ดูเหมือนมู่หรงฉีจะมองเห็นตงหลิงหวง
ทว่าตงหลิงหวงกลับหันหลังและเร่งความเร็วเพื่อหลบหนี
อย่างไรก็ตาม ต่อให้นางจะเร่งความเร็วเพียงใดก็ไม่อาจเร็วกว่าม้าของมู่หรงฉี ชั่วพริบตา มู่หรงฉีก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง
เขากระโดดลงจากหลังม้าและคว้าร่างของตงหลิงหวง แววตาไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ได้
ตงหลิงหวงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างจากมู่หรงฉี นางพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของมู่หรงฉี ทว่าไม่อาจทำได้
“ฉีอ๋อง ท่านได้ล้ำเส้นพรมแดนแล้ว”
มู่หรงฉีเหลือบมองเส้นพรมแดนข้างหลังของตน
เขาข้ามเส้นพรมแดนมาแล้วจริงๆ ตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนของแคว้นตงเฉิน นี่เป็นข้อห้ามในการทำสงครามระหว่างสองทัพ
ทว่า แล้วจะเป็นอย่างไร?
เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าล้ำเส้นพรมแดน แล้วจะเป็นอย่างไรหรือ? ”
เห็นได้ชัดว่าตงหลิงหวงไม่คาดคิดว่ามู่หรงฉีจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ แววตาของนางแสดงออกถึงความตกใจเล็กน้อย ทว่าสามารถตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะแสดงท่าทางสงบนิ่งและไม่แยแสในตัวเขา
“ปล่อยมือ! ”
สีหน้าของมู่หรงฉีทั้งแข็งกร้าวและดื้อรั้น “ไม่ปล่อย! ”
“ปล่อยมือ! ”
“ไม่ปล่อย! ”
ดวงตาของตงหลิงหวงเปล่งประกายความเย้ยหยันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเสียดแทงหัวใจของมู่หรงฉียิ่งนัก
“ฉีอ๋อง ท่านโปรดอย่าลืมฐานะของท่าน ท่านเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหนานหลี ส่วนข้าเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉิน ระหว่างท่านกับข้าไม่มีประโยชน์ที่จะพัวพันกันเช่นนี้ แคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลีต่างทำสงครามแย่งชิงแผ่นดิน ไม่ช้าก็เร็วต้องมีการต่อสู้ระหว่างท่านกับข้า ไม่เป็นท่านที่ตาย ก็ต้องเป็นข้าที่ตาย”
“หวงเอ๋อร์ ข้าไม่มีวันทำ… อย่างแน่นอน”
มู่หรงฉียังไม่ทันพูดจบประโยค ตงหลิงหวงก็เอ่ยขัดจังหวะ
“อย่าพูดว่าเจ้าจะไม่มีวันหันคมกระบี่เผชิญหน้ากัน เจ้าสามารถอยู่เหนือเสด็จพ่อของเจ้าได้หรือ? เจ้าสามารถอยู่เหนือพวกแม่ทัพนายกองของแคว้นหนานหลีได้หรือ? ”
การต่อสู้แย่งชิงแผ่นดิน ไม่ใช่เพียงมู่หรงฉีเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสินใจ ทว่ายังมีมู่หรงอวิ๋นไห่ ยังมีเหล่าทหารสกุลมู่หรงที่ต่อสู้ในสนามรบ
นั่นไม่เพียงเป็นความปรารถนาของเชื้อพระวงศ์สกุลมู่หรงเท่านั้น ทว่ายังเป็นความต้องการของเหล่าผู้สละชีวิตและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย
ตงหลิงหวงจ้องไปที่ดวงตาทั้งคู่ของมู่หรงฉี รอให้มู่หรงฉีตอบคำถาม
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความดีใจของมู่หรงฉี ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม
ตงหลิงหวงให้คำตอบที่โหดร้ายแทนเขา
“เจ้าไม่สามารถ!
เพราะฉะนั้น ฉีอ๋อง ปล่อยมือเถิด! เจ้ากับข้ามีฐานะที่แตกต่างกัน พบกันในสนามรบจะเหมาะสมกว่า
หากพบกันในสนามรบอีกครั้ง ข้า ตงหลิงหวงจะไม่มีวันอ่อนข้อให้ท่าน ฉีอ๋องโปรดเคารพกระบี่ในมือของท่านด้วย”
ในฐานะจอมทัพที่ถือกระบี่ในมือ สิ่งที่ควรทำในสนามรบ คือการทำทุกวิถีทางเพื่อทะลวงกระบี่ที่อยู่ในมือไปที่หน้าอกของศัตรู ไม่ใช่ยอมจำนนเช่นนี้
มู่หรงฉียังคงตกตะลึง ตงหลิงหวงใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถดึงแขนของนางออกจากมือของมู่หรงฉี จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับไปโดยไม่เหลียวมองมู่หรงฉีอีกเลย
แสงจันทร์ยังคงสว่างไสว ดูเหมือนหิมะจะตกลงมามากยิ่งขึ้น ตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง
มู่หรงฉีเงยหน้าอย่างเชื่องช้า มองไปยังร่างซึ่งค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก แววตาของเขาปรากฏความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
ทันใดนั้น เขาก็รีบวิ่งไปกอดร่างของตงหลิงหวงจากด้านหลัง
เขากอดสตรีนางนั้นไว้ในอ้อมแขนแน่น และสอดมือเข้าไปในเรือนร่างของนาง
ตงหลิงหวงตกใจ นางพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้น แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำและกดดันของบุรุษผู้หนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง “อย่าขยับ! ”
อย่าขยับ ให้ข้าได้โอบกอดเจ้าเงียบๆ สักครู่
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
เดิมที เพื่อประโยชน์ของพวกเขาทั้งสอง และเพื่อให้สงครามระหว่างทั้งสองแคว้นดำเนินไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น นางควรพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อให้หลุดพ้นจากมู่หรงฉี
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อนางได้ยินน้ำเสียงอันลึกซึ้งและกดดันเช่นนี้ ราวกับนางสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ดิ้นรนและความเจ็บปวดภายในใจของบุรุษผู้นี้อย่างลึกซึ้ง นางจึงไม่เคลื่อนไหวอีก
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างไสว หิมะตกหนักยิ่งขึ้น ตกหนักเหมือนต้องการปกคลุมท้องฟ้าและแสงจันทร์ที่ทอประกาย
แสงสว่างโดยรอบบริเวณค่อยๆ จางลง
ทุกเวลา ทุกวินาทีผ่านไป นอกจากมู่หรงฉีจะกอดตงหลิงหวงแน่นมากยิ่งขึ้นแล้ว เขายังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวนางแม้แต่น้อย
ศีรษะของเขาฝังลึกลงไปบนหัวไหล่ของตงหลิงหวง ซุกใบหน้าไว้ที่ซอกคอของนาง
ใบหน้าของทั้งสองอยู่ในทิศทางตรงข้ามกัน ไม่สามารถสบสายตากันได้ นางไม่สามารถเห็นแววตาและการแสดงออกของเขา ทว่านางสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่หนักแน่นอย่างลึกซึ้งของบุรุษผู้หนึ่งที่เป่าพัดเส้นผมตรงต้นคอของนาง ปลุกเร้าหัวใจที่มั่นคงและไม่แยแสของนาง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดตงหลิงหวงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงทำลายบรรยากาศเงียบสงัดนี้
“ข้าเข้าใจเจตนาของท่าน ฉีอ๋อง ทว่าข้าขอแนะนำท่านด้วยความจริงใจสักคำ ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมาใส่ใจในตัวข้า
ด้วยฐานะของฉีอ๋อง ท่านจะขาดหญิงงามได้อย่างไร? เพียงท่านเอ่ยปาก หญิงงามในใต้หล้าต่างเข้ามาหาท่าน
ท่าน… ควรคิดอย่างมีสติหน่อยเถิด! ”
หลังจากตงหลิงหวงกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นจบ นางคิดว่าหากต้องการคำตอบจากมู่หรงฉีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คงต้องรอเป็นเวลานานอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าทันทีที่สิ้นเสียงพูดของนาง เสียงของมู่หรงฉีจะดังขึ้นที่ข้างใบหูอย่างชัดเจน
“เช่นนั้น เจ้าเล่า? ”
เจ้าเล่า?
เจ้าผลักไสข้าออกไป ให้ข้าคิดอย่างมีเหตุผลและไปหาสตรีอื่น แล้วเจ้าเล่า?
เหตุใดเจ้าจึงจิตใจโหดร้ายเช่นนี้?
หรือเจ้าโหดร้ายกับตนเองมากกว่าผู้อื่น?
ตงหลิงหวงตกตะลึงครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ข้ามีสถานะอย่างไร? ข้าเป็นรัชทายาทสตรีเพียงพระองค์เดียวของแคว้นตงเฉิน เป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ตงเฉินในอนาคต! ไม่มีบุรุษใดที่ไม่อยากอยู่เคียงข้างข้า รัชทายาทอย่างข้าจะขาดแคลนบุรุษเช่นนั้นหรือ? เรื่องนี้ฉีอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลแทนข้า! ”
“ใช่หรือ? ”
มู่หรงฉีข่มอารมณ์ทั้งหมดของตนไว้ และถามกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
หากเป็นในยามปกติ ตงหลิงหวงจะไม่ระแวดระวังและป้องกันตนเองมากนัก ทำให้นางพลาดในการสัมผัสถึงเสียงลมหายใจที่หนักแน่นผิดปกติของเขา
แน่นอนว่านางไม่มีทางเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความขุ่นเคืองลึกๆ ของมู่หรงฉี
ดังนั้น คำตอบของนางจึงตรงไปตรงมาและเด็ดขาดอย่างมาก
“ใช่! ข้า… ”
ก่อนที่นางจะพูดประโยคสุดท้ายจบ ทันใดนั้น มู่หรงฉีก็หันร่างกายของนางมาในทิศทางตรงกันข้าม
วินาทีต่อมา นางยังไม่ทันตระหนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ภาพที่อยู่ด้านหน้าพลันมืดดับ มู่หรงฉีประทับจุมพิตลงมาที่ริมฝีปากของนางอย่างดุดันและเร่าร้อน
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนัก ตงหลิงหวงก็รับรู้ได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นางพยายามดิ้นรน
มู่หรงฉีจับมือทั้งสองข้างของตงหลิงหวงไว้ข้างหลังแน่น
เพื่อหลบหลีก ตงหลิงหวงทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหลัง และก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งนางหลบหนีและดิ้นรนมากเท่าใด ริมฝีปากของมู่หรงฉีที่กำลังจุมพิตอย่างดูดดื่มก็ยิ่งรุนแรงเร่าร้อนมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งสองก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว จนกระทั่งแผ่นหลังของตงหลิงหวงกระแทกเข้ากับต้นไม้ นางขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดและส่งเสียงร้องออกมาเล็กน้อย
กลับไม่คาดคิดว่าจะเป็นโอกาสให้มู่หรงฉีสอดแทรกเข้ามาตามร่องฟัน ลึกเข้าไป…
ตงหลิงหวงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นางโบกมือสุดแรง พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ทว่าเมื่อเห็นความเจ็บปวดและความอดทนอย่างลึกซึ้งในดวงตาของมู่หรงฉีที่กำลังขาดสติ นางจึงสงบลงอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ หยุดดิ้นรนเพื่อให้มู่หรงฉีได้ทำทุกอย่างตามที่เขาปรารถนา
เมื่อสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของสตรี จังหวะการจูบของมู่หรงฉีจึงอ่อนโยนลงเช่นกัน ราวกับลูกแมวที่กำลังเลียก้อนชีส ลิ้มชิมรสชาติริมฝีปากสีแดงอิงเถาของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา