ภาคที่ 5 บทที่ 61 แก่น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 61 แก่น

“เฮ้อ !” ซูเฉินถอนใจ “นี่คือเรื่องราวของพวกเขา”

“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ เกินคาด เกินคาดจริง ๆ!” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ย เขาดูซาบซึ้งนัก

อย่างไรข้อความก็เป็นเพียงข้อความ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่เบื้องหลังการตื่นขึ้นของเทพอสูรบรรพกาล

ปัญญาประดิษฐ์ตัวแรกถูกสร้างขึ้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน ซูเฉินและผ้าเท่อลั่วเค่อถึงกับพูดไม่ออก

ความลับที่หุ่นเชิดสามารถรอดพ้นมาจนถึงตอนนี้เองก็ได้รับการเปิดเผยแล้ว ไม่ใช่เพราะมันเป็นสิ่งประดิษฐ์สุดอัศจรรย์ แต่เป็นเพราะเสี้ยวพลังของเทพอสูรบรรพกาลต่างหาก

เทพอสูรบรรพกาลตัวนี้ทรงพลังมากจนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็สามารถปกป้องหุ่นเชิดนี้มานับหมื่นปี ทำให้กาลเวลาไม่อาจกล้ำกราย

เห็นได้ชัดว่าหุ่นเชิดอยากส่งต่อเรื่องราวให้ชนรุ่นหลังมาก การค้นพบของซูเฉินทำให้การกระทำของซือปาเส้อไม่เสียเปล่า

เกราะป้องกันอ่อนลงเรื่อย ๆ สุดท้ายหน้าจอแสงก็หายไปจนหมด เหลือไว้เพียงร่างของหุ่นเชิดสื่อสาร

เพราะกาลเวลาไม่อาจทำอะไรหุ่นเชิดได้ มันจึงยังดูใหม่เอี่ยม แน่นอนว่าเทพอสูรบรรพกาลไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะผิวหนังถูกขุดออกไป เป็นเพียงคำลวงที่ถังน่าสร้างขึ้นเท่านั้น

“ดูเข้ากับท่านดีนะ” ซูเฉินเอ่ย

“แน่นอน !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตื่นเต้นนัก

จะไม่เหมาะได้อย่างไร ?

หุ่นเชิดนี้ใช้สองจิตควบคุมได้พร้อมกัน ถูกปรับร่างมาแล้วเพื่อการณ์นี้ ทำให้เป็นร่างที่เหมาะกับผ้าเท่อลั่วเค่อนัก แต่การย้ายร่างไม่ราบรื่นนัก แม้จะเป็นหุ่นโบราณจากยุคของผ้าเท่อลั่วเค่อเองก็ตาม

ครู่ต่อมา ผ้าเท่อลั่วเค่อก็ผสานเข้ากับหุ่นเชิด หุ่นเชิดเริ่มยืนขึ้น ข้อต่อส่งเสียง ดูเป็นกระบวนการเรียบง่ายนัก

“ฮ่า ๆ ในที่สุดก็มีร่างแล้ว !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตะโกนลั่น “น่าสนใจจริง ! ข้าสัมผัสถึงพลังชีวิตในร่างนี้ได้ด้วย”

“ท่านอาจคิดไปเอง ไม่ก็อาจเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ซือปาเส้อเหลือไว้ให้ก็ได้ ใครจะรู้” ซูเฉินยักไหล่ตอบ

“เจ้าจะไม่วิจัยดูหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่ออึ้งไป

ด้วยนิสัยซูเฉิน หากบอกให้แยกร่างผ้าเท่อลั่วเค่อเพื่อตรวจสอบดูยังไม่นับว่าแปลกด้วยซ้ำ

“มันเป็นร่างท่านแล้ว ข้าจะไม่ทำอะไรลูกน้องตนทั้งสิ้น แต่หากท่านเสนอตัวนั่นก็อีกเรื่อง” ซูเฉินตอบ

“ข้าชอบหลักการเจ้านะ” ผ้าเท่อลั่วเค่อลูบคางคิด “หากเจ้าไม่ทำร้ายร่างข้า เจ้าเอาไปใช้ก็ได้ แต่ก็มีข้อจำกัด หากได้รับของตอบแทนพอข้าก็ให้คุมร่างได้มากขึ้นเช่นกัน”

ซูเฉินหัวเราะ “ประโยคสุดท้ายสำคัญที่สุดกระมัง ? ท่านอยากได้อะไร ?”

“หลายอย่าง อย่างไรข้าก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่า มีเรื่องที่อยากวิจัยอยู่ ไม่จำเป็นต้องมาวิจัยซ้อนทับกับของเจ้า” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ย

เมื่อมีร่างแล้ว ผ้าเท่อลั่วเค่ออยากจะทำอะไรก็ย่อมได้

ซูเฉินทำวิจัยได้ ผ้าเท่อลั่วเค่อก็ทำได้เช่นกัน

ซูเฉินพอใจกับความคิดนี้

หนทางแห่งการวิจัยไม่ใช่คนเดียวจะทำได้ วิชาไร้สายเลือดเป็นผลจากความพยายามร่วมกันของฉือไคฮวงและซูเฉิน เพียงแต่ตัวซูเฉินเป็นคนได้รับคำสรรเสริญเท่านั้น หากมีผ้าเท่อลั่วเค่อมาเพิ่มย่อมเป็นเรื่องดี

“น่าเสียดายที่มันไม่ได้บอกที่อยู่ของแหวนไร้แสง” ซูเฉินเอ่ย

“อ้อ นั่นไม่เป็นปัญหา” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ย “จริง ๆ ข้ารู้ว่ามันอยู่ไหน”

พูดจบก็ยกแขนขึ้นซัดบัลลังก์ด้านหลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ แหวนธรรมดาวงหนึ่งปรากฏสู่สายตาซูเฉิน

“นั่นน่ะหรือแหวนไร้แสง ?” ซูเฉินชะงักไป

มันดูดาษดื่นไม่โดดเด่น ชื่อแหวนไร้แสงก็นับว่าเหมาะเหมือนกัน

ด้านหลังยังมีของอีกหลายชิ้นที่ซูเฉินไม่อาจระบุได้ แต่ผ้าเท่อลั่วเค่อเหลือบมองก็รู้ทันที “เปลือกเครื่องกลคังปาเต๋อ แก่นชีพวุ้นของหลุนปั๋วหล่าง อุปกรณ์ของเฟยเต๋อ แก่นจิตเฟยย่าน่า ผลึกวารีและศูนย์พลังงานของปี้เหอ มีของล้ำค่าไม่น้อย แต่ล้วนใช้สร้างหุ่นเชิดทั้งสิ้น แหวนไร้แสงนี่ก็เป็นของหุ่นเชิดอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าของพวกนี้จะเป็นสิ่งที่มันรวบรวมมาสร้างร่างใหม่”

ซือปาเส้ออยากสร้างร่างใหม่ให้ตนเอง แต่การค้นพบเทพอสูรบรรพกาลก็ทำให้ต้องล้มเลิกความคิดไป

ของที่อยู่ภายในอาจเป็นของที่เขาสามารถรวบรวมมาได้

แม้ซือปาเส้อจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะ แต่พอมีสตินึกรู้ก็กลายเป็นเห็นแก่ตัว สุดท้ายก็ไม่โยนของเหล่านี้ทิ้งไป แต่เก็บไว้ภายในบัลลังก์พร้อมกับแหวนไร้แสงเป็นที่ระลึกแทน

ซึ่งดีต่อซูเฉิน เพราะเกราะแสงนั่นทำให้ของไม่ถูกทำร้ายโดยกาลเวลา ยังสามารถนำมาใช้ได้

แต่เรื่องน่าตกใจที่แท้จริงยังไม่มาถึง

“สวรรค์ ! นี่มันแก่นเทพอสูรบรรพกาล !” ผ้าเท่อลั่วเค่อร้องขึ้น

เขายกผลึกแก้วสีทองขนาดเท่ากำปั้นขึ้น มันส่องแสงอยู่ในฝ่ามือ รูปทรงคล้ายกับหยดน้ำ

แก่นเทพอสูรบรรพกาลนั้นเป็นเสี้ยวหนึ่งจากผลึกแก้วต้นกำเนิด ผลึกแก้วต้นกำเนิดเทพอสูรบรรพกาลนั้นทรงพลังเกินไป จึงคงอยู่ได้ไม่นานนัก ส่วนมากจะสลายหายไปกับธรรมชาติ เหลือไว้เพียงเสี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้น โดยส่วนที่เหลือนั่นจึงกลายเป็นแก่นเทพอสูรบรรพกาล

การสกัดสายเลือดมังกรสุริยะของกู่โยวหวงก็ได้มาจากแก่นเลือดเทพอสูรบรรพกาลที่ผสมอยู่ในเสี้ยวผลึกแก้วนี้ ไม่เช่นนั้นสายเลือดมังกรสุริยะก็คงไม่ทรงพลังดังเดิม

อย่างไรแก่นก็สำคัญที่สุด สายเลือดนั้นรองลงมา

เสี้ยวผลึกตรงหน้านับว่ามีขนาดใหญ่มาก เหมือนเป็นของที่ซือปาเส้อเหลือไว้ก่อนตาย ถูกฝังไว้ใต้บัลลังก์เหมือนกับของชิ้นอื่น ทำให้ไม่สลายไปตามกาลเวลา

ซือปาเส้อไม่เคยบอกว่าจะทิ้งของเหล่านี้และแก่นผลึกของตนเองไว้ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าความนึกคิดของเขาในตอนนั้นเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ทำให้เฉินกับผ้าเท่อลั่วเค่อได้ประโยชน์มาอยู่ดี

“ครั้งนี้โชคหล่นใส่แล้ว !” ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะลั่น

“ใช่ แต่เหมือนจะยังเอามาใช่ไม่ได้” ซูเฉินพึมพำ

เมื่อของล้ำค่าเกินควร ก็มักดูใกล้เกินเอื้อม

ในหมู่ของ 6 ชิ้นที่ซูเฉินชิงมาจากวังจักรพรรดิอสูรกาย เขาไม่เคยใช้ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกาย เลือดเทพอสูร และโทเทมวิญญาณสายฟ้าเลย ส่วนนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา หญ้าต้นน้ำ และศิลาดนตรีแห่งสัจธรรมนั้นนำมาใช้ได้ง่าย นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาผลิตเม็ดทรายกาลเวลา ใช้สังเวยหรือต่อสู้ก็ได้ทั้งคู่ หญ้าต้นน้ำเปลี่ยนแดนนิกายไร้ขอบเขตให้กลายเป็นอุดมสมบูรณ์ ส่วนศิลาดนตรีแห่งสัจธรรมเองก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

แก่นเทพอสูรบรรพกาลล้ำค่ากว่าเลือดเทพอสูรเสียอีก คงใช้เวลาอีกหลายปีกว่าซูเฉินจะใช้มันได้

ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะ “กลัวว่าจะไม่ได้ใช้ของดีเหล่านี้หรือ ? เจ้าแค่ยังไม่ได้ลองวิจัยมันดูก็เท่านั้น”

ซึ่งก็ถูก ซูเฉินมุ่งเน้นแต่วิชาไร้สายเลือด และมุ่งไปด้านการพัฒนาวิชาต้นกำเนิดที่สามาถใช้ได้โดยไร้สายเลือดมาใช้ในการต่อสู้ ซึ่งสองสิ่งนี้สามารถส่งต่อได้ ซูเฉินทำเช่นนี้ก็เพราะการแพร่วิชาเหล่านี้ออกไปจะทำให้ได้เงินมามาก นำไปต่อยอดการวิจัยได้ ทั้งยังทำให้สานฝันเรื่องพาเผ่ามนุษย์สู่จุดสูงสุดได้อีก

แต่สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

อย่างแรก การทดลองเรื่องทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณเป็นไปได้ดีมาก อย่างไรการทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณก็เกี่ยวกับพลังจิตมากกว่า พลังจิตของมากพอจะสร้างรากฐานที่จำเป็นขึ้นได้ ดังนั้นจึงทะลวงได้ไม่ยาก เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น หากปล่อยวิชาที่เน้นการบ่มเพาะพลังจิตออกไป เช่น เคล็ดวิชาจิตแท้ ชี้แนะวิธีฝึกอีกสักหน่อย ก็จะมีคนสร้างวิชาไร้สายเลือดสำหรับด่านผลาญจิตวิญญาณโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรขึ้นมาเอง หมายความว่าเขาก็จะมีเวลาในมืออีกมาก

แม้แต่สถานการณ์รอบ ๆ การวิจัยของเขาในตอนนี้ยังแตกต่างกัน แต่ก่อนไม่มีใครรู้ตัวตนอวิ๋นฝูปา ซูเฉินหลบหลังหน้ากากไร้ตัวตน ปัญหาตามถึงตัวได้ยาก

แต่ตอนนี้ใครก็รู้ตัวตนเขากันทั่ว อาจมีหลายคนหมายสังหารหรือหยุดการวิจัยของเขา ซูเฉินจึงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งตน แม้จะแกร่งอยู่แล้ว แต่คู่ต่อสู้แกร่งกว่า ถึงตอนนี้ทรัพยากรที่เก็บไว้ก็ไม่สำคัญเท่าการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังแล้ว

อีกทั้งเขาไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป

ยังมีนิกายไร้ขอบเขตอยู่เบื้องหลัง

นิกายไร้ขอบเขตยังมีอนาคตอีกไกลรออยู่ แต่ก่อนจะเดินทางไปถึง ต้องผ่านความท้าทายและอุปสรรคทั้งหลายไปเสียก่อน

หากซูเฉินยังไม่อยากจากไปก่อนวัยอันควร ก็ต้องรีบเพิ่มพลังเสริมความแกร่ง และรับมือกับความรับผิดชอบจากการเป็นเจ้านิไร้ขอบเขตให้ได้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้ว่าตนเองต้องทำอะไร

“มันก็ถูก ตอนนี้ข้ารอแต่เผ่าปักษา ระหว่างรอก็หาวิธีเปลี่ยนของพวกนี้ไปเป็นความแกร่งข้าเองเลยเป็นไง ? ข้าจะไม่เป็นแบบใจสีเลือด ไม่เหลือของให้คนอื่นชิงเอาไปหรอก” ซูเฉินเอ่ย

“ต้องแบบนี้สิ” ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะพลางปรบมือ “บางสิ่งขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการหรือไม่ หามายากกว่าใช้ไปอยู่แล้ว ได้สมบัติมาอยู่ในมือจะไม่รู้วิธีใช้ได้อย่างไรกัน ? เจ้าแค่ไม่อยากใช้มันก็เท่านั้น”

“ท่านพูดถูก ใครใช้เงินไม่เป็นบ้าง ? สำคัญคือต้องใช้ให้เป็น ของเหล่านี้ต้องใช้เพื่อทำให้ข้าแกร่งขึ้นให้ได้” ซูเฉินเอ่ยมีความนัย

“เจ้าผลาญของพวกนี้หมดเมื่อไหร่คงต่อยกับด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้แล้ว” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ย

ปะทะกับด่านหยั่งรู้ฟ้าดินทั้งที่อยู่ด่านสู่พิสดารนับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นัก

แต่ซูเฉินดูไม่ใส่ใจอะไรมาก

เขาไม่เคยใส่ใจอะไรเช่นนี้ ไม่เคยเห็นคนด่านมหาราชันอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเลย

อายุขัยมีจำกัด แต่ความรู้มีไม่จำกัด

การไล่ตามเป้าหมายที่ไร้ขีดจำกัดด้วยร่างกายที่จำกัดนั้นเป็นความพยายามที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว !