ตอนที่ 1330 การต่อสู้ของแรงใจ โดย Ink Stone_Fantasy
กลับกลายเป็นฟาร์รีที่ปฏิเสธยานี้อย่างเด็ดขาดที่ดูเหมือนเป็นตัวประหลาด
แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายยังดูดีอยู่ โจเดลจึงไม่ได้คิดอะไรอีก บนสนามรบแม้แต่จะปกป้องตัวเองยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการเป็นห่วงคนอื่นเลย
วันนี้คือวันที่ 8 นับตั้งแต่ที่สงครามเริ่ม
เมื่อ 8 วันก่อนหน้านี้ แนวป้องกันของพวกเขายังอยู่ที่นอกเมืองกัสต์ ปืนและปืนใหญ่ที่ยิงสลับกันทำให้ปีศาจบุกเข้ามาได้อย่างยากลำบาก แต่เมื่อเวลาทอดออกไปนานขึ้น แต่ละด้านของแนวรบต่างก็มีร่องรอยของปีศาจปรากฏขึ้นมาให้เห็น ปีศาจกระดูกขนาดยักษ์เริ่มเข้ามาในพื้นที่ระหว่างเมืองกัสต์กับเมืองเมธัลสโตน ทำให้พื้นที่ที่มีการป้องกันที่อ่อนแอกลายเป็นพื้นที่หมอกแดง อัศวินอากาศพยายามที่จะหยุดมัน แต่ก็ไม่เป็นผล
ในตอนที่ปีศาจใช้ ‘อสูรยักษ์ป้อมปรากการ’ เหล่านี้โจมตีกระหนาบเข้ามาจากปีกทั้งสองข้าง ปืนใหญ่ก็เลยต้องทำการแยกกันโจมตี เมื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ใช่กองทัพถูกล้อม พวกเขาจึงต้องยิงไปแล้วก็ถอยไปยังแนวรบด้านหลัง
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม
ศัตรูบุกโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนสายน้ำ ทหารทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล เวลาพักผ่อนจากเวลาปกติก็ลดลงเหลือ 4 – 5 ชั่วโมง ถึงแม้ด้านหลังจะมีกองหนุนส่งมาอยู่หลายครั้ง แต่ความแตกต่างในด้านจำนวนก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน ทหารที่รบอยู่ในแนวหน้ามีอย่างมากก็ไม่เกิน 2,000 คน แต่ปีศาจที่บุกเข้ามานั้นมีมากกว่า 20,000 ตัว สัตว์อสูรบินอ้อมแนวป้องกันแล้วตรงไปยังเคจเมาเธ่น ถึงแม้จะมองไม่เห็นสถานการณ์ทางด้านนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าด้านหลังนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน
และเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ กองทัพที่อยู่แนวหน้าก็ได้รับคำสั่งให้ถอยเข้าไปในเมือง
ในขณะเดียวกัน การโจมตีทางด้านตะวันตกของพวกปีศาจก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าเมืองเมธัลสโตนที่อยู่ทางตะวันตกของกองทัพที่หนึ่งได้ตกอยู่ในมือของปีศาจแล้ว และตอนนี้ก็ถึงตาของพวกเขาแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ศัตรูก็ฝ่าแนวยิงเข้ามาได้เป็นครั้งแรก และทำการต่อสู้ระยะประชิดกับเหล่าทหาร
ในตอนนี้ สงครามครั้งนี้ได้กลายเป็นการต่อสู้ทางด้านแรงใจของทั้งสองฝ่าย
โจเดลทอดสายตาไปยังกำแพงเตี้ยๆ ที่พังพินาศที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ตอนนี้กำแพงที่อยู่นอกเมืองกัสต์ได้กลายเป็นรูพรุนหมดแล้ว ด้านบนกำแพงมีศพของปีศาจห้อยอยู่เต็มไปหมด เลือดที่ไหลออกมาย้อมกำแพงจนกลายเป็นสีน้ำเงินประหลาด
ช่วงตรงกลางระหว่างกำแพงกับแนวป้องกันนั้นเป็นเหมือนกับนรก ซากศพของทหารกับปีศาจนอนเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ซากศพครึ่งหนึ่งถูกหิมะกลบฝังเอาไว้ อีกครึ่งหนึ่งนอนแข็งอยู่กลางลมหนาว กลายเป็นรูปปั้นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากศัตรูบุกโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงไม่มีเวลาที่จะไปเก็บศพของเพื่อนทหารเหล่านั้
ทั้งสองข้างของถนนมีหอกกระดูกและเข็มหินปักอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับว่ามีหนามงอกออกมาจากพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น — ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ไปหลบอยู่ในหลบหลุมภัยที่แข็งแกร่ง ดังนั้นทุกครั้งที่มีหอกกระดูกหรือเข็มหินพุ่งตกลงมา เหล่าทหารที่แอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวบ้านและหลุมเพลาะต่างก็เหมือนกำลังจับฉลากชิงโชคกันอยู่ มีอยู่ครึ่งหนึ่งที่เข็มหินปักทะลุหลังคาลงมา ก่อนจะพุ่งลงมาปักพื้นห่างจากเขาไปไม่ถึง 1 เมตร ถ้ามันเอียงเข้ามาอีกนิดเดียว เขาคงได้ไปเฝ้าสามเทพแล้ว
โจเดลส่ายหัวสลัดความคิดที่ไม่ดีเหล่านี้ทิ้งไป ในตอนที่เผ่าของเขาตกอยู่ในอันตราย เขาเคยสวดอ้อนวอนต่อสามเทพมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมา ครั้งนี้ก็ย่อมไม่ใช่การปกป้องจากสามเทพแน่นอน
สุดท้ายเขาอาจจะต้องตายอยู่ที่เมืองต่างแดนนี้ แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เขาต้องทำให้ศัตรูมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเสียก่อน
ชีคเคยสัญญาเอาไว้ว่าจะตอบแทนทุกเผ่าที่ต่อสู้เพื่อชะตาชีวิตของมนุษย์
และนี่ก็เป็นเป้าหมายที่เขามาที่นี่!
“พวกมันมาแล้ว!” ฟาร์รีพูดเตือน
ไม่มีเสียงปืนใหญ่…แนวยิงปืนใหญ่เงียบเสียงไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มีคนบอกว่าพวกเขาโดนอสูรสยองลอบโจมตี บางคนก็บอกว่าพวกทหารปืนใหญ่ได้ย้ายที่ไปล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่ต้องพึ่งตัวเองในการรับมือกับศัตรูเท่านั้น
ปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่ยอดกำแพง!
ฝ่ายที่ลั่นไกออกมาเป็นคนแรกยังคงเป็นหน่วยปืนกล นอกจากปืนใหญ่ป้อมกัน เสียงปืนกลที่ดังต่อเนื่องนั้นเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดสำหรับเหล่าทหาร กระสุนที่พุ่งออกมาไปทำให้หิมะตรงกำแพงปลิ่วว่อนขึ้นมา ปีศาจตัวแรกที่ปีนกำแพงข้ามมาถูกยิงร่วงลงมาพอดี ส่วนปีศาจที่ตามหลังมาก็ถูกห่ากระสุนยิงเข้าไปใส่เหมือนกัน
ทางด้านตะวันตกและตะวันออกของเมืองมีเสียงปืนดังสนั่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการล้อมโจมตีที่ดุดันอีกครั้งหนึ่ง โจเดลไม่ได้ไปสนใจปีศาจที่พุ่งเข้ามาหากระสุนปืน หากแต่ทุ่มความสนใจไปที่ตรอกถนนที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมต หลังผ่านศึกปกป้องเมืองมาสามวัน ในตอนนี้เขาเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งแล้ว นั่นคือสถานที่ที่อันตรายที่สุดมักจะไม่ใช่จุดที่ปืนกระหน่ำยิงเข้าไป หากแต่เป็นหัวมุมถนนที่ดูเหมือนเงียบสงบเหล่านั้น
ในเวลานี้กองทัพที่หนึ่งไม่มีแนวป้องกันที่แน่นอนอีกแล้ว จากกองทหารได้แยกตัวกลายเป็นหน่วยเล็กๆ กระจัดกระจายไปยังบังเกอร์ที่อยู่รอบๆ
หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือหยุดไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้สิ่งก่อสร้างถาวร ซึ่งศัตรูนั้นอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ถึงแม้เขาอยากจะลงมือ แต่มันก็ยากที่เขาจะยิงให้ถูกเป้าหมายได้
ทันใดนั้นเอง ปีศาจจำนวน 5 – 6 ตัวได้ปรากฏขึ้นที่ด้านบนของหลังคาบ้านดินสองชั้น พวกมันเหมือนอยากจะใช้ประโยชน์จากหลังคาในการอ้อมพื้นที่ที่มีการกระหน่ำยิงอยู่ แต่การทำแบบนี้ทำให้พวกมันกลายเป็นเป้าของโจเดล
เขากลั้นหายใจ ก่อนจะเล็กเป้าไปยังปีศาจที่เดินอยู่ด้านหลังพร้อมเหนี่ยวไก
เป้าหมายร่วงตกลงมาพร้อมเสียงปืนที่ดังขึ้น
ฟาร์รีและเพื่อนอีกสองคนยิงตามขึ้นมา หลังคาไม้ที่เปราะบางรองรับาการเคลื่อนที่อย่างรุนแรงของปีศาจคุ้มคลั่งไม่ได้ การปีนป่ายอย่างช้าๆ ของพวกมันทำให้พวกมันกลายเป็นเป้าที่ดูสะดุดตา
“ทาง 4 นาฬิกา ทาง 4 นาฬิกาพบปีศาจจำนวนมาก!” ยังไม่ทันที่จะกำจัดปีศาจที่เล็ดรอดเข้ามาเหล่านี้ ชาวทะเลทรายคนหนึ่งที่อยู่ทางด้านหลังมันร้องอย่างตกใจออกมา “พวกเรามุ่งหน้ามาทางนี้!”
“ตรงนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง!” ฟาร์รีตะโกยเสียงดัง “พวกเจ้าไปจัดการอีกด้านหนึ่ง!”
โจเดลรีบหมุนปากกระบอกปืนแล้ววิ่งไปยังหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ถ้าถามว่าใครยิงแม่นที่สุดในหน่วย คนๆ นั้นย่อมต้องเป็นฟาร์รีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาบอกว่าสามารถกำจัดปีศาจที่เหลือได้ อย่างนั้นก็ต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
แต่เมื่อเห็นปีศาจนับร้อยตัวแห่เข้ามายังที่ๆ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ ภายในใจโจเดลยังคงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“บ้าเอ้ย หรือว่าเมื่อกี้เจ้าพวกนั้นมันกำลังหยั่งเชิงเราอยู่?” มีคนอุทานตกใจออกมา
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขารีบทำการตัดสินใจออกมาทันที “ทุกคนไม่ต้องประหยัดกระสุนอีกแล้ว กำจัดนศัตรูพวกนี้หมดแล้วให้ถอยไปทาง 6 นาฬิกา!”
ตรงหน้าต่างมีเสียงปืนดังแน่นขนัดขึ้นมาทันที ในนั้นมีอาวุธปืนยิงต่อเนื่องที่ถูกส่งมาใหม่ เมื่อเทียบกับเสียงคำรามของปืนกลแม็กซิมแล้ว เสียงของอาวุธปืนชนิดใหม่ที่ถูกเรียกว่าปืนกลเอนกประสงค์นี้ฟังดูเบากว่า แต่ในเรื่องความเร็วในการยิงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าปืนกลแม็กซิมเลย สิ่งเดียวที่ดอยกว่าคือแม็กกาซีนของมันบรรจุกระสุนได้แค่ 13 นัด ทำให้ความสามารถในการยิงสกัดของมันไม่อาจสู้ปืนกลแม็กซิมได้
แต่ศัตรูนั้นเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าบนยอดหอระฆังเล็กๆ นี้กลับมีความสามารถในการโจมตีที่รุนแรงขนาดนี้ ปีศาจนับร้อยตัวถูกกำจัดทิ้งไปมากกว่าครึ่ง ปีศาจที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างพากันชูหอกกระดูกขึ้นมา
“ระวังหอก!” โจเดลตะโกนเสียงดังพร้อมกับหมอบลงไปที่พื้น
หอกกระดูกจำนวนหลายสิบเล่มพุ่งออกไปเหมือนลูกธนู แค่พริบตาก็พุ่งเข้ามาไปบนยอดหอระฆัง!
“เป๊ง….!”
ระฆังเหล็กที่ถูกหอกกระดูกกระแทกส่งเสียงดังกังวลออกมา
ถ้าเป็นบนที่ราบ การโจมตีนี้เรียกได้ว่ายากที่จะหลบได้ แต่ความสูงที่ต่างกันของสถานที่ได้กลายเป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติให้พวกเขา ถึงแม้หอกกระดูกที่ปาขึ้นมาจากด้านล่างจะพุ่งทะลุหน้าต่างเข้ามา แต่มันก็ยากที่จะแทงถูกทหารที่หมอบอยู่บนพื้นได้ เสียงปืนหยุดไปเพียงครู่เดียวก็ดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่เหลือก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะบุกหรือจะถอยก็ล้วนแต่ทำได้ยากลำบาก
พวกเขากำจัดศัตรูกลุ่มนี้ได้อย่างสบายๆ
โจเดลรู้สึกโล่งใจ ภายในใจเองก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาได้ยินว่าปืนกลเอนกประสงค์นี้มีต้นทุนในการสร้างที่สูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังคงแจกจ่ายให้อัศวินอากาศไปใช้ก่อนด้วย ถ้าทหารที่อยู่แนวหน้ามีปืนแบบนี้ใช้กันคนละกระบอก ต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาบังเกอร์ ปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนของฟาร์รีดังขึ้นมา “แย่แล้ว รีบหนีออกไปจากที่นี่!”
เขางุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองทันที
ตรงกำแพงที่อยู่อีกด้านหนึ่งมีรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ปีศาจแมงมุมขนาดใหญ่ตัวหนึ่งปีนข้ามกำแพงมาพร้อมกับเปิดเกราะที่อยู่ตรงด้านหลัง เสาหินสีดำค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมา
เดี๋ยวๆ หรือว่าอีกฝ่ายกำลังเล็งมาที่พวกเขา?
โจเดลเงยหน้าขึ้นไป ระฆังที่ห้อยอยู่บนคานยังคงแกว่งเล็กน้อย
บ้าเอ้ย เสียงระฆังที่ดังขึ้นเมื่อกี้!
เขายกปืนแล้ววิ่งลงไปด้านล่างหอระฆัง
ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงยิงเบาๆ ดังขึ้นมา
“ตู้ม….”
ยังไม่ทันที่เขาจะวิ่งลงมาถึงชั้นหนึ่ง เสาหินสีดำขนาดใหญ่กว่าตัวคนก็ลอยเข้ามาปะทะเข้ากับหอระฆัง
เสียงกระแทกดังสนั่นขึ้นมา หอระฆังทั้งหอพังทลายลง!”
………………………………………………………….