บทที่ 62 การมาถึงของตระกูลฉู่
หลังกลับตระกูลจู ซูเฉินก็เริ่มวิจัยสิ่งของเหล่านั้นอย่างละเอียด
อย่างที่ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า แหวนไร้แสงเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่โดดเด่นไม่น้อย เกี่ยวพันกับการนำพลังต้นกำเนิด ทำให้เข้ากับวิชาโบราณอาร์คาน่ามาก ผู้ใช้สามารถซัดวิชาที่รุนแรงกว่าออกมาได้
ดาบหั่นภูผาของซูเฉินไม่สามารถขยายวิชาจิตหงส์เพลิงได้มาก เพราะอาวุธกับวิชาเป็นสิ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อซูเฉินใช้แหวนไร้แสงปล่อยหงส์เพลิง พลังโจมตีก็สูงขึ้นมาก เมื่อรวมกับบ่อขุมพลัง วิชาจิตหงส์เพลิงก็แรงขึ้นเป็นสองเท่า
ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นสูงมาก เมื่อมีพื้นฐานพลังถึงระดับซูเฉิน การที่พลังสูงขึ้นเป็นสองเท่านับว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก
หากคนสองคนมีพลังโจมตี ป้องกัน และความว่องไวเท่ากัน การที่มีพลังโจมตีสูงขึ้นสองเท่าจะทำให้มีโอกาสสังหารศัตรูได้ด้วยการโจมตีแรงเพียงเกินครึ่งเล็กน้อยเท่านั้น ตามทฤษฎีแล้วทำให้แกร่งกว่าศัตรูถึงสองเท่า
หากพลังป้องกัน พลังชีวิต ระยะโจมตี และค่าอื่น ๆ คูณสองแล้ว ก็จะแกร่งเป็นสองเท่า คู่ต่อสู้มีแต่จะย่อยยับ
หากพลังโจมตีของเขาคูณสามหรือสี่ ซูเฉินก็จะสามารถกำจัดศัตรูที่มีด่านพลังเท่ากันได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้อุปกรณ์และวิชาอื่น ๆ ที่มียังทำให้เขายิ่งแกร่งกว่าคนระดับเดียวกัน ส่วนกี่เท่านั้น ตัวเขาก็บอกยาก คนด่านสู่พิสดาร มีระดับพลังที่แตกต่างกันมาก เช่นความต่างระหว่างสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลและสายเลือดอสูรกายก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
แต่อย่างน้อยซูเฉินก็ไม่จำเป็นต้องกลัวศัตรูจากตระกูลกู่ที่ปลุกสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลแล้ว
เคราะห์ร้ายที่หาคนมาประมือไม่ได้ จึงรู้สึกว่าน่าเสียดายอยู่บ้าง
แต่เป็นตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเสียววาบ แหงนมองฟ้าแล้วก็หัวเราะเสียงเย็น “เพิ่งคิดอยากมีคู่ประมือดูฝีมืออยู่หยก ๆ ดูเหมือนจะมีคนเสนอตัวมาเสียแล้ว”
พูดแล้วก็เหินร่างขึ้นฟ้า ทิ้งตระกูลจูไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ทิวเขากันดารอย่างรวดเร็ว
เขาเหินร่างออกจากเขตเมืองนภาลัยราบ แม้จะถึงเขตภูเขารกร้างแล้วก็ยังบินต่อไปเรื่อยจนร้องขึ้นว่า “เอาล่ะ ไม่มีคนแล้ว ไม่ต้องกลัวจะมีใครมายุ่งอีก ไม่ต้องหลบแล้วกระมัง ?”
เสียงหัวเราะอย่างร้ายกาจดังตอบกลับมา “เจ้านี่กล้านักซูเฉิน อย่าคิดว่ามีเทียนไขชีวิตแล้วจะทำตามอำเภอใจได้”
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
เป็นชายวัยกลางคน มีจอนบนใบหน้ายาว ทำให้เหมือนกับเป็นเซียน
ซูเฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องเทียนไขชีวิต “มาจากตระกูลฉู่นี่เอง !”
แม้จะตกลงกับตระกูลฉู่ได้แล้ว ซูเฉินก็ไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ แต่ข้อตกลงนั่นทำได้เพียงปลดป้ายลงจากแดนฝันหลังจากออกจากอาณาจักรภูผาสูญมาแล้วก็เท่านั้น
แม้ซูเฉินอาจจะซ่อนวิธีควบคุมคำสาปทั้งสามเอาไว้ที่อื่น ทว่าตระกูลฉู่ก็ได้ตรวจสอบมาแล้วว่าซูเฉินปลดประกาศลงแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงว่าจะทำตามข้อต่อรองอย่างเต็มที่ ถึงตอนนั้นหากพวกเขาไม่ส่งคนมาสังหารซูเฉินก็คงไม่ใช่ตระกูลฉู่แล้ว
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นปฏิปักษ์ส่วนตัว แต่เกี่ยวกับการคุมสถานการณ์ต่างหาก
เป็นเช่นนี้ ตระกูลฉู่จึงส่งผู้มีวิชาจำนวนมากเพื่อพลิกแผ่นดินหาที่อยู่ซูเฉิน
คนตรงหน้าซูเฉินในตอนนี้คงเป็นคนจากตระกูลฉู่แน่
น่าเสียดายที่พบซูเฉินแล้ว เป้าหมายก็รู้ตัวทันที หากซูเฉินไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนก็คงไม่สมกับเป็นเขาสักเท่าไหร่
ส่วนผลลัพธ์นั้น ซูเฉินจึงไล่ตามทันที เป้าหมายของเขาค่อนข้างระมัดระวังและเลือกที่จะหนีไปทันที รู้ดีว่าเมืองนภาลัยราบเป็นถิ่นซูเฉิน จนเหินร่างขึ้นไปนานแล้วจึงหยุดตอบคำ
ผู้โจมตีตอบกลับมา “ข้ามีนามว่าฉู่ไหวเหลียง จำนามของข้าไว้ให้ดี เพราะมันจะเป็นนามสุดท้ายที่เจ้าได้ยิน”
ซึ่งก็เด็ดเดี่ยวไม่น้อย เพราะว่าจบก็ออกท่าโจมตีทันที
ในเมื่อมาเพื่อฆ่า จะพูดมากไปไย ? เขาคิดแผนไว้นานแล้ว ไม่ว่าซูเฉินจะพูดอะไรเขาก็ไม่หวั่นไหวแน่
แต่การตอบรับของซูเฉินกลับทำเขาประหลาดใจ
ซูเฉินไม่เอ่ยเรื่องแผนหรือได้ซุกซ่อนวิธีแก้สามคำสาปไว้ที่อื่น แต่กลับต้องตาศัตรูนิ่งแล้วเอ่ยเสียงผิดหวัง “แค่ด่านสู่พิสดาร 7 แท่นบงกชเองหรือ ? หึ ไม่ใช่ด่านผลาญจิตวิญญาณด้วยซ้ำ”
“อะไรนะ ?” ฉู่ไหวเหลียงโกรธเกรี้ยว
อีกฝ่ายหาว่าเขาอ่อนแอเกินไป !
เหยียดหยามกันเหลือเกิน !
แค่การมีสายเลือดเทพอสูรก็ทำให้เขาเหนือกว่าคนอื่นไปมากโขแล้ว อีกทั้งเขายังแกร่งกว่าอีกฝ่าย 4 ขั้นย่อยอีก
ทันทีที่ถึง 3 แท่นบงกชก็ท้าประลองด่านผลาญจิตวิญญาณ เอาชนะด่านผลาญจิตวิญญาณ 12 คนหลังจากถึง 6 แท่นบงกช พอถึง 7 แท่นก็เอาชนะด่านผลาญจิตวิญญาณ 3 คนที่เปิดตำหนักเซียนได้ 2 ชั้นมาแล้ว หากเป็นด่านผลาญจิตวิญญาณที่มีตำหนักเซียนเพียงชั้นเดียว ก็มีแต่สายเลือดจักรพรรดิอสูรที่จะเอาชนะเขาได้
ถึงกระนั้นเขาก็สามารถต่อสู้ได้นานถึง 3 วัน
เรื่องเกิดขึ้น 3 ปีก่อน ตอนนี้ฉู่ไหวเหลียงถึงด่านสู่พิสดารขั้นสุด หากได้พบคนสายเลือดจักรพรรดิอสูรนั่นอีก ก็คงยากจะบอกว่าใครจะเอาชนะไปได้
ทว่าซูเฉินกลับกล้าเยาะเย้ยเขา หาว่ามีขั้นพลังต่ำต้อยเกินไปหรือ ?
เช่นนี้ยอมรับไม่ได้
“รนหาที่ตาย !” ฉู่ไหวเหลียงหน้าคว่ำทันที
พูดจย เมฆรอบกายก็เริ่มบิดเบี้ยว พลังรอบข้างเริ่มไหลเวียนมารวมรอบตัวฉู่ไหวเหลียง ดูน่าเกรงขามไม่น้อย
ซูเฉินรู้สึกเหมือนถูกส่งกลับไปยุคโบราณเมื่อคลื่นพลังรุนแรงถูกส่งมากดดันเขา
คลื่นพลังนี้มาจากสายเลือดของอีกฝ่าย ฉู่ไหวเหลียงถูกคำยั่วยุทำให้โกรธ เปิดใช้สายเลือดเต็มกำลังทันที คลื่นพลังเพียงอย่างเดียว ปกติก็มากพอจะโค่นด่านสู่พิสดารส่วนมากได้แล้ว
แต่ ‘ด่านสู่พิสดารส่วนมาก’ นั้นไม่รวมซูเฉิน
เมื่อสัมผัสพลังนี้ได้ซูเฉินก็ตาประกายวาบ
“สายเลือดเทพอสูร ? ในที่สุดก็พบสักที พูดตามตรง ข้ายังไม่เคยรับมือกับพลังจากเทพอสูรมาก่อนเลย !” ซูเฉินพึมพำ
แม้จะเคยประลองกับเจียงซีสุ่ย แต่ก็ไม่ใช่สู้เอาตาย ยังมีวิชาที่เขาไม่เคยลองอยู่อีกมาก
ที่สำคัญ ตอนนั้นทั้งคู่ยังอ่อนแออยู่
แต่ตอนนี้ซูเฉินมีโอกาสได้สัมผัสพลังอำนาจจากสายเลือดเทพอสูรอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว
ก็เป็นเทพอสูรนี่นะ !
แม้จะอ่อนแอกว่าเทพอสูรบรรพกาล แต่ก็ทรงพลังมากจนแค่มีพลังต้นกำเนิดน้อยหน่อยก็ทำให้ต้องจำศีลได้ ทว่าไม่เหมือนกับเทพอสูรบรรพกาลที่หลับแล้วตายไป เทพอสูรโบราณหลายตัวยังอยู่ เผ่ามนุษย์จึงยังได้สายเลือดเทพอสูรใหม่ ๆ มาเรื่อย
สุดท้ายซูเฉินก็ได้เผชิญหน้ากับหนึ่งในนั้นสักที
เมื่อสัมผัสพลังน่าเกรงขามของศัตรูได้ ซูเฉินก็ปล่อยกลิ่นอายตนตอกกลับไปเช่นกัน
ไม่เหมือนกับสายเลือดเทพอสูรของศัตรู แต่แหล่งพลังของซูเฉินบริสุทธิ์และกว้างกว่ามาก ไม่อาจอธิบายได้ ทำเอาคนอื่นเห็นแล้วพูดไม่ออก ราวกับร่างซูเฉินใหญ่ขึ้นไม่หยุด แต่ร่างจริงกลับไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างไร แต่เกิดเพราะกลิ่นอายและเจตจำนงแกร่งขึ้นจนจับต้องได้ พลังชีวิตพลุ่งพล่านเข้าปะทะแรงกดดันของฉู่ไหวเหลียง เหนือกว่าในบางส่วนด้วยซ้ำ
“เป็นไปได้อย่างไร ?” ฉู่ไหวเหลียงตกตะลึงเมื่อปะทะกันคราแรก
การเผชิญหน้าแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงพื้นฐานพลัง แต่ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตด้วย ด้วยมีสายเลือดเทพอสูร ฉู่ไหวเหลียงจึงไม่คิดว่าจะมีใครสู้เขาได้นอกจากคนตระกูลกู่ กระทั่งด่านผลาญจิตวิญญาณสายเลือดจักรพรรดิอสูรกายที่เอาชนะเขาไปได้อย่างหวุดหวิดครานั้นยังมีพลังชีวิตน้อยกว่า เอาชนะเขาไปได้จากการเปิดตำหนักเซียนเพิ่มพลังจิตขึ้นสูงเท่านั้น มีแต่ต้องพึ่งเจ้านั่นกับวิชาลับอีกสักหลายวิชา อีกฝ่ายจึงเอาชนะเขาไปได้
แต่ตอนนี้พลังชีวิตของซูเฉินกลับดูจะเหนือกว่า มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?
คนไร้สายเลือดจะแกร่งกว่าคนมีสายเลือดได้หรือ ?
ย่อมไม่ได้ !
แต่หลังซูเฉินดูดโทเทมแห่งพลังชีวิตไป แก่นพลังชีวิตก็สูงขึ้นจนประเมินไม่ได้ อีกทั้งเมื่อพื้นฐานพลังสูงขึ้น พลังชีวิตยิ่งสูงขึ้น ยิ่งดึงความสามารถของโทเทมแห่งพลังชีวิตของมาจนสุด ฉู่ไหวเหลียงที่ไม่รู้สาเหตุจึงตกใจเป็นยิ่งนัก
ซูเฉินก็ไม่คิดอธิบาย วาดมือขวาออกไปแล้ว ดาบหั่นภูผาก็พุ่งออกไปทันที
แม้จะมีแหวนไร้แสง แต่ซูเฉินก็ยังไม่ทิ้งดาบหั่นภูผา
ตัวดาบขยายใหญ่พลางตวัดออกไป ซัดลงมาทางฉู่ไหวเหลียง
ยามเมื่อตวัดลงมา ก็ก่อเกิดลมแรงพร้อมเสียงครวญเบา ๆ ฉู่ไหวเหลียงรู้ทันทีว่าหากโดนก็หายนะแน่
เขาไร้เวลาให้ตกใจอีก จึงกางมือออก ปรากฏดาบสีดำขึ้น เมื่อตวัดดาบออกไปก็เกิดแสงพุ่งออกจากปลายดาบ หยุดดาบหั่นภูผาไว้ ทั้งยังปัดกระเด็นไป จากนั้นก็พุ่งใส่ซูเฉินพร้อมกลิ่นอายคมกริบ
ท่าแทงร้ายกาจไม่ยั้งมือ คมขนาดทะลวงอากาศจนเกิดรูโหว่ได้ราวกับเป็นผ้าไหมผืนบาง
ซูเฉินคำรามเมื่อเห็นดาบวาดมา ร่างกายหายไปในพริบตา วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายส่งเขาไปด้านหลังฉู่ไหวเหลียง เปิดโอกาสออกท่าดาบอีกหนึ่งเข้าใส่
ทว่าฉู่ไหวเหลียงเหมือนจะเดาทางออก แท่นบงกชปรากฏขึ้นเบื้องหลัง หยุดดาบซูเฉินไว้ แสงจ้าส่องสว่างขึ้นเหนือศีรษะซูเฉิน
จนกระทั่งซูเฉินหายตัวและปรากฏตัวไปเป็นครั้งที่สอง ฉู่ไหวเหลียงจึงร้องตกใจ ด้วยไม่คิดว่าซูเฉินจะใช้วิชาเคลื่อนกายได้ติดต่อกันเร็วเช่นนั้น
กระแสแสงสีขาวพัดผ่านซูเฉิน แปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำสีเงินยาวที่วกกลับแล้วไล่ตามซูเฉิน ฉู่ไหวเหลียงพลันเอ่ย “ข้ารู้วิชาเจ้านานแล้ว ใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก”
แม้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายจะแปลกประหลาดเป็นวิชานอกรีต แต่คนระดับฉู่ไหวเหลียงก็รู้การเคลื่อนไหวซูเฉินโดยง่าย การใช้มันลอบโจมตีจึงไร้ประโยชน์
โชคดีที่ซูเฉินไม่คิดจะทำเช่นนั้น เขาหัวเราะตอบ “ข้าแค่จะดูว่าวิชาเก่ายังใช้ได้หรือไม่ อย่าเร่งรีบเลย ข้ายังมีเจ้านี่อีก”
เขาตวัดสายตาจจ้องฉู่ไหวเหลียง
จังหวะนั้นก็ใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา
ฉู่ไหวเหลียงรู้สึกใจสะดุ้งเฮือก หมู่เมฆรอบกายพลันเปลี่ยนเป็นภาพพร่ามัว เขารู้ทันทีว่าถูกวิชาลวงตาเข้าแล้ว แม้วิชาของซูเฉินจะทรงพลัง แต่จะหลอกผู้เชี่ยวชาญอย่างฉู่ไหวเหลียงโดยไม่รู้ตัวก็ยากนัก ฉู่ไหวเหลียงเปิดเกราะเมื่อรู้ทันทันที
การโจมตีของซูเฉินพลันซัดเข้ามา แต่เขาก็กางเกราะกันไว้ได้ทัน ไม่เพียงไม่บาดเจ็บ แต่แรงปะทะจากการโจมตียังปลดปล่อยเขาจากวิชาสรรพสิ่งลวงตาอีกด้วย
ฉู่ไหวเหลียงหัวเราะ “แม้วิชาจิตเจ้าจะแกร่ง แต่ก็ฉวยโอกาสยามศัตรูหยุดนิ่งไม่ได้ ใช้ได้แต่ทำให้ศัตรูล้าเล็กน้อยเท่านั้น นับว่าคุณภาพระดับกลาง ๆ”
ซูเฉินตอบเสียงเอื่อย “ข้าพัฒนาวิชานี้ขึ้นมาตอนอยู่ด่านกลั่นโลหิต ใช้ได้ผลกับเจ้าก็พอใจแล้ว อย่าห่วงเลย ต่อไปข้าจะพัฒนาวิชาที่แกร่งกว่านี้ขึ้นอีก”
“เจ้าไม่มีคำว่าต่อไปอีกแล้ว !” ฉู่ไหวเหลียงเอ่ยเสียงกรรโชกก่อนง้างกรงเล็บใส่ซูเฉิน