GGS:บทที่ 966 ตกตะลึง
“นี่ผมไม่ได้พูดเล่นๆกับคุณนะ โรงพยาบาลของผมเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองนี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้มันเกือบจะต้องปิดตัวลง แม้แต่ตอนนี้เองผมก็ทำได้เพียงยื้อเอาไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือภาครัฐเท่านั้น
เมื่อเกิดเรื่องแล้วทำให้หุ้นของโรงพยาบาลตกลงจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนะ หากคุณแพ้แล้วคุณยังคิดจะซื้อหุ้นโรงพยาบาลของผมอีกเหรอ” ลูฉินหมิงได้ทำการอธิบายเรื่องราวความจริงทั้งหมดออกมา จะว่าลองเชิงก็ไม่ใช่ จะว่ากวนกลับก็ไม่เชิง ประหนึ่งดังไม่เชื่อในหูของตัวเองเสียมากกว่า
“ถ้างั้นล่ะก็ผมขอเปลี่ยนเป็นถ้าผมแพ้ผมขอซื้อโรงพยาบาลพร้อมทั้งหุ้นส่วนทั้งหมดก็แล้วกัน”
“เยี่ยม หากคุณว่ามาอย่างนี้ผมจะพนันกับคุณ” ลูฉินหมิงที่เห็นซูจิ้งดูไม่ค่อยแยแสกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่จึงได้ตอบรับการพนันแบบจริงจังในทันทีต่อให้ซูจิ้งเปลี่ยนของพนันเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าซูจิ้งจะไม่ทำตาม
ยังไงซะซูจิ้งนั้นคือคนรวย ไม่สิ เขาเป็นสุดยอดคนรวยของเมืองนี้ อย่าว่าแต่เงินสิบล้านหยวนเลย ร้อยล้านหยวนขนหน้าแข้งของเขาก็ไม่ล่วงอย่างแน่นอน
หากเขาได้เงินก้อนนี้มาล่ะก็ อย่าว่าแต่จะแก้ปัญหาทางการเงินของโรงพยาบาลเลย แม้แต่การพัฒนาโรงพยาบาลของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็ยังทำได้อย่างง่ายดาย และต่อให้ซูจิ้งแพ้เขาจริงเขาก็คิดว่าจะต้องสอนการแพทย์ให้กับซูจิ้งให้ได้อยู่ดี
ลูลู่ เสี่ยวรุย มู่ติง และคนอื่นๆเองเมื่อได้ยินต่างก็พูดอะไรกันไม่ออก ทำไมการตรวจสอบตำราแพทย์โบราณถึงกลายเป็นการพนันด้วยทรัพย์สินจำนวนหลายล้านหยวนกับการสอนการแพทย์ให้คนๆหนึ่งได้กัน และดูเหมือนจะหยุดไม่อยู่ทังคู่แล้วด้วย
“งั้นเราไปที่สถาบันโบราณคดีกันเลยดีไหมครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“หืม เลยเวลาทำการมาขนาดนี้แล้วพวกเขาจะยังทำงานอยู่อีกรึ” ลูฉินหมิงถามออกมาอย่างสงสัย
“อยู่ครับ ผมเพิ่งจะส่งข้อความไปถามคุณโจวที่ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยทางโบราณคดีเมื่อกี้นี้เอง” ซูจิ้งถามออกมา
“เยี่ยม งั้นไปกัน” ลูฉินหมิงเองก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป
ซูจิ้งได้นำลูฉินหมิงและภรรยาไปยังสถาบันวิจัยทางโบราณคดี ลูลู่ มู่ติง เสี่ยวรุย เซียงหลงและคนอื่นๆเองก็เลือกที่จะอยู่เล่นกันในงานต่อไป
เมื่อถึงเวลาสองทุ่มถึงแม้ทุกคนจะยังสนุกกันอยู่ แต่ในใจก็ยังรู้สึกสงสัยว่าผลการพนันของสุดยอดคนรวยแห่งเมืองกับเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนใหญ่แห่งเมืองจะเป็นอย่างไร
ในที่สุดทุกคนต่างก็ทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงได้โทรหาซูจิ้งและลูฉินหมิงเพื่อสอบถามผลการพนัน
ในตอนที่ทั้งซูจิ้ง ลูฉินหมิงและภรรยาไปถึงสถาบันวิจัยโบราณคดีนั้น โจวฉือเซียนที่คอยอยู่ก็แทบจะไปเปิดประตูรถให้เลยซะด้วยซ้ำ พร้อมถามออกมาว่า “คุณซู แล้วตำราแพทย์โบราณที่ว่านั่นล่ะ”
เอี๋ยป๋อที่ยังทำงานอยู่ที่นี่เองเมื่อได้ทราบข่าวจากคนอื่นในทีมที่กำลังยุ่งกับเตรียมตัวก็ได้รีบออกมารับเช่นเดียวกัน
หากเป็นสถานการณ์โดยทั่วไปแล้วเขาเองก็ไม่ได้สนใจตำราเล่มนี้อย่างแน่นอน
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขามีวัตถุโบราณมากมายที่ต้องตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศพห้าพันแปดร้อยปีและรูปปั้นแห่งเมืองแอตแลนติส จึงไม่แปลกที่เขาจะคาดหวังว่าซูจิ้งจะมีของสุดยอดโบราณมาให้พวกเขาตรวจสอบอีก
“นี่ครับ ช่วยผมตรวจสอบและยืนยันอายุของตำราเล่มนี้ให้ที่ว่ามีจากปีอะไรกันแน่ ตรวจสอบให้ถึ่ถ้วนนะครับเพราะว่าลุงลูเขาไม่เชื่อว่าตำราเล่มนี้เป็นของโบราณจริงๆ และคิดว่าคำพูดของผมอาจมีอะไรผิดพลาดไป”
ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมาก่อนจะหยิบตำราโบราณออกมาจากกระเป๋า
“นั่นก็พูดเกินไป แน่นอนว่าผมต้องเชื่อถือในตัวคุณโจวและคุณเอี้ยอยู่แล้ว” ลูฉินหมิงได้พูดออกมาอย่างหนักแน่เพระว่าเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของโจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อมานานแล้ว และนี่ก็ทำให้เขาเองรู้สึกเป็นเกียรติเหมือนกันที่ได้พบทั้งสองนี้ แน่นอนว่าเขาต้องเชื่อถือสองคนนี้มากกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเชื่ออยุ่ดีว่าการตรวจสอบในครั้งนี้จะกลายเป็นหลักฐานที่ช่วยให้เขาชนะพนันมากกว่า
“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ” โจวฉือเซียนรับตำราโบราณมาอย่างเบามือด้วยมือถือสวมถึงมือป้องกันไว้อย่างดี เขาถือตำราเล่มนี้ราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ และนำมันไปตรวจสอบในทันที
และในทันทีที่ผลการทดสอบออกมาทำให้ทุกคนที่รอดูผลการตรวจสอบเป็นบ้ากันไปหมด
“เป็นไปไม่ได้ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ” โจวฉือเซียนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“จริง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด” เอี้ยป๋อเองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน
“คุณโจวครับ คุณเอี้ยครับ อย่าว่าแต่คุณจะไม่อยากเชื่อเลย แม้แต่พวกผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคุณดีนะตอนที่รู้ผลทดสอบในตอนแรก พวกผมก็เพิ่งจะพูดเหมือนคุณไปนี่แหล่ะ”
เหล่าผู้ช่วยที่ได้ร่วมตรวจสอบเองก็ได้พูดออกมาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อเองนั้น ทั้งสองตกใจจนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคำพูดของทั้งคู่ที่อุทานออกมาเหมือนกันกับตอนที่ได้รับผลตวจสอบรูปปั้นแอตแลนติสและศพอายุห้าพันแปดร้อยปีไม่มีผิด
และในตอนนั้นเองพวกเขาก็ไม่เชื่อผลการทดสอบแบบนี้เหมือนกันในทีแรก แต่ไม่ว่าทดสอบซ้ำไปเท่าไหร่ผลก็ยังออกมาเหมือนเดิมอยู่ดี
และวิธีการทดสอบของสองสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นชาติไหนมาตรวจสอบก็ได้ผลไม่ต่างกัน นี่แสดงว่าไม่ใช่วิธีการทดสอบที่มีปัญหา
จนในที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องยอมรับผลการทดสอบของรูปปั้นแอตแลนติสและศำห้าพันแปดร้อยปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อนิ่งเงียบไปพักหนุ่งก่อนที่ทั้งคู่จะทดการทดสอบซ้ำ แต่ไม่ว่าจะทดสองซ้ำกี่ครั้ง หรือแม้แต่จะเปลี่ยนวิธีทดสอบ ผลการทดสอบนั้นล้วนออกมาที่จำนวนเพียงจำนวนเดียว และเป็นจำนวนที่โคตรจะไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย
“ตกลงว่านี่คือตำราแพทย์โบราณจริงๆเหรอ” ลูฉินหมิงที่เห็นทั้งคู่หน้าประหลาดใจออกมาเพื่อบอกผลนั้นได้รีบถามออกไปในทันทีอย่างไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
“….อย่าเรียกว่าโบราณดีกว่าครับ หากเรียกให้เหมาะสมควรจะเป็นยุคบรรพกาลมากกว่า หากว่าพวกเราไม่ได้ตรวจสอบผิดอะไรล่ะก็ตำรานี้สมควรจะอยู่ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นหรือไม่ก็ต้นยุคของช่วงสามราชันย์ห้ากษัตริย์เป็นแน่” โจวฉือเซียนพูดออกมาโดยพยายามเก็บอาการตื่นเต้นของตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนตัวเขาก็ยังสั่นไปมาด้วยความตื่นเต้นอยู่ดี
“เป็น….ไปได้ยังไง การที่ในทางโบราณคดีมีของอายุมากขนาดนั้นอยู่ได้ ต่อให้ฉันเป็นคนนอกฉันก็ไม่มีทางยอมรับมันได้หรอก” ลูฉินหมิงพูดออกมาหลังจากนิ่งอึ้งไปนาน
ในทางวงการแพทย์นั้นถึงจะยืนยันว่าตำรานี้ไม่ใช่ตำราโบราณ แต่กับทางโบราณคดีกับที่ว่านี่คือสุดยอดของโบราณชิ้นหนึ่งได้ยังไง
ต้องรู้ก่อนว่าต่อให้เป็นภาพเขียนพู่กันจีนหรือแม้แต่ตำราทั่วไปจากสมัยราชวงศ์ถังที่ถือได้ว่านับปีย้อนไปน้อยกว่ามากแต่ก็ยังแทบจะไม่มีหลักฐานหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงการนับย้อนไปหลายพันปีเลย ขนาดแค่ของโบราณอายุหลักร้อยปีก็หาได้ยากแล้ว
และที่สำคัญที่สุดก็คือของที่หลงเหลือมาจากสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้นที่พอจะหลงเหลือมายังปัจจุบันได้มีเพียงแผ่นแกะสลักหิน จี้หยก และงานแกะสลักไม้ไผ่เท่านั้น ไม่เคยมีครั้งใดที่มีกระดาษปรากฎขึ้นเลยสักครั้ง
การที่อยู่มีตำราเล่มสมบูรณ์เช่นนี้ปรากฎขึ้นมาได้ไม่รู้ว่ามีวิธีการเก็บรักษายังไงกันแน่ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ
ยิ่งมองในความรู้การแพทย์แล้วด้วย ตำราเล่มนี้เองก็สมควรจะเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ ในยุคสมัยต้นยุคของช่วงสามราชันย์ห้ากษัตริย์จะไปมีวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนที่ดีและถูกต้องแบบนี้ได้ยังไงกัน
“คุณโจว คุณเอี้ย คุณน่าจะลองตรวจสอบซ้ำดูก่อนนะ ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน คุณเองก็ได้เห็นวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนนั่นนี่นา วิธีการเหล่านั้นล้วนถูกต้อง และได้ผลเป็นอย่างดีอีกด้วย นี่ช่างไม่เหมาะกับยุคสมัยของตำรานี่เอาเสียเลย
ในยุคนั้นโรคแบบนี้สมควรที่จะกลายเป็นโรคที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งกลายเป็นโรคระบาดที่ทำให้คนตายกันเป็นเบือด้วยซ้ำนะ” ลูฉินหมิงพูดออกมาโดยไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะนับถือชายแก่ทั้งสองคนนี้อย่างมาก แต่กับตอนนี้เขากลับไม่เชื่อถือคนตรงหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย เหตุก็เพราะสิ่งที่เขาบอกนั้นมันขัดกับสามัญสำนึกของเขาอย่างมากนั่นเอง
โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อเองเอาจริงๆก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน พวกเขายินยอมที่จะกลับไปทำการตรวจประเมินซ้ำอีกครั้งแต่ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบซ้ำสักเท่าไหร่ ผลการทดสอบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าตำรานี้จะมาจากช่วงปลายของยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆ
“แม่…เอ๊ย ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย” โจวฉือเซียนแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาในขณะที่ทำมือเป็นกำปั้นเคาะกับหัวตัวเองเบาๆซ้ำๆ
“ตำรานี่มีค่าต่องานวิจัยของพวกเรามากนัก” เอี้ยป๋อเองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หากว่านี่เป็นตำราจากช่วงยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงล่ะก็นี่ก็หมายความว่าประวัติศาสตร์ของการแพทย์แผนจีนเองก็ต้องเขียนใหม่ด้วยเหมือนกัน” ลูฉินหมิงเองที่เริ่มจะเชื่อความเก่าแก่ของตำรานี้เองก็ได้แสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างออกนอกหน้าเสียยิ่งกว่าชายแก่นักโบราณคดีสองคนตรงหน้านั่นก็เพราะวิธีการรักษาของตำรานี้เขาเชื่อว่าจะได้ผลอย่างน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน
เขาเองก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นการรักษาโรคอื่นที่อยู่ในตำรานี้แล้วด้วยเหมือนกันว่ามันถูกต้องและได้ผลดีเช่นเดียวกับการรักษาโรคเรื้อน นี่ทำให้ตอนแรกเขาไม่อยากจะเชื่อตำราเล่มนี้ว่าเป็นตำราโบราณ
ถึงแม้จะมีบางส่วนที่เขานั้นยังไม่ทำความเข้าใจไม่ได้เพราะมีสมุนไพรบางตัวและวิธีการรักษาบางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
แต่นี่กลับทำให้ตำรานี้มีค่าทางการแพทย์มากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะหากเนื้อหาบางส่วนที่เขาเข้าใจนั้นถูกต้องและได้ผลดีจริง ย่อมมีโอกาสที่เนื้อหาส่วนที่ยังคลุมเคลืออยู่นี้จะใช้ในการรักษาได้อย่างดีไม่แพ้กัน
“ตำรานี่แสดงให้เห็นว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอในสมัยนั้นก้าวล้ำอย่างมากเลยนะ แต่ทำไมความรู้เหล่านี้ถึงได้สาบสูญไปกันล่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าการแพทย์สมัยนั้นแบ่งแยกเป็นสาขาด้วยเหมือนกัน”
“ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นนะ หากจะบอกว่าแบ่งแยกเป็นสาขาเลยหายสาบสูญนี่ก็ไม่น่าเข้าเค้าเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดว่าความจริงแล้วการแพทย์สมัยนั้นสมควรที่จะล้าหลังจริงๆ
เพียงแต่ว่าในยุคนั้นเองก็สมควรจะมีสุดยอดหมอรักษาเหมือนกัน เป็นหมอที่เข้าใจการแพทย์ได้อย่างถ่องแท้ราวกับเป็นแพทย์สมัยใหม่และฝีมือการรักษาที่ลึกล้ำไม่ต่างกัน
แต่มันอาจจะลึกล้ำเกินไปจนไม่มีใครเข้าใจหรือเชื่อถือเลยขาดผู้สืบทอดที่เหมาะสมจึงทำให้องค์ความรู้ขาดช่วงไป”
“เอาเถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตำรานี้มีค่าอย่างประเมินค่าไม่ได้”
หลังจากที่เห็นทุกคนแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง ซูจิ้งในตอนนี้กลับเกิดความรู้สึกผิดจนรอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกไปหลายหนและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นทำเกินไปหน่อย
ทั้งเรื่องรูปปั้นเมืองแอตแลนติส ศพโบราณห้าพันแปดร้อยปี และไหนจะตำราจากช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนี่อีก ของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดการสั่นคลอนของวงการโบราณคดีเลยจริงๆนั่นแหล่ะ
ต่อพอดูๆแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอะไรแย่…………….ก็ดีแล้วล่ะนะ