สีหน้าของอแมนดัสเคร่งขรึมจนแทบจะมีหยุดน้ำไหล เหมือนกับงูพิษตัวหนึ่ง “คอบร้า บัญชีนี้ฉันจำเอาไว้ก่อน!”

คอบร้าหน้าเสียอย่างมาก เขาลูบไล้รูปปั้นทูตสวรรค์ในอ้อมแขน มีอยู่หลายครั้งที่อยากจะเอาออกมา แต่เขาก็อดกลั้นเอาไว้

พอลตะโกนด่า “คอบร้า นายยังจะซ่อนไว้อีกเหรอ?”

คอบร้าถลึงตาใส่พอล ตะคอกด้วยความโมโห “นายที่เป็นหมีโง่ จะไปเข้าใจอะไร! อย่าหลงกลเล่ห์เพทุบายของไอ้หมอนั่น!”

อาเธอร์เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ สายตาที่มองไปทางคอบร้าแฝงไปด้วยความหวาดกลัว จากนั้นพูดเสียงเข้ม “ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนการแข่งขันจะจบลง พวกเราคว้าอันดับหนึ่งไม่ได้ แต่ยังสามารถแย่งชิงอันดับสองได้!”

“พวกนายเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ พวกเราไม่อยู่ต่อแล้ว!”

พูดจบ อาเธอร์ก็พาอัศวินโต๊ะกลมที่เหลืออยู่ไม่กี่คน หันหลังเดินออกไป ดูท่าทางจะล่าสัตว์อสูรต่อไป!

อาร์คบิชอปชุดแดงถอนหายใจ เรียกแมลงปีกแข็งศักดิ์สิทธิ์กลับแล้วพูด “พวกเราก็ไปกันเถอะ!”

พอลมองคอบร้าอย่างเกลียดชัง กัดฟันตะคอกเสียงต่ำ “พวกเราไปกัน!”

สุดท้ายเป็นอแมนดัส ก็พาคนของตัวเองออกไป

เพียงแต่ทั้งสี่ประเทศเสียหายย่อยยับ ประเทศอเมกำลังพลลดลงอย่างหนัก เหลือเพียงสี่คน

หลังจากทุกคนออกไป ทันใดนั้นเฉินโม่เซไปเซมา พลังทิพย์ภายในร่างกายของเขาสูญเสียอย่างหนัก ถ้าหากคอบร้าใช้วิธีการสุดท้ายจริงๆ นั่นคงจะจัดการได้ยาก

จีอู๋หยารีบถามขึ้น “เฉินโม่ นายไม่เป็นไรนะ?”

เฉินโม่ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร พักสักครู่ก็หาย พวกเราย้ายที่กันเถอะ!”

“อืม!” จีอู๋หยาเก็บความสงสัยไว้ในใจ พาเฉินโม่มายังกลางป่าเล็กๆ

เฉินโม่มองจีอู๋หยาแล้วพูด “ฉันต้องเข้ากรรมฐานสักหน่อย ได้โปรดอย่ารบกวนฉัน”

“วางใจได้ พวกเราจะปกปักรักษาให้นาย!” จีอู๋หยาพูด

“รบกวนด้วย!” เฉินโม่พยักหน้า หลับตาเข้ากรรมฐานทันที

เวลาผ่านไปช้าๆ จีอู๋หยาและคนอื่นๆ เหมือนเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ เตรียมพร้อมรับมือกับข้าศึก เกรงกลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสโจมตี

เหลยจ้านพูดเสียงเบา “ตอนนี้ห่างจากการสิ้นสุด ยังมีเวลาอีกประมาณสิบชั่วโมง ฉันเห็นเมื่อครู่จำนวนแกนอสูรของแต่ละประเทศเริ่มเพิ่มขึ้นแล้ว พวกเรานำพวกเขาไม่ได้เยอะมาก อย่าถูกพวกเขาตามทันล่ะ!”

จางเจิ้นและคนอื่นๆ กระสับกระส่าย เซี่ยไห่หลงพูดเสนอข้อคิดเห็น “หรือว่าฉันอยู่ปกป้องเฉินโม่ พวกนายไปล่าสัตว์อสูรต่อ?”

จีอู๋หยาส่ายหน้า “ไม่ได้ ยากที่จะรับรองว่าพวกเขาจะไม่หันกลับมาโจมตี ทิ้งนายไว้คนเดียวฉันไม่วางใจ พวกเรานำประเทศอื่นอยู่ไม่น้อย ฉันดูแล้วเฉินโม่ใช้เวลาไม่นาน รอให้เขาตื่นก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!”

“อืม!” ทุกคนพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นเฉินโม่เป็นหัวใจสำคัญ

ในตอนที่เฉินโม่สู้กับยอดฝีมือสี่ประเทศ ภายในประเทศหัวเซี่ย ปรมาจารย์คนแรกเมื่อสามสิบปีที่แล้ว หนานกงหยู่ออกจากกรรมฐานแล้ว

หนานกงหยู่เพิ่งออกจากกรรมฐาน ก็รีบไปตระกูลเฉินที่แห่งหนานซูทันที

ตระกูลเฉินยังคงดื่มด่ำกับบรรยากาศเทศกาลตรุษจีนอยู่ ทุกคนชมเฉินโม่ไม่ขาดปาก แน่นอนว่าเฉินโม่ไม่อยู่ที่ตระกูลเฉิน เฉินจิงเย่จึงกลายเป็นเป้าหมายที่คนตระกูลเฉินดึงมาเป็นพวก

ตอนกลางวัน ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูตระกูลเฉินเงียบๆ

ชายชราคนนี้ ผมครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ดูไปแล้วเหมือนจะชุบชีวิตให้เป็นหนุ่ม

ทุกย่างก้าวที่ชายชราก้าวเดิน พื้นที่ภายในรัศมีสิบเมตรดูเหมือนจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย เขายืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับเหมือนว่าคนอื่นจะไม่รู้สึก เหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับโลกทั้งใบ

ชายชราเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยังประตูสีแดงชาดของตระกูลเฉิน ดวงตาล้ำลึก เหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิด

“หนานซูตระกูลเฉินก็คือที่นี่!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าประตูเป็นคนนั้นที่ทำให้เฉินจิงเย่ลำบากใจในวันนั้น เมื่อเห็นชายชราคนนี้เดินวนเวียนอยู่หน้าประตูตระกูลเฉิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อดกลั้นความโมโหไว้อยู่คิดว่าหาที่ระบายได้แล้ว