราก็แค่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกท่านอามาดื่มน้ำบ๊วยกินขนมว่างด้วยกัน แล้วนางก็พูดคำพูดเช่นนั้นออกมา” 

 

 

“ดังนั้นพวกเจ้าเลยร่วมมือกันจัดการนางจนเละไม่เป็นท่าเลยว่างั้น” 

 

 

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ พวกเราไม่อยากสนใจพวกเขา แต่พวกเขาก็กัดไม่ปล่อย อยากจะท้าตีท้าต่อยกับท่านอาให้ได้ พวกเรากลัวว่าท่านอาจะเสียท่า เลยเข้าไปช่วยเท่านั้นเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบอย่างไม่ได้รู้สึกว่าตนเองผิดเลยสักนิด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วมองไปที่หวงฝู่สือเมิ่ง ถามว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งก็ก้าวขึ้นมา “ท่านแม่ พวกเราผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ผิดตรงไหน” 

 

 

“พวกเราไม่ควรลงมือก่อน และไม่ควรให้ท่านอาเข้ามารับหน้าแทนพวกเราเจ้าค่ะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ในเมื่อสำนึกผิดแล้ว ควรทำเช่นไร” 

 

 

รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากพื้นดิน หวงฝู่สือเมิ่งที่กำลังจะพูดว่าให้ทำท่านั่งม้าเป็นเวลาครึ่งชั่วยามก็พูดไม่ออก 

 

 

“เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าจะว่าอย่างไร พวกเจ้าควรได้รับการลงโทษเช่นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปถามเฮ่าเอ๋อร์  

 

 

หวงฝู่เฮ่ามองไปที่ทุกคน แล้วตัดสินใจกัดฟันพูดตอบกลับไปว่า “ทำท่านั่งม้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามขอรับ” 

 

 

“น้องเฮ่า!” “พี่เฮ่า!” ทั้งสามคนร้องออกมาพร้อมๆ กัน  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เหตุใดเมื่อครู่นี้ตนถึงไม่พูดออกมาว่าครึ่งชั่วยาม ทีนี้เอาล่ะ หนึ่งชั่วยามไปเลย อากาศร้อนขนาดนี้ รอให้ทำท่านั่งม้าเสร็จล่ะก็ ​พวกเขาคงได้นอนหลับเป็นตายไปเป็นเดือนแน่ 

 

 

รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทุกคนมองมาที่เขา หวงฝู่เฮ่าได้แต่ลูบหัวของตนเอง แถมยังไม่รู้อีกด้วยว่าตนเองทำอะไรลงไป 

 

 

“ตอนนี้ก็เริ่มเลยแล้วกัน ทำเสร็จหนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่ต้องกินข้าวเย็น และห้ามนอนด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งด้วยรอยยิ้มน้อยๆ  

 

 

ทั้งสี่คนร้องออกมาพร้อมๆ กัน  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำเป็นไม่ได้ยิน  

 

 

เจียงจิ่นเจ็บปวดเป็นที่สุด แต่ไม่กล้าออกหน้าขอร้องแทน  

 

 

ฉู่เหยากลับกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้มัน… …”  

 

 

พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นมาว่า “เหยาเอ๋อร์ก็ไปทำกับพวกเขาด้วยแล้วกัน เจ้าอาวุโสกว่าพวกเขา แต่กลับปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เพิ่มอีกครึ่งชั่วยาม” 

 

 

หวงฝู่รุ่ยและที่เหลือก็รู้สึกว่าหนึ่งชั่วยามของตนนั้นน้อยลงทันใด  

 

 

ฉู่เหยากำลังจะเถียง แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันมามองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ทำให้ฉู่เหยาขนลุกซู่ไปทั้งตัว คำพูดที่จะเถียงออกมาเลยกลายเป็นตอบรับอย่างง่ายดายว่า “ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่” 

 

 

ทุกคนวางกระเป๋าลง แล้วเริ่มทำท่านั่งม้า 

 

 

แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งหวงฝู่อี้ว่า “ไปส่งข่าวบอกจวนแม่ทัพ ว่าเหยาเอ๋อร์ทำผิด เลยถูกข้าลงโทษ วันนี้ไม่กลับจวน” 

 

 

หวงฝู่อี้ตอบรับ แล้วออกไปทันที  

 

 

แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวยังพูดอีกว่า “พวกเขาถูกลงโทษ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ไปถึงหูของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ล่ะก็​ เจ้าก็ต้องทำท่านั่งม้าด้วยหนึ่งชั่วยาม” 

 

 

ขาของหวงฝู่อี้แทบทรุด อีกนิดเดียวก็จะล้มลงไปอยู่แล้ว นี่ซื่อจื่อเฟยกำลังข่มขู่ตนอยู่ แต่ว่า เขาก็กลัวจริงๆ นั่นแหละ อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วยามเลย แค่ครึ่งชั่วยาม เขาก็นั่งไม่ไหวแล้ว เลยล้มเลิกที่จะอาศัยโอกาสนี้ไปรายงานท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี แล้วเดินคอตกออกจากเรือนไป 

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว ข้าต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ” มองไปที่ห้าคนนั้นที่เหงื่อเต็มหน้า เจียงจิ่นพูดขึ้นมาอย่างเบาๆ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะนางแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าไม่ค่อยสบายนัก เจ้าไปที่ห้องครัวทำกับแกล้มน่ากินๆ มาสักสองสามอย่าง รอพวกเขาถูกทำโทษเสร็จ เอาไว้ให้พวกเขากินดับร้อน” 

 

 

ตนถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงได้แต่ถอนหายใจ มองพวกเขาอย่างเจ็บปวด แล้วเดินไปที่ห้องครัวแต่โดยดี  

 

 

อากาศร้อนเป็นอย่างมาก ผ่านไปไม่นาน เสื้อของเด็กทั้งหลายเปียกชุ่มไปหมด ร่างกายเริ่มเซไปมาแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่ปากประตู คอยดูพวกเขา แล้วพูดด้วยความดุดันว่า “ถ้าหากว่าทำไม่สำเร็จ เพิ่มอีกครึ่งชั่วยาม” 

 

 

ทั้งสี่คนก็ขนลุกซู่ ราวกับโดนน้ำเย็นอย่างใดอย่างนั้น จึงมีสติกลับมาในทันใด ยืดหลังตรง และทำท่านั่งม้าให้ดี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคอยดูพวกเขาอย่างเข้มงวด ถึงขั้นไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แอบพักเลยสักนิด  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งและอีกสี่คนก็เข้าใจว่าครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวนั้นโกรธแล้วจริงๆ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า แต่ก่อนพวกเขาก็เคยมีเรื่องกับคนอื่น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคยโกรธขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะอะไรกันนะ พวกเขาก็ไม่ได้ทำเกินไปเสียหน่อย 

 

 

ทั้งสี่คนก็คิดไปต่างๆ นาๆ มีก็แต่ฉู่เหยาที่ตั้งใจทำท่านั่งม้าอยู่คนเดียว สำหรับเขาแล้วครึ่งชั่วยามนั้นไม่ได้นานเลย เพราะปกติตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพ ฉู่เหวินเจี๋ยทำโทษโหดกว่านี้อีก 

 

 

เวลาล่วงเลยไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงยืนดูพวกเขาอยู่ที่ปากประตู ไม่ทีท่าว่าจะผ่อนปรนให้เลยสักนิด 

 

 

ทั้งสี่คนนั้นเริ่มไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ได้รับความเอ็นดูจากท่านอ๋องฉีกับพระชายามาตั้งแต่เล็ก ตอนที่ฝึกวิทยายุทธ์นั้นก็ชอบแอบพัก ดังนั้นท่านั่งม้าหนึ่งชั่วยาม เล่นเอานางแทบตายเลยทีเดียว  

 

 

มองไปที่หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่านแม่” 

 

 

ใช้น้ำเสียงอันอ่อนล้าของตนเองบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่าตนไม่ไหวแล้ว ทำต่อไปไม่ได้แล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปด้วยสายตาที่ดุดันมากกว่าครั้งไหนๆ 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นดังนั้นก็ใจแป้ว คำพูดอ้อนวอนที่จะพูดต่อไปก็ติดอยู่ในลำคอ พูดออกมาไม่ได้  

 

 

อีกสามคนเห็นดังนั้น ความหวังในแววตาได้หายไป จึงเก็บสายตาเข้ามา แล้วทำท่านั่งม้าต่อไป  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นทั้งห้าคน ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เดินผ่านทั้งห้าคนไปเฉยๆ เห็นเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเปียก ก็รู้ว่านางคอยดูเด็กๆ โดนลงโทษมาตลอด จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าติดตัวของตนขึ้นมา แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของนางด้วยความสงสาร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า “ให้บ่าวรับใช้ดูก็ได้ อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าจะยืนดูพวกเขาด้วยเหตุอันใดกัน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น ให้เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าให้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าให้ชิงหลวนกลับไปแล้ว อี้เอ๋อร์ไปส่งข่าวที่จวนแม่ทัพ ในจวนไม่มีใคร ข้าเลยต้องคุมด้วยตนเองเจ้าค่ะ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจับตัวนางหันไป แล้วเปิดม่านประตูออก ดันเขาเข้าไปในห้องแล้วพูดว่า “เจ้าอยู่ในห้องให้เย็นสบายเถอะ เดี๋ยวข้าคุมพวกเขาเอง” 

 

 

ลมเย็นๆ ในห้องพัดผ่าน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ บอกกับเขาว่า “เหลืออีกครึ่งชั่วยาม” แล้วเดินเข้าไปด้านใน  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันไป มองไปที่เด็กๆ แล้วขมวดคิ้ว พระชายาฉีก็รีบเดินเข้ามาในเรือน พอเห็นเด็กๆ ก็ร้องออกมาว่า “อั้ยหยา ก็ว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มีคนไปหาข้าเลย ว่าแล้วว่าต้องโดนลงโทษแน่ๆ” 

 

 

ท่านอ๋องฉีเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ มองเห็นเสื้อของเด็กๆ เปียกชุ่มไปหมด ก็รู้ทันทีว่ายืนมานานแล้ว สีหน้าของความสงสารก็เกิดขึ้นบนใบหน้า เอ่ยปากออกคำสั่งแกมบังคับว่า “พอแค่นี้เถอะ พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ เตรียมกินข้าวเย็น” 

 

 

เด็กๆ มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ต่างไม่กล้าขยับ  

 

 

ท่านอ๋องฉีเริ่มไม่พอใจ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที มือที่ไขว้อยู่ที่หลังก็ขยับแล้วมองไปรอบๆ  

 

 

การกระทำและแววตาของเขานั้น หวงฝู่อี้เซวียนต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ว่านี่เป็นการเตรียมหาคว้าของมาตีคน หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีเสพติดการตีคนหรืออย่างไร หรือว่าชอบการตีคน สิบปีมานี้ ถ้ามีอะไรนิดหน่อยไม่พอใจ โดยเฉพาะในเรื่องของการอบรมเด็กๆ ถ้าหากว่าไม่เห็นด้วยล่ะก็​ จะเอาท่อนไม้มาไล่ตีเขากับหวงฝู่อวี้ เพื่อไม่ให้ตนเองต้องเสียหน้า หวงฝู่อี้เซวียนจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อน ถ้าหากว่ามีครั้งหน้า ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปอีกแน่” 

 

 

เด็กๆ ไม่มีแรงที่แม้แต่จะร้องดีใจ นอกจากฉู่เหยา อีกสี่คนที่เหลือก็นั่งฟุบลงกับพื้น  

 

 

พระชายาฉีก็ตกใจ “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ พื้นมันสกปรก พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถิด” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยื่นมือให้กับพระชายาฉีด้วยทีท่าน่าสงสาร “ท่านย่า ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ท่านช่วยพยุงข้าหน่อยเจ้าค่ะ” 

 

 

พระชายาฉีก็รีบเดินเข้าไป โค้งตัวลงกำลังจะพยุงนางขึ้นมา  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในห้อง พร้อมยิ้มให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วเรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่เจ้าคะ” 

 

 

มือที่ยื่นออกมาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เก็บกลับไปแทบไม่ทัน แล้วรีบลุกขึ้นมา กอดแขนของพระชายาฉี “ท่านย่า ไม่ได้เจอท่านตั้งหนึ่งวัน ข้าคิดถึงท่านจังเลย” 

 

 

พระชายาฉีก็ยิ้มหน้าบาน ท่านอ๋องฉีเห็นท่าทางของพวกนางแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยรวมไปถึงฉู่เหยารีบลุกขึ้นมาทันที แล้วทักทายพระชายาฉี  

 

 

พระชายาฉีลูบหัวของฉู่เหยา “เหยาเอ๋อร์ ไม่ได้เจอเจ้ามาสักพัก ดูเหมือนว่าเจ้าจะสูงขึ้นแล้วนะ” 

 

 

ฉู่เหยาก็ลูบหัวของตนแล้วยิ้มแห้งๆ 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งเห็นสีหน้าของท่านอ๋องฉีไม่ค่อยสู้ดีนัก เลยแอบเดินเข้าไป กอดแขนของท่านอ๋องฉี แล้วพูดอ้อนว่า “ท่านปู่ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

สีหน้าของท่านอ๋องฉีก็มีร้อยยิ้มผลิขึ้นทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป แล้วพวกเรามากินข้าวกัน”