ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 600 ของขวัญของผู้อาวุโสม่อ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

พลังอันบ้าคลั่งฉีกกระชากร่างกายของหวงกวงเลี่ย

แสงสว่างนับไม่ถ้วนสาดออกมจากในร่างของเขา จากนั้นก็ดับลง เหมือนกับดวงอาทิตย์สูญเสียแสงสว่าง กลับคืนสู่ความมืดอนันตกาล ทั้งยังเหมือนกับเทียนไข่กลางพายุที่ดับลงในตอนสุดท้าย

เหมือนกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับเล็กจ้อยไร้คุณค่า

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งบูรพา หวงกวงเลี่ย ‘สุริยันทิศบูรพา’ ที่เคยยิ่งในแปดพิภพมาหลายปี ทั้งยังไม่เคยเห็นใครในสายตา มาวันนี้ได้เสียชีวิตลงที่ทะเลตะวันออก

ส่วนคนที่สังหารเขากลับเป็นคนรุ่นหลานที่ห่างจากเขาสองชั่วรุ่น และในวันนี้ยังมีอายุไม่ถึงสามสิบปี

เจ้าเมืองทะเลมรกตซ่งอู่เลี่ยงที่มองภาพนี้อยู่ด้านข้าง ในขณะที่รู้สึกยินดี ก็รู้สึกได้ถึงความสับสน

เมืองทะเลมรกตของเขากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเลวร้ายกว่าระหว่างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับเขากว่างเฉิงมานาน เรียกได้ว่ามีเจ้าไม่มีข้า ไม่ตายไม่เลิกราอย่างแท้จริง

ทั้งสองฝ่ายสู้กันมาหลายปี มีแพ้มีชนะ โดยรวมเมืองทะเลมรกตจะตกเป็นรอง

ทว่าซ่งอู่เลี่ยงและทั่วทั้งเมืองทะเลมรกตมีนิสัยแข็งกร้าว ไม่ว่าสำนักสุริยันักดิ์สิทธิ์จะแกร่งกว่าหรือไม่ ต่างสู้กับอีกฝ่ายจนถึงที่สุดมาโดยตลอด

ในการต่อสู้กัน เมืองทะเลมรกตก็ได้สร้างวีรกรรมที่ทำให้โลกแปดพิภพเอ่ยถึงมากมาย

ซ่งอู๋เลี่ยงเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเยี่ยนตี๋ ฟางจุ่น หวงซวี่ และหลินเทียนเฟิง ถึงแม้ว่าจะอายุมาก และเริ่มฝึกฝนเร็วกว่า แต่ก็เป็นยอดฝีมือคนแรกที่เลื่อนจากระดับบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์

ลูกศิษย์ของเมืองทะเลมรกตเฉินซู่ถิง เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการแย่งชิงมงกุฎจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มานาน อีกทั้งยังเคยถอดเขี้ยวจากปากพยัคฆ์ ชนะการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สอง นำมงกุฎจันทรากลับวารีพิภพ

ตำหนักอัสนีสวรรค์ หอคลื่นโหม และเมืองทะเลมรกตต่างแข่งกันวางแผนหลอมสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเอง สุดท้ายเมืองทะเลมรกตทำสำเร็จก่อน หลอมสร้างกระบี่สัตยาทะเลมรกตขึ้นมาได้

ถ้าไม่ใช่เพราะการรุกรานของปีศาจอัคคี เรื่องนี้สามารถทำให้พันธมิตรระหว่างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์เจออันตรายเร็วขึ้น

ทุกคนรวมถึงเจ้าเมืองซ่งอู๋เลี่ยงต่อสู้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ทำลายขีดจำกัด และปีนป่ายสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง

ทว่าในตอนนี้ เมื่อจู่ๆ ก็ทราบว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย และหวงกวงเลี่ยยอดฝีมือระดับสุดยอดคนสุดท้ายของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ คู่ต่อสู้ที่ทำให้สำนักของตนต้องระมัดระวังมาโดยตลอดตายลงต่อหน้าตน ทั้งยังตายโดยไร้ข้อสงสัย ก็ทำให้จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นซ่งอู่เลี่ยงเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ

เป้าหมายที่สำนักของตนต้องสู้ด้วยมาโดยตลอด ยังไม่ทันจะเป็นจริงก็พลันหายไป คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านี้เหมือนกับฟองฝัน

ปัจจุบันฟองเหล่านั้นได้แตกออก ทำให้เขาเหมือนกับตื่นจากฝัน ความกระทบกระเทือนที่ซ่งอู๋เลี่ยงและจอมยุทธ์เมืองทะเลมรกตได้รับ พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ได้เลวร้ายน้อยกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ที่ถูกทำลายสำนักไปแม้แต่น้อย

และคนที่ทำเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าซ่งอู๋เลี่ยงนี่เอง

ขณะมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์เกินไป แต่กลับราบเรียบเป็นปกติของเยี่ยนจ้าวเกอ จิตใจของซ่งอู๋เลี่ยงก็เกิดความสับสนเล็กน้อย

หลังจากแน่ใจถึงความตายของหวงกวงเลี่ย และแน่ใจแล้วว่าไม่ต้องกังวลผนึกทะเลตะวันออกที่อยู่เบื้องล่างอีก ครั้นทักทายเยี่ยนจ้าวเกอเสร็จ ซ่งอู่เลี่ยงก็บอกลาเยี่ยนตี๋ทันที

เขาจำเป็นต้องกลับเมืองทะเลมรกต ประชุมกับผู้อาวุโสในสำนัก ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ต่อจากนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปในโลกแปดพิภพ

พันธมิตรก่อนหน้านี้ไม่ใช่พันธมิตรอีกต่อไป

หากคิดแข่งขัน กลับรู้สึกแค่ว่าไร้พลัง

ตัวเลือกที่เหลืออยู่เหมือนมีไม่มาก กระนั้นสมควรทำอย่างไรต่อ ซ่งอู๋เลี่ยงต้องใคร่ครวญและพิจารณาให้ดี

พวกเยี่ยนจ้าวเกอรู้ว่าในตอนนี้จิตใจของซ่งอู๋เลี่ยงเกรงว่าจะสับสนเป็นอย่างยิ่ง ย่อมไม่รั้งตัวไว้

ยิ่งไปกว่านั้น การได้พบกันอีกครั้งระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋สองพ่อลูกยังเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง

โดยเฉพาะในตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอได้ใช้กระจกยังสูงส่งเปิดทางเชื่อมเขตแดนชั่วคราวเพื่อหลบไปด้านใน ไม่ให้โดนลูกหลงจากพลังแห่งผนึก เยี่ยนตี๋เห็นการกระทำนี้ กลับไม่ทราบว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร

ผู้เป็นบิดาไม่รู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอหลบรอดความเสียหายจากพลังแห่งผนึกได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าถ้าหากบุตรชายหลบเข้าไปยังโลกอื่นสำเร็จ จะปลอดภัยไร้อันตรายหรือไม่ และไม่รู้ว่าเขาจะกลับโลกแปดพิภพเมื่อไร

เรื่องเหล่านี้ล้วนทำให้เยี่ยนตี๋เป็นห่วง เพียงแต่ปัจจุบันเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ตรงหน้ากลับมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งพลังยังพัฒนาขึ้นอย่างใหญ่หลวง เขาย่อมไม่พูดถึงความหวั่นวิตกก่อนหน้านี้ออกมา

เขาเพียงถอนใจ มองบุตรชายอย่างยินดี ‘กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว’

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีท่าทีปกติ เปลี่ยนเป็นพูดมากขึ้นมา บอกเล่าเรื่องมากมายที่ไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ในตอนที่อยู่บนโลกผืนสมุทร รวมถึงหลังจากที่กลับมาจากโลกผืนสมุทรออกมา

คำถามมากมายที่เยี่ยนตี๋มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม เยี่ยนจ้าวเกอก็เล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีการอวดโอ่ขอคำชม ทำให้ผู้เป็นบิดาที่วางใจลงแล้วต้องราดน้ำเย็นใส่เขา

บุตรชายโดดเด่น เยี่ยนตี๋ย่อมดีใจ กลับไม่ต้องชมเชย อีกทั้งไม่ว่าจะชมอย่างไรก็คงไม่พอ ได้แต่หวังว่าบุตรชายของตนจะโดดเด่นมากขึ้นอีก

ในตอนที่ได้ยินว่าฟู่เอินซูไม่เป็นไร และหาตัวสวีเฟยกับสือจวินเจอแล้ว เยี่ยนตี๋ก็วางใจกว่าเดิม

สำหรับเภทภัยที่สำนักแสงสว่างจะนำมา เยี่ยนตี๋กลับไม่สนใจ “ทหารมาใช้แม่ทัพต้าน น้ำมาขุดดินกลบ[1] พวกเราเตรียมตัวไว้ให้มาก ต่อให้อีกฝ่ายมา ก็แค่สู้ด้วยเท่านั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

เขาหันไปมองด้านข้าง เห็นผู้อาวุโสม่อยืนอยู่กลางอากาศเงียบๆ ไม่ได้ผละไป

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋สองพ่อลูกรวมตัว และรื้อฟื้นความหลังกันเสร็จ ผู้อาวุโสม่อจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากว่าพวกเจ้าสองคนมีเวลา ได้โปรดมาที่เกาะภาพวาดของข้าด้วย”

สองบิดาบุตรสบตากัน ฟังออกว่าคำพูดของผู้อาวุโสม่อมีความนัย

ผู้อาวุโสม่ออยู่ที่โลกภายนอกมาโดยตลอด ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ภายในของจอมยุทธ์เผ่ามนุษย์บนโลกแปดพิภพ

ถึงแม้ว่าเขากว่างเฉิงในตอนนี้จะสยบโลกแปดพิภพ อยู่ในตำแหน่งผู้ปกครอง ทว่าผู้อาวุโสม่อไม่คิดจะเข้าเลียแข้งเลียขา ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกก็ไม่มีความคิดจะทำให้เกาะภาพวาดยอมศิโรราบ

ผู้อาวุโสม่อในตอนนี้กลับเชิญชวนด้วยความซาบซึ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

“สำนักของพวกเจ้าเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติบนแปดพิภพ ได้ต่อสู้กับปีศาจอัคคีและนพยมโลกอย่างเต็มที่ ทั้งยังไม่กลัวการเสียสละมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคของจ่านสะเทือนสวรรค์จนถึงตอนนี้ ข้านับถือมานานแล้ว”

เขาคล้ายรู้สึกได้ถึงความสงสัยในใจของเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูก จึงยิ้มเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าได้ยินสหายน้อยเยี่ยนพูดว่า ผู้สนับสนุนบนโลกซ้อนโลกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คือสำนักแสงสว่างใช่หรือไม่? ส่วนยอดฝีมือที่ลงมายังแปดพิภพในครั้งนี้ก็เพื่อสังหารสหายน้อยเยี่ยนใช่หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ทำตัวหน้าขายหน้าเสียแล้ว”

ผู้อาวุโสม่อส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สงสัยในคำพูดของสหายน้อยเยี่ยน กลับรู้สึกซาบซึ้งนัก”

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกาย ในใจคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง มองผู้อาวุโสม่ออย่างตั้งใจ “หรือว่าท่านผู้เฒ่า…”

ผู้อาวุโสม่อยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวอย่างช้าๆ “ข้าเองก็มาจากโลกซ้อนโลก แต่ว่าผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ในใจกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนของแปดพิภพมากกว่า”

ชายชราถอนใจเบาๆ “ที่ข้าหลบลงมา ความจริงแล้วเพื่อซ่อนตัวหลบหนีเภทภัย”

เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋พลันเข้าใจ “เพราะสำนักแสงสว่าง”

“ถูกต้อง” ผู้อาวุโสม่อตอบ

เขามองไปยังพวกเยี่ยนจ้าวเกอ “พวกเจ้าสองพ่อลูกมีอนาคตกว้างไกล โลกแปดพิภพเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเจ้าเท่านั้น ข้าเชื่อว่าในวันหน้าพวกเจ้าจะต้องไปยังโลกซ้อนโลกได้ ข้ามีคำพูดส่วนหนึ่งและสิ่งของอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะช่วยเหลือได้บ้าง”

……………………………………….

[1] ทหารมาใช้แม่ทัพต้าน น้ำมาขุดดินกลบ หมายถึง รับมือตามสถานการณ์