GGS:บทที่ 967 การเสวนาทางการแพทย์

 

“คุณซูครับ ตำรานี้นั้นล้ำค่ามากๆ” โจวฉือเซียนพูดออกมา

“ใช่แล้วล่ะ ผมว่าคุณไม่ควรทำเพียงแค่หยิบตำรานี้กลับใส่เข้าไปในกระเป๋าเฉยๆหรอกนะ” เอี้ยป๋อพูดออกมา

ผู้คนที่อยู่โดยรอบในตอนนั้นเมื่อเห็นที่ซูจิ้งทำถึงกับพูดไม่ออก ตำรานี้มีค่ามากอย่างสุดใหญ่แต่เจ้าของตำรากับทำเพียงแค่ล้วงเข้าล้วงออกกระเป๋าราวกับว่ามันเป็นเพียงตำราเรียนธรรมดาสามัญ นี่หรือคือการเห็นค่าของตำรานี้ แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์ทักท้วงอะไรได้มากนัก

นี่ขนาดซูจิ้งเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ที่มีแต่ของสุดยอดสมบัติอยู่ในนั้นเลยนะ นี่เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่มันจะเสียหายเลยรึไงกัน

“มันเป็นไรหรอกครับ ผมจะระวังเรื่องนั้นไว้” ซูจิ้งพูดออกมา

“…………………….” คนที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนี้ได้แต่นิ่งเงียบไปพลางคิดด่าทอในใจว่า แค่หยิบใส่กระเป๋าเนี่ยนะก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ซูจิ้งจะไม่สนใจความปลอดภัยของตำรานี้สักเท่าไหร่นัก

อย่างแรก เขารู้ดีว่าตำรานี้ไม่ใช่ตำราสมัยบรรพการตามที่ทุกคนคิด

 

อย่างที่สอง เขามือเสี่ยวไป๋ที่คอยซ่อมแซมของให้เขาอยู่แล้ว ต่อให้ฉีกเป็นชิ้นๆจนโดนเผาเขาก็ไม่กลัว

“คุณซู ตำรานี้มีค่าในการศึกษาอย่างมาก พอจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะขอมันไปศึกษา” ลูฉินหมิงถามออกมา

นี่ทำให้เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนถึงกับคิดจะห้ามปรามในทันที ทั้งสองอยากจะแนะนำออกมาว่าหากจะศึกษาสมควรจะเป็นการถ่ายรูปพวกมันไปจะดีกว่า เพราะหากมีเหตุที่ทำให้ลูฉินหมิงนั้นพลาดทำเอกสารเสียหายไป จะกลายเป็นว่าทำให้จิดตกกันเสียเปล่าๆ

“ผมเกรงว่าจะไม่ได้ครับ ตอนนี้ผมยังไม่คิดที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องตำราการแพทย์โบราณนี้ให้สาธารณชนได้รับรู้ แต่เรื่องการศึกษานี้คุณลุงลูวางใจได้เลย ผมได้ถ่ายรูปพวกมันไว้แล้วแน่นอนว่าอย่างน้อยๆองค์ความรู้พวกนี้จะไม่เสียหายไปโดยง่ายอย่างแน่นอน

ว่าแต่ นี่ลุงลืมแล้วใช่รึเปล่าครับว่าเราพนันกันไว้ว่าถ้าคุณลุงแพ้ต้องสอนการแพทย์ผม แน่นอนว่าที่ผมการการเรียนการแพทย์นั่นก็เป็นเพราะตำราเล่มนี้ แน่นอนว่าตอนที่ผมไปเรียนกับลุงผมต้องนำตำรานี้ไปใช้เป็นหลักอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเราค่อยมาทำการศึกษาตำรานี้ด้วยกันก็แล้วกันนะครับ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ดี ดี ….. แต่ในเมื่อคุณซูไม่ได้เป็นคนจากวงการแพทย์ล่ะก็ ผมคิดว่าคุณซูควรจะเริ่มจากพื้นฐานก่อนดีกว่านะ” ลูฉินหมิงในตอนนี้ยอมรับความพ่ายแพ้ในการพนันครั้งนี้อย่างแท้จริง

แต่เขานั้นก็ไม่อยากปวดหัวที่จะต้องสอนซูจิ้งเกี่ยวกับการแพทย์ตั้งแต่เริ่มเหมือนกัน เพราะด้วยประสบการณ์ของเขาแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยให้เข้าใจเกี่ยวการแพทย์ได้โดยง่าย

นี่ทำให้เขานั้นแทบจะรู้สึกเลยว่าเขาเผลอติดกับของซูจิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่นี่ก็โทษใครไม่ได้อีกเหมือนกันนอกจากตัวเองที่ตื่นเต้นจนเผลอตกปากรับคำไปในตอนแรก

“เกี่ยวกับเรื่องนั้นผมก็ขอบอกไว้เลยแล้วกันครับว่าถึงแม้ผมจะไม่ได้ศึกษาเรื่องการแพทย์ไปลึกนักแต่ผมเองก็ได้ศึกษาไว้แล้วไม่น้อยเหมือนกัน

ด้วยความรู้ของผมในตอนนี้ผมก็เชื่อว่าอย่างน้อยๆผมมีไม่น้อยกว่าคนที่เรียนจบมาในสายนี้ แต่ที่ผมขาดจริงๆและอยากจะฝึกฝนก็คือเรื่องประสบการณ์การรักษาน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ดี งั้นขอทดสอบหน่อยแล้วกัน” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยความไม่เชื่อในตัวซูจิ้งอย่างแรงกล้าว่าชายคนนี้จะมีความรู้ด้านการแพทย์แม้แต่น้อย

นั่นก็เพราะซูจิ้งไม่ได้เรียนมาทางด้านการแพทย์ อีกทั้งเขายังสมญาและความสามารถมากมายหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฝึกสัตว์ กู่จิ้ง วาดรูป ศิลปะการต่อสู้ ทำอาหาร และอย่างอื่นมากมายจนเขานั้นเชื่อว่าไม่มีทางที่ชายคนนี้จะหาเวลาไปร่ำเรียนวิชาการแพทย์ได้อย่างแน่นอน

 

ลูฉินหมิงเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับการแพทย์กับซูจิ้งในทันที แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ซูจิ้งกลับสามารถตอบได้ชนิดที่ถูกหมดทุกข้อโดยไม่มียืดเยื้อด้วยซ้ำ แม้แต่คำถามที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงเขาก็ยังตอบได้

ยิ่งลูฉินหมิงถามคำถามมากเท่าไหร่เขาก็ต้องยิ่งตกตะลึงในความรู้ทางการแพทย์ที่ซูจิ้งมีมากขึ้นเท่านั้น

ความรู้ทางด้านการแพทย์ในตอนนี้เท่าที่เขาประเมินดูไม่ได้ด้อยไปกว่านักศึกษาแพทย์ในระดับป.ตรีอย่างแน่นอนแล้ว

นี่หากเขาได้รู้ว่าซูจิ้งได้แตกฉานด้วยการศึกษาเพียงการอ่านตำราด้วยเวลาเพียงสองสามวันล่ะก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าลูฉินหมิงจะทำหน้ายังไงออกมา

ลูฉินหมิงในตอนนี้ได้ลองตั้งคำถามทางการแพทย์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นเพื่อลองดูว่าซูจิ้งจะเข้าใจได้มากแค่ไหน แต่กลายเป็นว่าเขาเองกลับต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจ

ซูจิ้งได้ทำการเรียนรู้คำถามอย่างรวดเร็วและตอบออกมาได้อย่างถูกต้อง ขนาดเขาตั้งคำถามที่ไม่ได้อยู่ในตำราแต่มาจากประสบการณ์รักษาของเขา ซูจิ้งเองก็ไม่ได้มีท่าทีมึนงง เขาทำเพียงถามเพิ่มเติมเล็กน้อยและก็ตอบได้อย่างถูกต้อง นี่แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งนั้นมีความรู้ที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว

“อัจฉริยะ คุณซูนี่สมกับคำว่าอัจฉริยะจริงๆ” ลูฉินหมิงอดไม่ได้ที่ต้องกล่าวชมออกมาด้วยความตกตะลึง เขาเองก็ได้สอนนักศึกษาแพทย์มามากมายหลากหลาย

ถึงแม้จะมีใครบางคนที่ทำให้เขาพูดคำนี้ออกมา แต่นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้เลยว่าคำๆนี้เหมาะกับซูจิ้งมากกว่าคนอื่นเหล่านั้นที่เขาเคยเรียกมาทั้งหมดชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด

นี่ทำให้เขาเข้าใจในตัวของซูจิ้งในทันทีเลยว่า เหตุผมที่ซูจิ้งนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จไปหมดนั้น สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ เหตุผลก็เพราะความทรงจำชั้นเลิศและทักษะในการเรียนรู้ขั้นสูงนี่เอง แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นมีทักษะในด้านนี้เหนือล้ำกว่าคนทั่วไปมากมายนัก

 

เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนเองที่ได้นั่งฟังอยู่แบบไม่ค่อยอยากก็ทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งอึ้งเงียบๆ ถึงแม้ทั้งสองจะไม่รู้เรื่องการแพทย์แต่อย่างใด

แต่จากการที่ได้เห็นซูจิ้งสามารถคุยเรื่องการแพทย์กับปรมาจารย์การแพทย์ได้อย่างแตกฉานแบบนี้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกอัศจรรย์ในตัวซูจิ้งอย่างมาก หากพวกเขาไม่รู้จักซูจิ้งดีล่ะก็ต้องคิดไปแล้วว่าซูจิ้งเองอย่างน้อยๆต้องอยู่ระดับอาจารย์แพทย์ไปแล้ว

 

“คุณลุงลูก็กล่าวชมเกินไปแล้วครับ” ซูจิ้งยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

“ไม่ ไม่ ผมไม่ได้กล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่าคุณซูเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่ขนาดคุณศึกษาด้วยตัวเองยังเรียนรู้ได้เยี่ยมขนาดนี้เลย

แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ หากมีใครชี้แนะคนได้ล่ะก็ นี่จะทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการฝึกด้านการแพทย์ นี่ผมบอกตรงๆเลยนะว่าผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่ได้มีโอกาสสอนคนแบบคุณได้ และผมยินดีจะแนะนำคุณในทุกเรื่องด้านการแพทย์” ลูฉินหมิงพูดออกมา

“ต้องขอบคุณมากจริงๆครับคุณลุงลู” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยความยินดีก่อนที่จะเงียบไปสักพักแล้วถามออกมาต่อว่า “เอ่อ….ก่อนหน้านี้ผมได้ยินคุณลุงลูพูดออกมาว่าโรงพยาบาลของคุณลุงกำลังประสบปัญหาที่ยากลำบาก หากชนะพนันจะช่วยให้ผ่านสถานการณ์นั้นได้นี่….พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่าครับว่าเกิดอะไรขึ้น หากผมช่วยได้ก็ยินดีจะช่วยต่อให้ผมชนะการพนันในครั้งนี้ก็ตามแต่ผมก็อยากจะช่วยอยู่ดี”

ลูฉินหมิงได้ยินดังนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมายาวๆ เหมือนจะนิ่งคิดไปสักพักก่อนที่จะเริ่มอธิบายสถานการณ์ออกมา

เขาอธิบายออกมาว่าโรงพยาบาลที่เขาสังกัดอยู่นั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชน แน่นอนว่ามีประธานคนหนึ่งเป็นเจ้าของ

แต่เมื่อไม่นานมานี้ตำแหน่งประธานนี้ได้มีเจ้าของบริษัทยาสมุนไพรคนหนึ่งเข้ามาซื้อตำแหน่ง และเขานั้นเป็นคนที่ละโมบโลภมาก

เมื่อตอนที่ไม่มีใครสงสัยเขาได้แอบเปลี่ยนยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาให้เป็นยาราคาถูกและไม่ได้คุณภาพโดยยังคิดราคาเท่าเดิม

และนั่นทำให้การรักษาของโรงพยาบาลเกิดปัญหาขึ้นมา ถึงแม้ปัญหาในครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้คนตายหรือเจ็บหนักแต่ในเมื่อที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมไม่ช้าก็สมควรจะเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างแน่นอน หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงย่อมต้องสูญเสียอย่างแน่นอน

แต่ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นในตอนนี้คนไข้ แพทย์และพยาบาลหลายๆคนเองก็รับไม่ได้และหนีไปรักษาที่อื่นกันหมดแล้ว ตอนนี้ที่ยังเปิดโรงพยาบาลได้นี่ก็ถือว่าโชคดีแล้วล่ะ

 

“หากว่าเจ้าของโรงพยาบาลนั้นไม่ได้อยากจะได้ที่นี่จริงๆแล้วล่ะก็ผมสามารถซื้อได้อย่างไม่มีปัญหา แต่แน่นอนว่าหากผมนั้นเป็นเจ้าของคงต้องมีการจัดการกันใหม่ซะก่อน

เรื่องที่เกิดขึ้นมาตามที่คุณลุงเล่ามานี้ผมย่อมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก หากว่ามียาไร้คุณภาพผมจะสั่งกำจัดมันทั้งหมด หากมีหมอไร้คุณภาพผมก็จะไล่มันออกอย่างไม่แยแส” ซูจิ้งพูดออกมา

“ถ้าคุณคิดจะซื้อและจัดการอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ผมจะดีใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากไม่ได้มองเรื่องความผิดพลาดในครั้งนั้น

โรงพยาบาลนี้เองตัวอาคารก็ยังดูดีอยู่ เครื่องเครื่องมือหรือแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ดีไม่น้อย โดยเฉพาะวัตถุดิบทางการแพทย์นั้นยิ่งสุดยอดเข้าไปใหญ่” ลูฉินหมิงในตอนนี้พูดออกมาด้วยความสุขอย่างหมดหัวใจเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งต้องการเข้ามาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้จริงๆ

ซูจิ้งนั้นเป็นคนรวยแห่งเมืองนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่คนแบบนี้จะหลงใหลไปกับเงินตาโดยการขายยาไร้คุณภาพเพียงเพื่อหวังกับผลกำไรเล็กน้อยๆที่ได้แบบนั้นอย่างแน่นอน

ดีไม่ดีหากว่าข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับซูจิ้งนั้นไม่ผิดพลาดไปและตัวเขานั้นดูคนไม่ผิด ซูจิ้งนั้นเป็นคนที่มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดี คนแบบนี้ย่อมแน่นอนว่าต้องเห็นเรื่องชื่อเสียงมาเหนือกว่าเงินจำนวนเล็กน้อย

“เยี่ยม เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะคุยกับเจ้าของโรงพยาบาลทีหลังแล้วกัน หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ไม่นานนี้เจ้าของโรงพยาบาลจะถูกเปลี่ยนมืออย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

เขาเองก็ได้คิดเรื่องนี้ดีแล้วก่อนหน้านี้ว่าคงเป็นการดีไม่ด้วยนี่จะเปิดโรงพยาบาลขึ้นสักที่ เขานั้นไม่ได้ต้องการเงินจากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลนี้แม้แต่น้อย

เอาจริงๆเขาวางแผนว่าจะไม่เก็บเงินจากการรักษากรณีตรวจโรคและรักษาทั่วไปด้วยซ้ำ ในส่วนนี้ต่อให้เขาไม่ได้แต่ก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว

แต่ที่เขาคิดหวังไว้มากที่สุดกับการตั้งโรงพยาบาลของตัวนั่นก็คือการหาเงินจากการใช้ความรู้จากทักษะการรักษาที่ได้มาจากตำรารักษาโรคทั่วไป(ครอบจักรวาล)ที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเสียมากกว่า

โดยทั่วไปแล้วเหตุผลที่พวกเขานิยมรักษากับหมอทั่วไปนั่นก็เพราะมีราคาที่ถูกกว่าหมอเฉพาะทางมากนัก หมอเฉพาะทางบางสาขาต่อให้รักษาโรคเดียวกันแต่กับคิดราคารักษาแพงกว่าหลายเท่าตัว

ถึงขนาดที่ว่าคนรวยบางคนเองก็ยังไม่อยากหาหมอเฉพาะทางเลยด้วยซ้ำเพราะมันแพงมากจริงๆ

ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะเชื่อมั่นในการรักษาของตัวเองอย่างมากแต่ยังไงซะตอนนี้ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าเขายังขาดทักษะการรักษาจริงๆอยู่

ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา แน่นอนว่าไม่นานต้องสามารถรักษาด้วยตัวเองและอาจจะเหนือกว่าหมอรักษาโรคทั่วไปพวกนี้ด้วยซ้ำ

อีกทั้งตัวเขานั้นมียามากมายหลากหลายที่คนทั่วไปไม่ได้มีโอกาสได้ครอบครองจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขา ถึงแม้จะไม่ถึงกับกลายเป็นหมอมหัศจรรย์แต่ก็ต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

 

ซูจิ้งและลูฉินหมิงยังคุยกันอีกพักหนึ่งก่อนจะแยกกันไป แม้แต่ตอนนี้ซูจิ้งก็ยังคงทำเพียงหยิบตำราบรรพกาลใส่กระเป๋าราวกับหนังสือเรียนธรรมดาอยู่เช่นเดิม นี่แทบจะทำให้โจวฉือเซียนและเอี้ยป่ออยากจะตรงเข้าไปบีบคอซูจิ้ง ณ เดี๋ยวนั้นเลยจริงๆ