ตอนที่ 1329 เปิดฉากสงคราม โดย Ink Stone_Fantasy
กระทั่งในเวลาดึก โรแลนด์จึงพาทุกคนกลับมายังลิ่วหลี่ทิง หรือก็คือเขตถนนที่บุ๊คเข้ามาในโลกแห่งความฝันในตอนแรก
มันก็เหมือนกับเขตถงจึที่่ต่างก็เป็นเขตถนนเก่าแก่ เพียงแต่เมื่อเทียบกับ ที่นี่นั้นดูมีความเป็นการค้ามากกว่า สองข้างทางของถนนมีร้านขายของชำ ร้านอาหารริมทาง ร้านคาราโอเกะและร้านอินเทอร์เน็ตอยู่ไม่น้อย ขนาดล้วนแต่ไม่ใหญ่นัก ลูกค้าส่วนใหญ่คือมนุษย์เงินเดือนและนักเรียนในแถบนี้
ถึงแม้ดูแล้วจะค่อนข้างวุ่นวายและสกปรก แต่มันกลับเหมาะที่จะเป็นที่ซ่อนของบุ๊ค
ปากทางเข้าออกของจุดเชื่อมต่อนั้นอยู่ที่ด้านข้างของถนน เมื่อดูจากภายนอกแล้วไม่ได้ต่างอะไรจากประตูเหล็กทั่วๆ ไปเลย ส่วนเรื่องที่ว่าประตูนี้มันตั้งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก หรือเพิ่งปรากฏขึ้นมาตรงนี้ในตอนที่บุ๊คเข้ามาในโลกแห่งความฝัน โรแลนด์ยังไม่อาจรู้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งตรงนี้มีความสำคัญอย่างมาก เขากำลังคิดอยู่ว่าจะใช้เส้นสายที่เขามีกับทางสมาคมและกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ในการกว้านซื้อร้านสองข้างทางมาดีหรือไม่
เพราะบุ๊คสามารถพาแม่มดอาญาสิทธิ์เข้ามาในดินแดนจิตสำนึกได้แค่คนเดียว ถ้าถูกฟอลเลนอีวิลจับตาดูเอาไว้ เธอจะต้องมีอันตรายอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญที่นำเอาความรู้กลับไปถ่ายทอด ความเสี่ยงแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่อาจให้เธอเผชิญได้ ถ้าสามารถเอาแม่มดอาญาสิทธิ์ซักสิบกว่าคนมาประจำการอยู่ที่บริเวณรอบๆ จุดเชื่อมต่อได้ ความปลอดภัยจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน
ในขณะที่ผู้คนกำลังเดินไปเดินมา โรแลนด์ก็ฉวยโอกาสทดสอบการส่งผลกระทบซึ่งกันและกันของดินแดนจิตสำนึกทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย
ในตอนที่โลกแห่งความฝันหยุดลง ไม่ว่าบุ๊คจะอยู่ที่ไหน เธอก็จะถูกบีบให้ออกมาจากโลกแห่งความฝัน แล้วกลับไปยังห้องเอกสารเล็กๆ
นี่เป็นจุดที่มีความแตกต่างจากแม่มดอาญาสิทธิ์มากที่สุด
เพราะถึงจิตสำนึกของแม่มดอาญาสิทธิ์จะกลับมายังร่ายกายของตัวเอง แต่ตำแหน่งในโลกแห่งความฝันของพวกเธอกลับยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เธออยู่ในตอนแรกก่อนที่จะออกมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่โรแลนด์บอกให้พวกเธอพยายามเข้าไปรวมตัวกันในโรสคาเฟ่หรือไม่ก็โกดังที่กั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้น มันอาจจะเกิดภาพเหตุการณ์ที่จู่ๆ ก็มีคนหายตัวไปเกิดขึ้นได้
ซึ่งปัญหานี้ของบุ๊กดูมีความร้ายแรงมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อย่างน้อยในเวลาคับขัน แม่มดอาญาสิทธิ์ก็ยังสามารถทำการ ‘เชื่อมต่ออย่างไร้ช่องโหว่’ พร้อมกับโรแลนด์ได้ แต่บุ๊คไม่สามารถทำแบบนี้ได้ นี่หมายความว่าในการเข้ามาในโลกแห่งความฝันทุกครั้ง เธอต้องเริ่มจากห้องเอกสาร ตอนที่ออกจากโลกแห่งความฝัน เธอก็ต้องจบที่ห้องเอกสาร
แต่เมื่อคิดถึงว่าขอเพียงสอนบุ๊คใช้มือถือ เขาก็สามารถทำการเช็คตำแหน่งของเธอก่อนจะออกจากโลกแห่งความฝันได้ บวกกับแมลงเวทมนตร์ของฟาลดี้ที่ค่อยตรวจตราดูบริเวณนี้อยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้นี่จึงไม่ถือเป็นปัญหาที่ยากลำบากอะไรนัก
และในทางกลับกัน
ถ้าเกิดทุกคนเข้าไปอยู่ในดินแดนจิตสำนึกของบุ๊ค แล้วเป็นฝ่ายที่ออกไปจากดินแดนจิตสำนึกของตัวเอง แม่มดอาญาสิทธิ์กับโรแลนด์ที่อยู่ในดินแดนจิตสำนึกของเธอก็จะถูกบีบให้ออกมาเช่นเดียวกัน แม่มดอาญาสิทธิ์จะกลับไปยังร่างของตัวเอง ส่วนโรแลนด์นั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูเหล็ก ความรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีซักเท่าไร มันคล้ายกับการนั่งรถไฟเหาะอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนเรื่องสุดท้ายนั้นทำให้โรแลนด์ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
หลังจากที่บุ๊คออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึกก่อน ประตูเหล็กบานนั้นยังคงมีอยู่ แต่สิ่งที่อยู่ด้านหลังมันกลับไม่ใช่กำแพงหรือห้องสีเทาเล็กๆ ที่คับแคบห้องนั้น ห่างแต่เป็นความว่างเปล่าสีแดง
นั่นคือสัญลักษณ์ของการกัดกิน
จากคำพูดของการ์เซีย รอยแตกการกัดกินนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ง่ายๆ ปกติสถานที่ที่มีมันอยู่จะมีสมาชิกของสมาคมมาคอยจับตาดูเอาไว้ พูดอีกอย่างก็คือการกัดกินนี้น่าจะเกิดขึ้นมาจากห้องเอกสารของบุ๊ค
โรแลนด์รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนจิตสำนึกนั้นไม่ใช่การครอบคลุมหรือการรองรับ พวกมันต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึก พลังที่พวกมันใช้ล้วนแต่เป็นพลังที่มาจากแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ พลังที่ว่าสามารถหายจากดินแดนเข้าไปอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งได้ ซึ่งนี่ก็ตรงกับคำพูดของมิสต์ที่เคยพูดเอาไว้ ขอเพียงให้โลกแห่งความฝันกลืนกินแกนพลังแห่งธรรมชาติให้เพิ่มขึ้น เขาก็จะมีโอกาสเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า
และนี่ก็ทำให้ข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งเกิดตามมา
ถ้าให้ดินแดนจิตสำนึกของปีศาจระดับสูงตัวอื่นๆ เข้ามาอยู่ในขอบเขตลำแสงกุญแจของเขา อย่างนั้นโลกแห่งความฝันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
พวกมันจะมาปรากฏตัวอยู่ในเมืองเหมือนอย่างบุ๊คหรือไม่?
….
เช้าวันถัดมา โรแลนด์ได้รับข่าวใหม่ล่าสุดจากทางแนวหน้าสนามรบ
ในซองจดหมายมีจดหมายพับทบๆ กันอยู่สองฉบับ ฉบับแรกนั้นเป็นจดหมายจากเวนดี้ ในจดหมายเขียนเล่าถึงสถานการณ์ของแม่มดในช่วงนี้ โดยในช่วงท้ายนั้นมีการพูดเน้นถึงนาน่า ไพน์
ในที่สุดสาวน้อยที่ติดตามสโมสรแม่มดออกไปด้วยนี้ก็ผ่านวันบรรลุนิติภาวะมาแล้ว
นอกจากนี้ในตอนที่เธอบรรลุนิติภาวะ พลังเวทมนตร์ของเธอยังเกิดการรวมตัวเหมือนกับคนอื่นๆ อย่างอันนาและลูเซียด้วย ถ้าอีงตามวิธีการแยกของสมาพันธ์ ตอนนี้เธอถือได้ว่าเป็นแม่มดระดับสูงแล้ว
ส่วนเรื่องรายละเอียดของความสามารถ ในจดหมายไม่ได้บรรยายอะไรเอาไว้ บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนกำลังยุ่งอยู่ หรือไม่ก..อาจจะเป็นเพราะพลังเวทมนตร์ของนาน่ามีค่าจนไม่สามารถเอามาใช้ทิ้งขว้างในการทดลองได้….แต่โรแลนด์ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนาน่าสามารถผ่านวันบรรลุนิติภาวะมาได้อย่างปลอดภัย
ส่วนจดหมายอีกฉบับหนึ่งนั้นมีความหนากว่ามาก
ในนั้นมีทั้งรายงานของกองทัพที่หนึ่ง แล้วก็มีแผนการของทางทีมที่ปรึกษา และนี่ก็เป็นข้อบกพร่องของช่องทางการส่ข่าวสารที่มีอยู่ในตอนนี้ เพื่อที่จะประหยัดทรัพยากรในการขนส่งแล้ว ทางแนวหน้ามักจะรอให้มีรายงานสำคัญๆ เยอะมากพอก่อน จากนั้นค่อยส่งกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ทีเดียว ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะเป็นจดหมายฉบับเดียว แต่วันที่ที่เขียนอยู่บนจดหมายกลับแตกต่างกันเป็นหลักสิบวันหรือครึ่งเดือน
หลังพลิกอ่านไปจนถึงหน้าสุดท้าย คิ้วของโรแลนด์พลันขมวดขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเพคะ?” ไนติงเกลที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา
“ปีศาจเปิดฉากบุกใส่ฐานทัพของกองทัพที่หนึ่งอย่างเต็มกำลัง” เขาพูดเสียงคร่ำเคร่ง “เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้!”
….
วูลฟฮาร์ท เมืองกัสต์
เสียงสัญญาณเตือนดังไปทั่วทั้งเมืองอีกครั้ง
นี่เป็นครั้งที่สามของวันนี้นับตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
“ไอสัตว์ประหลาดบ้าพวกนี้ มันไม่รู้จักเหนื่อยหรือยังไง?” โจเดลถุยน้ำลาย ก่อนจะหยิบเอาถุงกระดาษออกมาจากในหน้าอก เขาเทมันอยู่นาน แต่กลับไม่มีอะไรออกมาจากในถุง
“เอาไป” จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา “เจ้าหาไอนี่อยู่ใช่ไหม?”
โจเดลหันหน้าไป ก่อนจะพบว่าคนที่พูดคือฟาร์รี และสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาก็คือยาสีขาวเม็ดเล็กๆ
“เจ้า…ไม่ใช่เหรอ?” เขาหยิบยามาอย่างลังเล
“ข้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างเจ้า ข้าก็แค่ไม่ได้นอนมาวันสองวันเท่านั้น” ฟาร์รีตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้นข้าเกลียดของพวกนี้ด้วย ไม่รู้ว่ามันทำขึ้นมาจากอะไร! ข้าว่าเจ้ากินมันน้อยๆ หน่อยจะดีกว่า”
“เจ้าอาจจะพูดถูก” โจเดลถอนหายใจออกมา ก่อนจะโยนยาใส่เข้าไปในปาก “แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าสู้ต่อได้”
ในตอนที่ยาละลายไปบนสิ้น รสชาติขมๆ พลันแตกกระจายเต็มปากของเขา ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกหนาวเย็นจนเสียดกระดูก ความง่วงและความเหนื่อยล้าที่ทำให้เขาวิงเวียนพลันหายไปทันที แม้แต่นิวมื้อกับแขนขาที่แข็งก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เขารู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นนักล่าที่เฉียบคมคนนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่เหยื่อที่เหนื่อยล้าที่กำลังรอให้ศัตรูเข้ามาเชือด
ความรู้สึกนี้แหละ
โจเดลยกปืนขึ้นมา แล้วค่อยๆ ไปประจำที่ตำแหน่งยิง
ยาพวกนี้ถูกส่งมาให้ทหารทุกคนพร้อมกับข้าวของอื่นๆ เมื่อครึ่งเดือนก่อน ชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือยาชะลอ แต่ทุกคนชอบเรียกมันว่ายาไม่มีวันล้ม ขอเพียงกินมันเข้าไปเม็ดหนึ่ง ความเจ็บปวดในร่างกายก็จะหายไปจนหมด และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ความเจ็บปวดเหล่าถึงจะระเบิดออกมาใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ตอนแรกในหมู่ชาวทะเลทรายจะมีเสียงคัดค้านยาตัวนี้ แถมยังเชื่อมโยงมันเข้ากับยาคุ้มคลั่งที่เล่าลือกัน แต่เสียงคัดค้านแบบนี้ก็มีอยู่ไม่นานนัก เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่ากองทัพที่หนึ่งไม่ได้บังคับให้ทุกคนใช้ยาชะลอนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบนซองยายังมีการเขียนถึงผลข้างเคียงของมันเอาไว้ แล้วก็บอกว่าห้ามใช้ติดต่อกันด้วย การทำแบบนี้แตกต่างจากข่าวลือของเจ้าหญิงลำดับที่สามที่โจเดลเคยได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ไม่เพียงแต่ชาวทะเลทรายเท่านั้น แต่คนทางเหนือบางส่วน รวมไปถึงแม่ทัพบางคนก็ได้รับยาชะลอเหมือนกัน นี่ยิ่งทำให้ความสงสัยของคนส่วนมากหายไป บางคนถึงขนาดบอกว่าความจริงแล้วยามีรสชาติทั้งหอมและหวาน แต่ที่ต้องทำให้มันมีรสขมก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ใช่คนเอามันไปกินเล่น
และหลังจากที่ปีศาจเปิดฉากบุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ยาเม็ดสีขาวนี้ก็กลายเป็นที่ต้องการของทหารทุกคนทันที เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีตั้งแต่เช้าจรดเย็น โจเดลนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มียาชะลอนี้ ตัวเองจะสู้อยู่ในศึกที่แทบไม่มีเวลาได้หยุดพักเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงได้อย่างไร
ในฐานะที่เป็นนักล่าที่มีประสบการณ์โชกโชน เขาย่อมต้องรู้ว่าการสู้ด้วยสภาพที่สมบูรณ์กับการสู้ด้วยสภาพที่เหนื่อยล้ามันแตกต่างกันมากแค่ไหน
ขอเพียงกินแล้วไม่ตาย ไม่ว่าผลข้างเคียงจะหนักแค่ไหนเขาก็ยอมรับได้
…………………………………………………………..