จากการแสดงออกของโยวอ๋อง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เลย
เป็นพระชายาของพวกเราที่คิดมากไปเอง
ต้องทราบว่า ในสายตาของโยวอ๋อง นอกจากซูจิ่นซีผู้เป็นชายาที่รักของเขาแล้ว เขาไม่เคยชายตามองสตรีใดในใต้หล้า
อืม ไม่ ยกเว้นเสด็จแม่ของเขา
ซึ่งวิญญาณทั้งสี่มองออกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิญญาณสีแดงชาด
นางคาดเดาความสงสัยของซูจิ่นซีได้พอสมควร จึงรีบแสดงความจริงใจอย่างรวดเร็ว
“เพียงท่านเซียนรับวิญญาณทั้งสี่ของเราไป วิญญาณทั้งสี่จะจงรักภักดีต่อท่านเซียนเพียงผู้เดียว หากไม่เป็นดั่งที่กล่าวไว้ ขอให้ดวงวิญญาณแตกสลาย ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกต่อไป”
ช่างเป็นคำสาบานที่โหดร้าย
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว คำสาบานเช่นนี้นับเป็นคำสาบานที่ทำลายล้างอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูจิ่นซีไม่ลังเลอีก “ตกลง ต่อไปเจ้าทั้งสี่ก็ติดตามข้าเถิด! ทว่าตอนนี้ร่างของข้าไม่สามารถรองรับพวกเจ้าได้ ดังนั้นจึงเหลืออาคมกำไลปี่อั้นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ต้องทำให้พวกเจ้าลำบากแล้ว ”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็ยกมือขึ้น และดึงวิญญาณทั้งสี่เข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น
ในเมื่อได้รับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์แล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่รอช้า นางเดินลงบันไดและก้าวออกจากตำหนักเทพหวงอินไปพร้อมกับเยี่ยโยวเหยาทันที
ชายแดนระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นตงเฉิน
สงครามดำเนินมาเกือบเดือนแล้ว ช่วงต้นฤดูหนาว หิมะแรกของปีตกลงมา
เมื่อวาน ท่ามกลางหิมะตกหนัก การต่อสู้ที่ดุเดือดกำลังดำเนินอยู่ ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ผลลัพธ์คือแคว้นหนานหลีเสียเปรียบเล็กน้อย
ภายในค่ายทหารมีเสียงโอดครวญของผู้บาดเจ็บ เสียงปลอบโยนของทหารที่ดังออกมาเป็นครั้งคราว และเสียงฝีเท้าของหมอทหารที่รีบเร่งรักษาผู้บาดเจ็บ
มู่หรงฉีสวมชุดเกราะหนักสีเงิน ค่อยๆ เดินออกจากค่ายทหาร ทันใดนั้น ท่ามกลางแสงจันทร์ โลหะหนักอึ้งส่องแสงสว่างเป็นประกาย แลดูสะดุดตาอย่างมาก
เขาค่อย ๆ เดินออกจากค่ายไปสองสามร้อยเมตร มองไกลออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
แสงจันทร์สาดส่องบนทุ่งหิมะสีขาวโพลนตรงหน้า นอกจากความสว่างของแสงจันทร์และหิมะแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนสังเกตอย่างถี่ถ้วน ก็จะรู้ว่าสายตาของมู่หรงฉีมองไปยังค่ายทหารของศัตรู ทั้งยังเป็นทิศทางค่ายทหารของศัตรูที่ตงหลิงหวงเป็นผู้บัญชาการ
มู่หรงฉีค่อยๆ สอดมือเข้าไปในอกเสื้อของตนเอง และหยิบปิ่นปักผมออกมา
ปิ่นปักผมเคลือบด้วยชั้นเงิน ด้านบนสุดของปิ่นเป็นรูปหงส์ขนาดเล็ก มันไม่ใช่ปิ่นปักผมที่หรูหราอันใดมากนัก ทว่ามีความเลอค่าปรากฏอยู่ภายใน
หากใช้ปิ่นปักผมลักษณะเช่นนี้เป็นเวลานาน ก็จะมีคราบเก่าตามรอยแกะสลักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าปิ่นปักผมนี้กลับสะอาดและเป็นมันเงา มองครั้งแรกก็รู้แน่ชัดว่ามันได้รับการทำความสะอาดและเช็ดโดยเจ้าของมาเป็นเวลานาน
และเจ้าของปิ่นปักผมที่แท้จริงไม่ใช่มู่หรงฉี แต่คือตงหลิงหวง
ในวันนั้นที่ทั้งสองคนกระทำภารกิจส่วนตัวอยู่ในห้องลับของจวนฉีอ๋องแคว้นหนานหลี หลังจากเหตุการณ์นั้น ตงหลิงหวงได้ทิ้งปิ่นปักผมไว้
ขณะเดียวกัน ภายในกระโจมของตงหลิงหวงในค่ายทหารแคว้นตงเฉิน
ตงหลิงหวงถอดเครื่องแบบของนางออกแล้ว จากนั้นจึงสวมชุดสามัญชนสีน้ำเงิน นางกำลังศึกษาสถานการณ์ศึกและชัยภูมิด้านสงครามอยู่หน้าแผนที่ชัยภูมิทรายจำลอง
อู๋ซวงเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของตงหลิงหวง นางยังสวมเครื่องแบบทหารกล้าคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ภายในค่ายของตงหลิงหวง
อู๋ซวงเติมถ่านลงในเตาอั้งโล่ และหยิบเสื้อคลุมสีขาวหิมะมาคลุมร่างของตงหลิงหวง
“องค์รัชทายาท ข้างนอกหิมะกำลังตก ระวังเป็นไข้หวัดนะเพคะ”
หิมะตกอีกแล้วหรือ?
ตงหลิงหวงที่ถือธงขนาดเล็กไว้ในมือพลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังปักธงลงบนแผนที่ชัยภูมิทรายจำลอง นางหันศีรษะเหลือบมองไปที่ม่านหนา ก่อนจะรีบวางธงเล็กในมือลงบนแผนที่ชัยภูมิทรายจำลอง จากนั้นจึงกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น และค่อยๆ เดินออกจากประตู
ด้านนอกหิมะเริ่มตกอีกครั้งจริงๆ ทว่าไม่ได้ตกหนักมากนัก ทั้งยังมีแสงจันทร์
ดวงจันทร์ส่องสว่างและหิมะสีขาวบริสุทธิ์
ท่ามกลางแสงจันทร์เจิดจ้า เกล็ดหิมะโปรยปรายราวกับหิ่งห้อย
นางจำได้ว่าวันนั้นก็เหมือนกับคืนนี้ เป็นค่ำคืนที่แสงจันทร์สว่างไสว และเกล็ดหิมะโปรยปราย
กองทัพแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลีต่อสู้กันตลอดทั้งวัน
นางเผชิญหน้ากับชายผู้นั้นแบบตัวต่อตัวมาตลอดทั้งวัน
นางร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด “มู่หรงฉี หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายจริงก็ชักอาวุธออกมาเถิด เจ้ากับข้ามาต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ระหว่างแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลี ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่ช้าก็เร็วต้องตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะอยู่แล้ว”
บุรุษผู้นั้นพูดหลายต่อหลายครั้งว่า “ระหว่างข้ากับสตรีผู้เป็นที่รัก ไม่จำเป็นต้องตัดสินแพ้ชนะ หากข้าเป็นผู้แพ้แล้วจะเป็นอย่างไร หวงเอ๋อร์ ข้าไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเจ้าด้วยกระบี่”
หวงเอ๋อร์ ข้าไม่ต้องการหันคมกระบี่เข้าหาเจ้า…
หวงเอ๋อร์ ข้าไม่ต้องการหันคมกระบี่เข้าหาเจ้า…
หวงเอ๋อร์ ข้าไม่ต้องการหันคมกระบี่เข้าหาเจ้า…
เสียงของบุรุษในค่ำคืนนั้นยังดังก้องอยู่ในหูของนางตลอดเวลา
เกล็ดหิมะโปรยปรายท่ามกลางแสงจันทร์ กอปรกับลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามา ทำให้ร่างกายเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
ตงหลิงหวงกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นและก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
“รัชทายาท พระองค์จะเสด็จไปที่ใด” อู๋ซวงรียเอ่ยถาม
“อย่าตามมา! ” ตงหลิงหวงพูดแผ่วเบาและเดินหน้าต่อ
อู๋ซวงรีบเข้าไปในกระโจม นางหยิบร่มแล้ววิ่งตามไปถือร่มกำบังศีรษะให้ตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงยื่นมือไปหยิบร่มโดยไม่พูดสิ่งใด
อู๋ซวงยืนเม้มริมฝีปากอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังของตงหลิงหวงที่เดินอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปรายเป็นเวลานาน
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่มีหิมะโปรยปราย ก้าวย่างของตงหลิงหวงเริ่มช้าลงและมั่นคงมากยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่านางเดินมาถึงชายแดนระหว่างกองทัพทั้งสองตั้งแต่เมื่อใด
ด้านหน้าเป็นป่าทึบ ผ่านป่าทึบนี้ไปไม่ไกลนักก็เป็นพรมแดนของกองทัพแคว้นหนานหลี
แววตาของตงหลิงหวงปรากฏความตกตะลึงเล็กน้อย นางอดหันไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ได้
ทางนั้นเป็นทิศที่ตั้งของค่ายทหารแคว้นหนานหลี และอาจเป็นทิศที่เจาะจงไปยังกระโจมของมู่หรงฉี จอมทัพแห่งแคว้นหนานหลี
มู่หรงฉี ตอนนี้เขากำลังทำอันใดอยู่?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ภาพความสัมพันธ์อันลึกซึ้งน่าหลงใหลระหว่างนางกับมู่หรงฉีในห้องลับของจวนฉีอ๋องก็ปรากฏขึ้นในหัว
“ข้าให้คำสัตย์ ชีวิตนี้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะเผชิญหน้าไปด้วยกันกับเจ้า ไม่มีวันปล่อยมือเจ้า และจะรับผิดชอบเจ้าชั่วชีวิต”
“หวงเอ๋อร์ พวกเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องมีชีวิตรอด! ”
หลังจากนั้น นางยังนึกถึงภาพที่มู่หรงฉีนำกองทหารของเขาไล่ตามมาถึงบริเวณชายแดน
“สตรีเมื่อเสร็จกิจก็คิดหนี ไม่ผิดศีลธรรมไปหน่อยหรือ? ”
“ศีลธรรมคืออันใด ช่างน่าขันยิ่งนัก รัชทายาทอย่างข้าก็แค่รักใคร่ชอบพอบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น ยังต้องมีศีลธรรมด้วยหรือ? ”
เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาไม่หวาดกลัวของเขา เห็นความเด็ดขาดและไร้ความรู้สึกของเขา แม้เขาจะแสดงท่าทีเคร่งขรึม ทว่าใบหน้าที่เศร้าหมองนั้นแทบจะร้องไห้ออกมา
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ตงหลิงหวงก็อดเผยรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากไม่ได้ แม้แต่นางเองก็ไม่รู้สึกตัว
รอยยิ้มนั้นราวกับบัวหิมะใต้ภูเขาน้ำแข็งที่ค่อยๆ ผลิบาน ทำให้ผู้คนหลงใหล…
นางเป็นสตรีที่มีความรักหวนแหนชาติบ้านเมือง อย่างที่ในหลายราชวงศ์ไม่เคยมีมาก่อนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อนางได้สติ รอยยิ้มนั้นก็หยุดนิ่งบนใบหน้า ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปราวกับหิมะที่กำลังละลาย และรวมตัวกันอีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มที่งดงามนั้นได้กลายเป็นน้ำค้างแข็ง
ดวงตาดำขลับสุกสกาวทอดสายตาออกไปทางค่ายของบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
แววตาสุดท้ายเป็นแววตาที่สว่างไสว สงบ และเรียบเฉย…
ตงหลิงหวงค่อยๆ หันหลังและเดินกลับไป
อย่างไรก็ตาม นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทางด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น
ตงหลิงหวงหันกลับมาตามเสียงนั้น และตกใจเมื่อเห็นว่าในป่าลึกเข้าไป ท่ามกลางหิมะโปรยปราย บุรุษที่นางคุ้นเคย เขาสวมเสื้อคลุมสีดำปลิวไสวและกำลังขี่ม้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
มู่หรงฉี…
นี่นางกำลังฝันอยู่หรือ?