ภาคที่ 5 บทที่ 63 เทพอสูรเขี้ยวขาว (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 63 เทพอสูรเขี้ยวขาว (1)

เมื่อฉู่ไหวเหลียงง้างกรงเล็บ ภาพอสูรมายาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง

มันเต็มไปด้วยขนสีดำ กลางหน้าผากคือเขาหนึ่งท่อน ด้านหลังปกคลุมไปด้วยหนามแหลม แค่ภาพมายาก็ใหญ่โตทั่วฟ้า ปลดปล่อยแรงกดดันอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เทพอสูรเขี้ยวขาว !

ทันทีที่ภาพลวงตาปรากฏ ฉู่ไหวเหลียงราวกับกลายเป็นเทพอสูร เริ่มคำรามเสียงเกรี้ยว ความหยิ่งผยองพองขนเต็มจิตใจ

กรงเล็บครานี้ทำลายภูเขาใกล้เคียงโดยง่าย แม้ธารน้ำไหลยังหยุดเมื่อถูกกรงเล็บ

ซูเฉินไม่อาจหลบหลีกกรงเล็บได้ วิชามายาก็หยุดไม่ได้ แต่ใช้ร่างฝืนรับยิ่งไม่ได้เช่นกัน

ซูเฉินเหยียดยิ้ม “เอาของดีออกมาใช้แล้วหรือ ? แต่คงไม่ใช่อย่างสุดท้ายหรอก”

“เท่านี้ก็พอจะสังหารเจ้าได้แล้ว !”

กรงเล็บเงื้อเข้ามาบดบังแสงตะวัน

ซูเฉินถือแหวนไร้แสงด้วยมือหนึ่ง โบกมือผ่านอากาศ เกิดเสียงกรีดร้อง ก่อนหงส์เพลิงจะกำเนิดขึ้นทันที

หงส์ตัวนี้ราวกับอาทิตย์สาดส่อง มันเหินขึ้นฟ้า คลื่นเพลิงพุ่งออกจากจะงอยปาก

กรงเล็บฉู่ไหวเหลียงถูกอำนาจไฟของหงส์เพลิงกำราบไว้ได้

หงส์เพลิงของเขาทรงพลังขึ้นมาหลังจากดูดซับผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกายประเภทไฟ ตอนนี้เมื่อมีแหวนไร้แสง จึงให้ผลมากขึ้นกว่าเก่า

นับเป็นครั้งแรกที่ฉู่ไหวเหลียงได้เห็นวิชาทรงพลังเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่วิชาสายเลือด หน้าตาหงส์เพลิงทำเอาเขาสะดุ้งนัก “เป็นไปได้ยังไง ? วิชาธรรมดาจะทรงพลังเช่นนี้ได้หรือ ?”

“ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด แต่พวกเจ้าล้วนอาศัยสายเลือดต่างแดนมาแย่งชิงความรุ่งโรจน์ เป็นหนทางสู่ความหายนะ วันนี้ข้าจะแสดงพลังที่แท้จริงของมเผ่ามนุษย์ให้ดู !” ซูเฉินตะโกนบอกแล้วก็ชี้นิ้ว หงส์เพลิงโหมกระหน่ำเข้าใส่ฉู่ไหวเหลียงในพลัน

ขณะเดียวกันซูเฉินก็ตวัดดาบหั่นภูผาออกไปอีกครั้ง

ฉู่ไหวเหลียงรู้มาตลอดว่าซูเฉินเก่งกาจ แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นนี้ การโจมตีของหงส์เพลิงและดาบหั่นภูผาน่าเกรงขามแม้จะเป็นวิชาไร้สายเลือดธรรมดาก็ตาม หากมีใครบอกว่าซูเฉินมีสายเลือดเทพอสูรเขาก็คงเชื่อได้ง่าย ๆ

ทว่าซูเฉินนั้นไร้สายเลือด เป็นสายเลือดมนุษย์แท้ พลังมาจากร่างกายมนุษย์ทั้งสิ้น

เป็นพลังจากร่างกายมนุษย์ !

แต่ฝึกตนให้แกร่งกล้าเช่นนี้ได้อย่างไร ?

ฉู่ไหวเหลียงไม่อยากเชื่อสายตา

ตระกูลสายเลือดชั้นสูงสามารถบ่มเพาะขั้นสูงขึ้นได้จากสายเลือด มีพลังต่อสู้มากกว่าคนไร้สายเลือดเป็นไหน ๆ

แต่ความคิดในอดีตทั้งหลายกลับค่อย ๆ ถูกการวิจัยอย่างต่อเนื่องของซูเฉินและฉือไคฮวงทำลายลงแล้ว

ถึงตอนนั้น ฉู่ไหวเหลียงจึงได้รู้ว่าผลกระทบที่ซูเฉินสร้างนั้นมีอิทธิพลกว่าที่เขาคิด ในเมื่อซูเฉินแกร่งเช่นนี้ คนอื่น ๆ ก็สามารถแกร่งได้เช่นกัน

อีกไม่นานตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็จะไร้ข้อได้เปรียบจากคนไร้สายเลือดแล้ว

เมื่อรู้ดังนั้น ในใจก็เกิดจิตสังหารดุร้ายในพลัน

แม้ตอนแรกจะมาเพื่อฆ่าซูเฉินอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กลัวหากล้มเหลว ทว่าตอนนี้แรงสังหารนั้นมาจากการที่ซูเฉินมีความสามารถเปลี่ยนทั้งใต้หล้าได้ ทั้งยังจะทำให้ตระกูลชั้นสูงต้องตกต่ำ

อย่างไรเขาก็ยอมรับไม่ได้

คนผู้นี้จำต้องตาย !

เมื่อไอสังหารสูงขึ้น ฉู่ไหวเหลียงก็ตะโกนลั่น “วันนี้จะมีแค่หนึ่งคนที่รอดไปได้ !”

พูดจบก็เปิดใช้สายเลือดขั้นสุด คลื่นพลังรุนแรงแผ่เป็นลอนออกจากร่าง ภาพเทพอสูรเบื้องหลังยิ่งหนาแน่น มันแหงนหน้าคำรามเสียงขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง

แต่ก่อน เขี้ยวขาวสามารถทำลายสิ่งกีดขวาง บ้าคลั่งได้อย่างอิสระ ไม่อาจมีสิ่งใดขวางได้ ราชวงศ์เทพสวรรค์ร่วมมือกับเผ่าอื่นเพื่อกำจัดมัน แต่สุดท้ายก็เสียหายสาหัสที่สุด พลังโจมตีของเจ้าอสูรช่างน่าทึ่ง แม้จะพึ่งพลังจากด่านมหาราชันหลายคนก็ยังไม่อาจต้านมันได้ ที่เอาชนะมันมาได้ก็มาจากการโต้กลับการโจมตี

ตอนนี้ตระกูลฉู่มีสายเลือดเขี้ยวขาว แม้จะไม่แกร่งเท่าเทพอสูรดั้งเดิม แต่แค่ภาพมายาก็ดึงพลังมาจนเลือดเดือดได้แล้ว ฉู่ไหวเหลียงยังใช้วิชาแก่นของสายเลือดตระกูลฉู่ ดาบแยกนภา !

วิชาแก่นสายเลือดมีมาแต่กำเนิดในสายเลือด นับเป็นรากฐานวิชาสายเลือดอื่น ๆ ที่จุดสูงสุดของรากฐาน ผู้ที่ปลุกสายเลือดตื่นขึ้นแล้วสามารถใช้พลังจากสายเลือดในหลายรูปแบบ ก่อให้เกิดวิชาที่ไม่เหมือนใครขึ้นมา

ซึ่งดาบแยกนภาของฉู่ไหวเหลียงเป็นวิชาแก่นสายเลือด หมายความว่าคนตระกูลฉู่ที่สายเลือดตื่นแล้วย่อมใช้ได้ แต่จะหาใครเชี่ยวชาญมันกว่าฉู่ไหวเหลียงคงมีไม่มาก

นับตั้งแต่สายเลือดตื่น เขาก็เลือกฝึกวิชานี้มาตลอด ดังนั้นมันจึงเรียบง่าย ดุดัน และยากจะป้องกันนัก

เขาใช้มือต่างดาบ ตวัดฟาดออกมา ริ้วสีขาวปะทะเข้าร่างหงส์เพลิง

หากดาบยังแยกฟ้าได้ หงส์เพลิงตัวน้อยจะไปเหลือหรือ ?

เสียงร้องของหงส์เพลิงสะบั้น ร่างแยกเป็นสองส่วน ภายใต้คมดาบทรงพลัง วิชาจิตไม่อาจคงอยู่ได้ สลายไปในที่สุด

“ดาบแยกนภา !” ซูเฉินก็รู้จักวิชานี้

ดาบแยกนภาตระกูลฉู่นับเป็นวิชาขึ้นชื่อ ฟันทุกอย่างขาด ซูเฉินได้ประสบเองแล้วว่านั่นก็รวมวิชาจิตด้วย จึงอดร้องชื่นชมออกมาไม่ได้

ใช่แล้ว ชื่นชม !

คู่ต่อสู้แกร่งเช่นนี้ถึงจะควรค่าแก่การประมือ พวกไก่อ่อนจะทำให้เขาดึงความสามารถเต็มที่ออกมาได้หรือ ?

ซูเฉินกูไม่สนที่ฉู่ไหวเหลียงทำลายวิชาจิตหงส์เพลิง กลับชมออกมา “ไม่เลว ! เป็นวิชาชั้นสูง เห็นคราเดียวจะพอได้ยังไง ? ต้องให้เจ้าแสดงให้อีกหลายคราจึงจะพอใจ !”

“ว่าไงนะ ?” ฉู่ไหวเหลียงได้ยินคำซูเฉินก็ตกใจ

ซูเฉินโบกแหวนไร้แสงอีก เกิดวิชาจิตหงส์เพลิงพุ่งออกมาอีกครา

เจ้าทำลาย ข้าก็สร้างได้อีก เมื่อพลังของซูเฉินสูงขึ้น วิชาจิตหงส์เพลิงก็กลายเป็นวิชาสำคัญยามต่อสู้ จึงไม่แปลกที่เขาจะใช้มันติดต่อกันรวดเร็วได้ แม้ฉู่ไหวเหลียงตวัดดาบคราเดียวทำลายลง ซูเฉินก็สร้างใหม่ได้เช่นกัน

หงส์เพลิงอีกตัวทะยานขึ้นฟ้า ร่างเพลิงดุดันกระโจนเหนือนภา

ฉู่ไหวเหลียงเห็นท่าทางซูเฉินสบาย ๆ ก็ตกตะลึง รู้ดีว่าเจอของยากเข้าเสียแล้ว ดาบแยกนภาถูกซัดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ซูเฉินก็โต้ด้วยหงส์เพลิงครั้งแล้วครั้งเล่ากลับมาเช่นกัน

ใครก็ตามที่ชมการต่อสู้จะได้เห็นเปลวไฟที่พลุ่งพล่านเป็นจังหวะและดับลง ถูกดาบคมทำลายหายสิ้น

เมื่อถูกดาบ ไฟก็หดหาย แต่เมื่อพลังดาบจางลง ไฟก็ลามดุดัน

เป็นเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง

ทั้งสองประมือกัน เดี๋ยวรุกเดี๋ยวถอย นัยน์ตาซูเฉินเริ่มเรืองแสงทองจาง ๆ เมื่อใช้เนตรมองโลกจุลภาคสังเกตฉู่ไหวเหลียงเคลื่อนพลังในร่างยามโจมตี หลังจากผ่านการต่อสู้ใหญ่ ณ ปราการสามเขาในแดนคนเถื่อน ความสามารถในการสังเกตก็เพิ่มขึ้นมาก หากต้องการ กระทั่งพลังในอากาศที่ไม่อาจมองเห็นเขาก็เห็นได้ แต่ซูเฉินยังไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่ควรค่าจะให้ใช้แรงมากมายเช่นนั้นมาก่อน

ฉู่ไหวเหลียงแกร่งพอให้เขาสังเกตการณ์ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่แกร่งกระทั่งซูเฉินต้องถึงขั้นใช้แต่การปัดป้อง ฉู่ไหวเหลียงมีสายเลือดเทพอสูร เหมาะจะให้ซูเฉินลองตรวจดูนัก ดังนั้นเขาจึงมุ่งแต่สังเกตฉู่ไหวเหลียง นับว่าไม่สู้เต็มกำลัง

ฉู่ไหวเหลียงไม่รู้เรื่องตาของซูเฉิน แต่รู้ได้ว่าซูเฉินกำลังใจลอย

ใจลอยอยู่ !

ต่อสู้ดุเดือดแล้วยังกล้าวอกแวกอีกหรือ ?

ลูบคมกันเหลือเกิน !

ฉู่ไหวเหลียงเกรี้ยวนัก ทันใดนั้นเขาก็เร่งจังหวะการโจมตี ปล่อยดาบแยกนภา 12 คราในพริบตา ทั่วฟ้าเต็มไปด้วยแสงขาวสว่างจ้า ราวกับเกิดรอยแยกนับสิบขึ้น

แม้หงส์เพลิงของซูเฉินตะเร็วมาก แต่ก็ยังช้ากว่าการโจมตีของฉู่ไหวเหลียง

ซูเฉินไม่หวั่นไหว แต่เตรียมใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายหลบหนี

ฉู่ไหวเหลียงเตรียมตัวเช่นกัน กระแทกฝ่ามือออกมา “เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น !”

ซูเฉินพลันรู้สึกว่าพลังสูญรอบกายหยุดขยับเคลื่อน เห็นว่าไม่อาจใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายได้

ไม่ เขาใช้ได้แล้ว แต่ระยะทางลดลงมาก กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นดาบแยกนภาได้

เมื่อมองดาบฟาดลงไปยังซูเฉิน ฉู่ไหวเหลียงก็คำรามลั่น “ตาย !”

“ไอ้หยา !” ซูเฉินถอนใจ “ทำไมถึงได้ใส่เต็มกำลังนัก ? ข้ายังดูไม่พอเลยนะ”

ถอนหายใจเสียดายแล้ว ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง

ในตอนนี้ ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดของเขาเปลี่ยนไปมาก มันยังมีรูปกายเป็นมนุษย์ แต่ล้อมด้วยพลังลมแรงที่ขยายไปรอบทิศทาง

“อะไรกัน ?” ฉู่ไหวเหลียงชะงักไป

นั่นมันสายเลือดหรือ ?

แต่หากเป็นสายเลือด แล้วกลิ่นอายสัตว์อสูรเล่า ? ดูจากท่าทีของซูเฉิน คงไม่ใช่ว่าใช้สายเลือดอันใดกระมัง

ไร้เหตุผลสิ้นดี !

ยังไม่ทันได้คาดเดาการเคลื่อนไหวซูเฉิน ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดก็พลันลืมตาขึ้น

พริบตานั้น แสงสว่างวาบวับทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น อากาศรอบกายราวกับจะกลั่นแน่น

ใช่แล้ว ฉู่ไหวเหลียงสามารถควบคุมพื้นที่โดยรอบได้ แล้วทำไมซูเฉินจะทำบ้างไม่ได้ ?

สุเมรุสูญเป็นวิชาหลักของฉือไคฮวง มันผูกมัดกาลและอากาศ ไม่ด้อยไปกว่าวิชาของฉู่ไหวเหลียง อ่อนกว่าเล็กน้อยเพราะไร้สายเลือดสนับสนุนก็เท่านั้น

แต่เมื่อซูเฉินใช้ลักษณ์เลือดต้นกำเนิด มันก็ทำหน้าที่เหมือนสายเลือดมนุษย์ สุเมรุสูญนับว่าได้รับพลังสนับสนุนขึ้นมาก

สุเมรุสูญถูกใช้ออกมาในจังหวะที่ลักษณ์หนึ่งในสี่ลืมตาขึ้น

ฉู่ไหวเหลียงรู้สึกจะตวัดดาบช่างยากเย็น แรงต้านยิ่งทำให้ท่าดาบช้าลงเรื่อย ๆ

ดาบแยกนภาแยกฟ้าได้ แต่ไม่อาจทำลายสุเมรุสูญ สุดท้ายชื่อก็เป็นเพียงชื่อ ส่วนมากวิชานั้นแกร่งเพียงหนึ่งส่วนของชื่อมันเท่านั้น

ความเร็วของดาบแยกนภาลดลงจากการถูกวิชาสุเมรุสูญ แม้จะไม่ได้หยุดไปทีเดียว ซูเฉินก็ซื้อเวลามาตอบโต้ได้ทันท่วงทีแล้ว

เขาหลบไปอย่างคล่องแคล่ว หลบคมดาบได้อย่างง่ายดาย “หากอยากสู้จริง ๆ ข้าก็ควรเอาจริงด้วยสินะ ?”

พูดจบ ปีกคู่หนึ่งก็งอกออกจากกลางหลัง

ฉู่ไหวเหลียงอึ้งไป ซูเฉินเป็นมนุษย์ แล้วปีกนั่นมาจากไหน ?

เมื่อซูเฉินสยายปีก หมู่เมฆโดยรอบก็บิดเบี้ยวรุนแรง บังเกิดเป็นพายุพัด ลมแรงนี้ไม่ใช่ผลจากการโจมตีของซูเฉิน เป็นเพียงการสำแดงพลังในปีกคู่นั้นต่างหาก

ลักษณ์ทั้งสี่ของซูเฉินมาจากการดูดซับสายเลือดวายุกรรโชก ฉะนั้นเมื่อสยายปีก พลังที่แท้จริงของลักษณ์ก็จะถูกใช้จนขีดสุด

ยามเมื่อเปิดใช้พลังจนเต็มที่ เงาร่างซูเฉินก็พุ่งออกไปพร้อมปีกที่กระพืออย่างรุนแรง

หงส์เพลิงอีกหนึ่งปรากฏ แต่ครั้งนี้เพลิงเป็นสีดำ พุ่งไปทางฉู่ไหวเหลียง