ตอนที่ 462 ซื่อมั่ว?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ภายในลูกแก้ว ท่ามกลางความมืดมิดที่ครอบคลุมทั่วผืนฟ้าและผืนดิน ดวงตาสีม่วงเข้มคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมา

 

 

นั่นเป็นดวงตาที่พิเศษอย่างยิ่งคู่หนึ่ง แววตาดุจหงส์ดุจมังกร

 

 

ดวงตาคู่นั้นเพียงเผยอขึ้นมาเล็กน้อย ขนตาที่ทั้งยาวและหนาเป็นแพแทบจะปิดบังประกายในแววตาเอาไว้จนสิ้น

 

 

ถึงแม้ว่าเยี่ยจ้านจะมองไม่เห็น แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในลูกแก้ว

 

 

“ซื่อมั่ว” เนิ่นนาน เขาถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา “ข้ารู้ว่า เจ้าได้ยินเสียงของข้า”

 

 

อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยตอบตน เขาอยู่ในความมืดมิดภายในลูกแก้ว ราวกับคนภายนอกที่เร้นกายจากโลกหล้า นอกจากความมืดมิดที่ครอบคลุมไปทั่วผืนฟ้าแล้ว ข้างกายของเขาก็เหมือนจะไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

 

 

แม้แต่เยี่ยจ้านเองก็ยังไม่มั่นใจว่าในลูกแก้วนั่นมีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆหรือไม่

 

 

เขาถอนใจออกมาเบาๆ ผ่านไปอีกนานพักใหญ่ค่อยเอ่ยว่า “เดิมทีข้าไม่ควรติดต่อกับเจ้า …..แต่ว่าเสี่ยวหลันเจอกับเรื่องยุ่งยากบางประการเข้า…..”

 

 

พอเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เยี่ยจ้านก็รู้สึกว่าไม่อาจรักษาหน้าของตนเองเอาไว้ได้

 

 

ตอนนั้นก็ต้องฝากฝังเสี่ยวหลันให้ซื่อมั่วดูแล…..ให้เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ที่จริงต้องถือว่าติดค้างบุญคุณซื่อมั่วมากแล้ว

 

 

หากว่าเขาสามารถไปจากหุบเหวไร้ก้นบึ้งนี้ได้สิ่งแรกที่จะกระทำย่อมต้องเป็นการออกไปช่วยเหลือเสี่ยวหลัน แต่ว่าน่าเสียดาย….ที่เขาไม่อาจจากไปแม้แต่ครึ่งก้าว

 

 

ทันทีที่ไปจากที่นี่ ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คงจะสูญเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจเสาะหาเศษเสี้ยววิญญาณของชิงชิงได้อีก

 

 

ดังนั้นเขาจึงได้แต่มาขอร้องซื่อมั่วอีกครั้งแล้ว

 

 

เพราะถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน……

 

 

พอเอ่ยชื่อของเสี่ยวหลันขึ้นมา ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นถึงได้กระพริบ

 

 

ครู่ต่อมาดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นก็ลืมขึ้น ทำให้ทั่วทั้งลูกแก้วถูกย้อมไปด้วยแสงสีม่วงเข้มอมดำไปในทันที

 

 

ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะปกคลุมด้วยความอึมครึมที่ไร้สิ้นสุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายแสงสีม่วงวาวอยู่ด้วย

 

 

เยี่ยจ้านสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เขาเอ่ยต่อทันทีว่า “อสุรกายโลกันตร์ถูกปล่อยออกมาแล้ว….เสี่ยวหลันกำลังต่อสู้กับมันอยู่”

 

 

“นางต้องการล้างแค้นให้กับมารดา ข้าปลดผนึกพลังให้กับนางแล้ว…..”

 

 

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย ก็เห็นแสงสีม่วงนั้นคล้ายจะเปล่งประกายออกมาจากลูกแก้วพร้อมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่าง

 

 

แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเยี่ยจ้านก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วร่าง

 

 

“เหนือหุบเหวไร้ก้น ยังมีเผ่ามุนษย์ผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายพลังของเจ้า…เขากับเสี่ยวหลันสนิทสนมกันมาก…..”

 

 

ที่จริงเยี่ยจ้านคิดจะถามว่า ชาวมนุษย์ผู้นั้นกับเจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่

 

 

ใต้หล้านี้ จะมีเผ่ามนุษย์คนใดที่สามารถรองรับพลังของเขาได้กัน ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีพลังจากหยกสรรพชีวิตอยู่หลายชิ้น

 

 

เพียงแต่ว่าคำพูดยังไม่ทันได้กล่าวออกมา เยี่ยจ้านก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังออกมาจากลูกแก้ว

 

 

“ซื่อมั่ว?” เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พิงร่างเขากับต้นไม้มังกรส่งเสียงเรียกออกมาอีกครั้งหนึ่ง

 

 

อีกนานพักใหญ่ ก็มีเสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยตอบเขา “เผิงอี้”

 

 

เผิงอี้ คือชื่อตัวของเยี่ยจ้าน

 

 

มีแต่คนที่สนิทสนมกันเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกเขาด้วยชื่อนี้ได้

 

 

เพียงแต่น้ำเสียงนั้นกับเรียบเฉย ไม่มีเค้าของความยินดีที่สหายเก่าได้กลับมาพบกันอีกครั้งเลยแม้แต่น้อย จนไม่อาจจับเค้าลางได้ว่าเขามีอารมณ์หวั่นไหวบ้างหรือไม่

 

 

เขายังคงเป็นเช่นเดิม ที่ไม่ว่าเรื่องใดๆก็ไม่สามารถทำให้บุรุษผู้นี้โยกคลอนได้ทั้งสิ้น

 

 

เยี่ยจ้านอ้าปากขึ้นมา คิดจะเอ่ยคำออกไป ก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างเฉยชาว่า “เจ้ามันเป็นบิดาที่แสนจะล้มเหลว”

 

 

เยี่ยจ้านน้ำตาคลอหน่วย “ทำไมเจ้าต้องพูดแทงใจดำข้าด้วย …..ไม่เจอกันมานานหลายปี ยังคงไร้ความปรานีไม่มีเปลี่ยน”

 

 

อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขา เยี่ยจ้านไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความมีชีวิตแม้แต่น้อย…..

 

 

“เจ้ามาด้วยจิตวิญญาณกระนั้นหรือ?” เขาคว้ากิ่งไม้เอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

 

 

เขาต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปถึงหนึ่งพันปีจึงจะสามารถทำให้ลูกแก้วกลับมามีพลังข้ามมิติได้อีกครั้ง ตามเหตุผลแล้วนี่เพียงพอที่จะให้ซื่อมั่วข้ามผ่านมาพร้อมร่างของตนเองได้แล้ว แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายด้วยการ ข้ามมาด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้?

 

 

จิตวิญญาณที่ออกห่างจากร่างเนื้อ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งอยู่แล้ว แถมยังก้าวข้ามมิติมา….ต่อให้เขาแข็งแกร่งเพียงไหน นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องตาย

 

 

คนผู้นี้….ที่แท้ก็ห่วงใยเสี่ยวหลันถึงเพียงนั้น?

 

 

ก็คงใช่…..เสี่ยวหลันถูกเขาเลี้ยงดูมากับมือจนเติบโต …..สนิทสนมใกล้ชิดยิ่งกว่าพ่อแม่แท้ๆ เกรงว่าตลอดหลายปีมานี้ซื่อมั่วคงจะถือว่านางคือบุตรสาวแท้ๆไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

เยี่ยจ้านได้แต่ครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ในใจ

 

 

ยามนี้รอบกายของเขามีแต่เสียงสายลมพัดดังหวีดหวิว ในขณะที่ด้านบนของหุบเหวไร้ก้นก็มีหินลาวาหล่นลงมามากมายอย่างต่อเนื่อง

 

 

เขาโบกกิ่งไม้ในมือออกไป พลังวิญญานพุ่งขึ้นไปเป็นสายมากมาย ตรงเข้าทำลายก้อนหินลาวาต่างๆจนระเบิดเป็นผุยผง

 

 

จิตวิญญาณของชิงชิงหลับลึกอยู่ใต้ผืนดิน ไม่อาจปล่อยให้นางถูกรบกวนแม้แต่น้อย

 

 

เขาทางหนึ่งโบกสะบัดกิ่งไม้ในมือ ทางหนึ่งก็มองออกไปที่เหนือหุบเหวไร้ก้น…..

 

 

ซื่อมั่วจะลงมือด้วยต้นเองหรือไม่?

 

 

เดิมทีภายในลูกแก้วนั้นมีแต่ความมืดมิดไร้สิ้นสุด ตอนนี้ความมืดมิดเหล่านั้นได้จางหายไปแล้ว จนปรากฏพระจันทร์เต็มด้วยสีเลือดขึ้นมาแทน

 

 

 

 

ใต้พระจันทร์เต็มดวงนั้น มีเรือนหลังหนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา

 

 

…………………………

 

 

 

 

การต่อสู้ที่เผ่ามังกรทมิฬ สร้างผลกระทบสั่นสะเทือนไปถึงทะเลตะวันตกแล้ว

 

 

คลื่นน้ำเหนือทะเลตะวันตกม้วนตัวอย่างรุนแรง เมืองที่อยู่ริมทะเลถึงกับจมลงไปครึ่งหนึ่ง

 

 

หลายร้อยปีมานี้ เมืองริมทะเลอยู่ในความสงบสุขมาโดยตลอด แม้แต่เหตุการณ์ที่มีผีดิบอาละวาดเมืองหลายเดือนก่อนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมาจนถึงที่นี่ ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆก็จะถูกน้ำทะเลพัดจมลงไปครึ่งหนึ่ง

 

 

ตอนนี้ดูท่าแล้ว คงจะมีชีวิตมากมายหลายหมื่นที่จะต้องจมน้ำตายไป

 

 

แต่ว่าในชั่วขณะนั้นเอง น้ำทะเลที่ม้วนตัวเป็นคลื่นโถมเข้ามาพลันถูกพลังบางอย่างที่ไร้ที่มาทำให้กลายเป็นน้ำแข็งไป

 

 

เหล่าคนมากมายที่รอดพ้นจากความตาย พากันหลบหนีอย่างอลหม่าน

 

 

“ดูสิ…..เกิดอะไรขึ้นในทะเลกันแน่?”

 

 

พอหลบหนีขึ้นไปบนภูเขาสูง ถึงได้มีคนมองไปทางทะเลตะวันตกพลางร้องตะโกนว่า

 

 

“นั้นคือ……ลูกไฟ?”

 

 

ฝูงชนต่างก็แตกตื่นด้วยความไม่เข้าใจ น้ำแข็งและไฟจะมาปรากฏขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร?

 

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปจนไม่รู้ว่าไกลสักเท่าไร พวกเขาก็ยังคงสามารถมองเห็นได้ว่า ใต้ผืนน้ำแข็งที่ครอบคลุมอยู่ทั่วผืนทะเลตะวันตกนั้น มีลูกไฟดวงใหญ่กำลังพวยพุ่งอยู่ภายใน

 

 

และสิ่งที่พ่นลูกไฟออกมานั้น คล้ายจะเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่อะไรสักอย่าง

 

 

เนื่องเพราะว่ามีชั้นน้ำแข็งขวางกั้นอยู่ พวกเขาจึงมองเห็นแค่เพียงโครงร่างที่เลือนรางเท่านั้น

 

 

ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึงไป ต่อแต่นี้ไปแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้คงไม่อาจสงบสุขได้อีกแล้ว

 

 

……………………..

 

 

 

 

ใต้ทะเล ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกรบ ทั้งสองยืนอยู่บนร่างของจู๋จู๋ ทั้งสองต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดจึงสามารถต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ได้อย่างสูสี

 

 

มันกลืนกินหวาชางสุ่ยลงไป ร่างกายเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าเดิม เปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกมาจึงยิ่งร้อนระอุกว่าเดิม สามารถแผดเผาทุกสิ่ง!

 

 

สงครามครั้งนี้ เจ้าตัวประหลาดนี่หลบหนีออกจากก้นทะเลลึก ออกไปจนถึงทะเลตะวันตก ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์เหนือท้องทะเล

 

 

หากมิใช่ว่าจู๋จู๋ทำให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็งได้อย่างทันท่วงที เกรงว่าเมืองริมทะเลทั้งหมดคงจะต้องกลายเป็นขุมนรกไปแล้ว

 

 

อสุรกายโลกันตร์ส่งเสียงคำรามกึกก้อง มันถูกทำลายดวงตาไปสองดวงแล้ว จึงอาละวาดอย่างคุ้มคลั่ง

 

 

มันกางเล็บตะกุย ขยุ้มลงไปจนใต้พื้นทะเลมีแต่ความระเนระนาด

 

 

รอยร้าวบนตัวดาบดำทองของจีเฉวียนยิ่งทีก็ยิ่งขยายเพิ่มขึ้น จนเห็นได้ชัดเจนว่าใกล้จะแตกหักเข้าไปทุกทีแล้ว

 

 

เดิมทีพระองค์กับตู๋กูซิงหลันคิดจะบีบเจ้าตัวประหลาดนี่กลับลงไปที่ใต้ภูเขาไร้สิ้นสุด ไหนเลยจะรู้ว่ามันอ่านแผนการของพวกเขาออก จึงชิงหลบหนีออกไปก่อน

 

 

 

 

 

 

…………………………

 

 

ตอนต่อไป “ฮ่องเต้หญิงแห่งต้าโจว”