ภาคที่ 5 บทที่ 64 เทพอสูรเขี้ยวขาว (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 64 เทพอสูรเขี้ยวขาว (2)

หงส์เพลิงก็คือหงส์ แต่ครานี้ซูเฉินผสมมันด้วยเพลิงทะมึนและปล่อยพลังเพลิงเงาออกมาเต็มที่ ส่งผลให้อำนาจโจมตีของหงส์เพลิงยิ่งสูงกว่าเก่า

เพลิงสีดำทะยานขึ้นฟ้า แฝงกลิ่นอายเยือกเย็นดูขัดแย้ง เปลวเพลิงยังไม่ทันเข้าใกล้ ฉู่ไหวเหลียงก็สั่นกลัวแล้ว

เขารู้ทันทีว่าหงส์เพลิงสีดำไม่อาจใช้ดาบแยกนภาต้านได้ ดังนั้นจึงแหงนหน้าคำราม ภาพเทพอสูรเบื้องหลังพุ่งเข้าร่างฉู่ไหวเหลียงก่อนจะหายไป ร่างเขาขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นสัตว์อสูรคล้ายมนุษย์ กลางหน้าผากมีเขายักษ์ กลายร่างเป็นเทพอสูรเขี้ยวขาว

การทำให้ภาพมายาจับต้องได้คือการสำแดงพลังขั้นสุดท้ายของสายเลือด

แก่นพลังชีวิตของฉู่ไหวเหลียงกลับอ่อนแอลงในร่างที่จับต้องได้นี้ แม้กลิ่นอายจะมาจากเทพอสูร แต่เรี่ยวแรงก็ยังมาจากร่างกายเขา

แม้ภาพมายาเทพอสูรจะหายไปแล้ว กลิ่นอายกดดันลดลง ฉู่ไหวเหลียงก็ยังรู้สึกว่าร่างกายตนแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

ในตอนนี้ เขาคือเทพอสูร !

แม้จะแสดงพลังออกมาได้เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนของเทพอสูร แต่ก็เกินพอกว่าใครอื่นจะต้านทานไหวแล้ว

ฉู่ไหวเหลียงคำรามแล้วปะทะหงส์เพลิงสีดำ ใช้ปากอสูรเอ่ยคำ “เจ้าควรรู้สึกเป็นเกียรติที่บีบให้ข้าต้องทำเช่นนี้ได้ แต่ความสามารถของเจ้าก็มาได้เท่านี้ล่ะ !”

ว่าจบก็ง้างกรงเล็บคว้าเพลิงสีดำ หักคอมันเหมือนไก่ตัวหนึ่งแล้วหัวเราะเยาะ “ไร้สาระ ! สายเลือดมนุษย์หรือ ? ต่อหน้าเลือดเทพอสูรเช่นข้าทุกสิ่งอย่างก็ไร้ประโยชน์ !”

เมื่อกำหมัด หงส์เพลิงก็สลายหายไป ทว่าเมื่อสะเก็ดเพลิงถูกร่างฉู่ไหวเหลียงก็เกิดเสียงฉ่า ทิ้งรอยสีดำไว้บนหนัง

“เพลิงเงา” ฉู่ไหวเหลียงมีประสบการณ์กับมันพอสมควรจึงรู้แก่นแท้ของเพลิงนี้ได้ “เพลิงเงามีพลังกัดกร่อนมาก ไม่แปลกที่สะเก็ดพวกนี้เจาะผ่านเกราะข้ามาได้ ข้าแปลงเป็นอสูรแล้วยังทำให้ข้าบาดเจ็บได้ ซูเฉิน เจ้าคงจะภูมิใจมาก แต่หนทางเจ้าต้องจบลงตรงนี้ ตอนนี้คงไร้วิชาใดแล้วละสิ ?”

“รู้ได้ยังไงกัน ?” ซูเฉินเยาะ

ฉู่ไหวเหลียงอึ้งไป “ยังมีอีกหรือ ? ไม่จริง ! เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้าใช้พลังทั้งหมดแล้ว !”

“ก็อาจไม่ใช่” ซูเฉินหัวเราะ “บางครั้งก็ใช้ของนอกกายเสริมให้แกร่งได้เหมือนกัน”

ฉู่ไหวเหลียงชะงัก จู่ ๆ ก็นึกบางอย่างออกแล้วร้องขึ้น “เทียนไขชีวิต ? เจ้าจะใช้เทียนไขชีวิต !”

ฉู่ไหวเหลียงเสียใจทันทีที่ตนลืมไปว่าซูเฉินมีของเช่นนั้นอยู่

จริง ๆ แล้วลืมยังไม่เท่าไหร่ ฉู่ไหวเหลียงเพียงแต่มั่นใจในกำลังตนเกิน เชื่อว่าแม้ซูเฉินจะมีเทียนไขชีวิตก็คงสู้ไม่ไหว อย่างไรเทียนไขชีวิตก็ใช้ช่วยคนและทำลายวิชาจำกัดเป็นสำคัญ ดังนั้นหากคู่ต่อสู้ไร้วิชาจำกัดที่ทรงพลัง เทียนไขชีวิตก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ อีกทั้งหากเขาโจมตีดุดันพอ ซูเฉินก็อาจไร้จังหวะใช้เทียนไขชีวิต

ไม่คิดว่าซูเฉินจะแกร่งถึงขนาดบีบให้เขาต้องใช้ร่างสัตว์อสูรได้

ฉู่ไหวเหลียงคงแย่แน่หากซูเฉินใช้เทียนไขชีวิตในตอนนี้

อีกทั้งซูเฉินยังไม่ได้มีเล่มเดียว แต่มีถึง 161 เล่ม !

ฉู่ไหวเหลียงคิดถึงจุดนี้ก็สลดใจนัก

เกิดคาดที่ซูเฉินตอบคำ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้เอาของพวกนั้นออกมาเล่นด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้มันจัดการเจ้าหรอก”

อะไรนะ ? ไม่ได้เอามาด้วย ?

ฉู่ไหวเหลียงดีใจในพลัน เช่นนี้ก็เยี่ยมสิ

แต่มีหรือซูเฉินจะไม่พกของสำคัญติดตัวมาด้วย ?

แต่หากจะบอกว่าไม่ได้วางแผนจะใช้ ฉู่ไหวเหลียงก็คงไม่เชื่อ อย่างมากก็คงเชื่อแค่ว่าซูเฉินทำเป็นใจดีมีเมตตา แต่พอถึงคราวคับขันก็นำมันมาใช้ ตราบใดที่ในหัวฉู่ไหวเหลียงยังมีความคิดเช่นนี้ ก็จะไม่ต่อสู้เต็มกำลัง คอยคิดเรื่องหลบหนีหรือล่าถอยอยู่ตลอด

หากคนอย่างฉู่ไหวเหลียงอยากหนี ซูเฉินก็ไม่มั่นใจว่าจะหยุดไว้ได้

ดังนั้นจึงจงใจบอกว่าไม่ได้นำเทียนไขชีวิตมาด้วย ฉู่ไหวเหลียงจะได้สบายใจขึ้น

อย่างไรเขาก็ไม่ได้ใช้พวกมันมาจนถึงตอนนี้อยู่แล้ว

ในมุมมองเขา แม้เทียนไขชีวิตจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่พลังที่มาจากตัวเอง แม้เขาจะใช้แรงสนับสนุนจากภายนอก แต่แรงสนับสนุนนั้นก็ยังมาจากพลังของเขาอยู่ดี

“แต่จะว่าไปแล้ว หากคอยใช้แรงสนับสนุนจากภายนอกอยู่ตลอดเวลาก็คงไม่นับว่าเป็นการโกง……” พูดจบ ซูเฉินก็หยิบขวดยาออกมากำจนแตก ร่างแยกซูเฉินเรา 7-8 ร่างปรากฏขึ้นบนฟ้า

ฉู่ไหวเหลียงชะงักไปชั่วครู่แล้วหัวเราะเสียงเย็น “แค่วิชาแยกร่างเองหรือ ? แค่เท่านี้ทำตามอำเภอใจไม่ได้หรอก ! จัดการมัน !”

เขาวาดแขน เกิดเป็นแสงสีขาวพุ่งออกมา ตัวริ้นดุร้ายขนาดใหญ่หลบซ่อนอยู่ในลำแสง พากันพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

ปกติแล้วเขี้ยวขาวสามารถให้กำเนิดและเลี้ยงดูตัวริ้นพวกนี้ได้ พวกมันดุร้ายกระหายเลือด อยู่รวมกันเป็นฝูง พุ่งเข้ามาแล้วถอยออกไปเป็นกลุ่ม

ฉู่ไหวเหลียงจึงมีตัวริ้นพวกนี้หลายฝูงเนื่องจากมีสายเลือดเขี้ยวขาว แม้จะไม่ทรงพลังเท่าเขี้ยวขาว แต่ฉู่ไหวเหลียงก็ใช้เลือดของเขาเองเลี้ยงดูพวกมัน ดังนั้นจึงมีพลังป้องกันสูงและสังหารได้ยาก นับเป็นของสำคัญในการใช้กับการต่อสู้ขนาดใหญ่

ฉู่ไหวเหลียงไม่เคยใช้วิชานี้ง่าย ๆ แต่เมื่อเห็นซูเฉินใช้วิชาร่างแยก เขาจึงตัดสินใจนำตัวริ้นมารับมือกับพวกร่างแยก

ซูเฉินคำรามใส่เหล่าริ้นที่บินพุ่งมาทางเขา ร่างแยก 7-8 คนเงื้อมือขึ้นพร้อมกัน เกิดเป็นหงส์เพลิง 7 ตัวในคราวเดียว

แม้จะมีเพียงร่างหลักที่สามารถสร้างหงส์เพลิงสีดำได้ แต่หงส์เพลิงเกิดขึ้นทีเดียว 7 ตัวก็นับว่าน่าตกใจไม่ใช่น้อย

ฉู่ไหวเหลียงตกใจมากร้องขึ้นในพลัน “คงจะเป็นภาพมายากระมัง ?”

พริบตาต่อมา หงส์เพลิงทั้งหมดบนฟ้าก็พุ่งลงมา เกิดเป็นริ้วเพลิงเข้าลามเลียฝูงริ้น

ตัวริ้นที่ถูกเลี้ยงมาด้วยเลือดของฉู่ไหวเหลียงดุร้ายมาก แต่ก็ไม่อาจป้องกันเปลวเพลิงที่โหมไหม้ได้ พวกมันกรีดร้องส่งเสียง เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

แต่มันก็กล้าหาญและไม่ล่าถอย แต่เปลวเพลิงจากหงส์เพลิงกินพื้นที่กว้างขวางมาก เพิ่มอุณหภูมิถึงขีดสุดจนแทบทนไม่ได้ สุดท้ายพวกมันก็ถูกเผาไหม้เป็นจุณทั้งที่ยังไม่ถูกตัวซูเฉิน

“เด็ก ๆ ของข้า !” ฉู่ไหวเหลียงร้องขึ้น ในใจโศกเศร้าเจ็บปวด

น่าเสียดายนัก ตัวริ้นที่เขาเลี้ยงดูมานับวันไม่ถ้วน รับใช้เขามาอย่างดีในอดีต พวกมันทั้งหมดตายในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่เหลือไข่ไว้สักตัว เขาจะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจได้อย่างไร ?

เขาไม่มีโอกาสได้ระบายความแค้นกับซูเฉินด้วยซ้ำ เพราะเพลิงคลั่งพุ่งเข้ามาใส่

การโจมตีผสานของหงส์เพลิง 7-8 ตัวไม่ใช่จะปกป้องกันได้ง่าย อีกทั้งหงส์เพลิงในตอนนี้ยังมีพลังมืดเข้าควบรวม บีบให้ฉู่ไหวเหลียงต้องใส่เต็มกำลังเพื่อปัดป้อง แท่นบงกชด้านหลังเปล่งแสงสว่างจ้า เกิดเป็นแท่นบงกชทั้ง 7 ในคราวเดียว ส่งพลังป้องกันมายังร่างกาย สายเลือดถูกเปิดใช้จนถึงขีดสุด ริ้วดาบเจิดจ้าเต็มท้องฟ้า เกิดเป็นดาบแยกนภาจำนวนมากที่พุ่งออกไปเกิดเป็นพายุสายฟ้า

“เขี้ยวขาวกรรโชก !” ฉู่ไหวเหลียงร้องลั่น

นับเป็นครั้งแรกที่เขาดึงไพ่ตายออกมาใช้ เขี้ยวขาวกรรโชกถูกนำมาใช้อย่างเต็มกำลัง แสงดาบตกกระทบลงบนภูเขาเบื้องล่าง ตวัดผ่านภูเขาหนาและศิลาจนพวกมันพากันไถลลงมาจากขอบเขา และทำให้ซูเฉินที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ จนหมดหลังจากถูกโจมตี

ร่างหลักของซูเฉินยังคงอยู่ แต่แล้วหงส์เพลิงสีดำอีกตัวก็ถูกซัดออกมา ไม่เพียงเท่านั้น แต่ใบหน้าทั้ง 4 เบื้องหลังเขายังหมุนวน เกิดเป็นลมแรงพัดเปลวเพลิงยิ่งโหมกระหน่ำ ทะเลเพลิงกลืนกินการโจมตีของฉู่ไหวเหลียงเข้าไปอีกครั้ง !

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” ในตอนนี้ ฉู่ไหวเหลียงตกใจมาก เบิกตากว้างแทบถลน

เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างใช้เต็มกำลัง ตอนนี้ไม่ได้ไปเทียบกันแค่วิชาแต่ยังเทียบกันด้วยแหล่งสะสมพลังงาน ฉู่ไหวเหลียงไม่คิดว่าพลังต้นกำเนิดของซูเฉินจะมีมหาศาลเช่นนี้ แม้หินพลังต้นกำเนิดจะทำให้ฟื้นพลังได้บ้าง แต่พวกเขาก็ใช้พลังมากเกินกว่าที่หินพลังจะฟื้นฟูให้ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเว้นจังหวะให้ได้ใช้หินพลังฟื้นฟู ในระดับเช่นนี้ ใครจะชนะไปตัดสินกันด้วยกำลังส่วนตัวล้วน ๆ

ฉู่ไหวเหลียงมีแท่นบงกช 7 ชั้น ใช้พลังทั้งหมดไปแล้ว ตอนนี้ซูเฉินก็สมควรจะหมดพลังเช่นกัน แต่ดูท่าซูเฉินยังดูมีกำลังเต็มเปี่ยม ฉู่ไหวเหลียงจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดเป็นเช่นนี้ ?!

เขาไม่รู้ว่าซูเฉินสร้างวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ขึ้นมา ไม่รู้ว่าพลังต้นกำเนิดของซูเฉินหนาแน่นกว่าคนธรรมดาถึง 7 เท่า ในตอนนี้ซูเฉินมีพลังต้นกำเนิดทั้งหมดมากกว่าฉู่ไหวเหลียงเสียอีก

เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสามารถใช้วิชาจิตได้อย่างไม่ต้องคิดมาก ไม่เช่นนั้นจะต่อกรกับคนมีสายเลือดเทพอสูรคงไม่ง่าย

ถึงตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงต่อสู้กันดุเดือด ฉู่ไหวเหลียงใช้พลังทั้งหมดในการคงเขี้ยวขาวกรรโชกไว้ ส่วนซูเฉินก็คงหงส์เพลิงสีดำไว้เช่นกัน แม้ความสามารถในการโจมตีของเขี้ยวขาวจะดุดันทรงพลัง แต่ความสามารถในการกัดกร่อนของเพลิงดำก็ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งคู่ยังบาดเจ็บอยู่เรื่อย เหลือเพียงว่าใครจะต้านทานได้นานกว่ากันเท่านั้น

ในเรื่องของพลังชีวิต เห็นได้ชัดว่าฉู่ไหวเหลียงด้อยกว่าซูเฉินมาก

ทว่าฉู่ไหวเหลียงก็ไม่ธรรมดา ย่อมต้องมีไพ่ตายเหลือไว้อีก เมื่อเห็นว่าซูเฉินจัดการไม่ง่าย ฉู่ไหวเหลียงจึงกัดฟันเอ่ย “ก็ได้ ต้องยอมรับเลยว่าเจ้าน่าประทับใจไม่น้อย น้อยคนนักที่จะสามารถมาถึงจุดที่เจ้ายืนอยู่ได้ด้วยกำลังของตน ข้าเองก็เอาชนะคนที่แกร่งกว่ามามาก แต่ตอนนี้มันกลับเกิดขึ้นกับข้าเองแล้ว ทว่ามันจะจบลงที่ตรงนี้ล่ะ !”

พูดจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา เป็นไข่มุกสีทอง

เมื่อมุกเม็ดนี้ปรากฏขึ้น มันก็หมุนตัวช้า ๆ แล้วดึงพลังของหงส์เพลิงสีดำมา ลดอำนาจทำลายล้างของมันลงอย่างมาก

“มุกดับเพลิง ?” ซูเฉินก็อึ้งไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาของเช่นนี้ออกมา

มุกดับเพลิงไม่ใช่ของหายาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสามารถใช้ดับเพลิงประเภทไหนได้ มุกดับเพลิงธรรมดาจะดับเพลิงจากหงส์เพลิงของเขาได้ยากมาก

ในเมื่อเม็ดที่ฉู่ไหวเหลียงถืออยู่สามารถทำให้เพลิงของเขาลดพลังลงได้ ก็หมายความว่ามันเป็นมุขที่มีคุณภาพสูงมาก

ที่ฉู่ไหวเหลียงเลี่ยงใช้มันเป็นเพราะเขาเชื่อว่าสามารถรับมือด้วยกำลังตนเองได้ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยไร้ท่าทีอ่อนล้า เขาจึงจำต้องเอาออกมาใช้ โดยเฉพาะเมื่อตัวเขาจะต้านทานไม่ไหวแล้ว

แต่ดูท่ากระทั่งไข่มุกก็ยังไม่อาจต้านทานเปลวเพลิงโหมกระหน่ำได้นาน มันเริ่มเกิดรอยแตกขึ้น

เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉู่ไหวเหลียงไม่อยากนำมันออกมาใช้ตั้งแต่แรก

ฉู่ไหวเหลียงไม่มีทางปล่อยให้ซูเฉินหนีไปได้เมื่อทำลายสมบัติล้ำค่าของเขาไปแล้วชิ้นหนึ่ง เขาคำรามขึ้น “มาดูกันว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป !”

ฉับพลันนั้นเกิดริ้วแสงสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ซูเฉินอีกครา !