GGS:บทที่ 968 ก่อกำเนิดยอดการแพทย์จีนโบราณ

หลังจากออกจากสถาบันวิจัยโบราณคดีซูจิ้งก็ไม่ได้ตรงกลับบ้านแต่อย่างใด เขากลับตรงไปยังพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของเขา
เขาขับรถไปเทียบที่ประตูของลานจอดรถก่อนที่จะเปิดกระจกรถเพื่อแสดงใบหน้าของตัวเองกับหน่วยรักษาความปลอดภัย
“โอ้ สวัสดีครับคุณซู ทำไมวันนี้คุณซูเข้ามาช่วงนี้ได้ล่ะครับเนี่ย” ชายที่รับหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายออกมาด้วยความประหลาดใจ
“พอดีว่าผมมีของที่จะเอามาวางเพิ่มน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ” ชายหน่วยรักษาความปลอดภัยถามออกมา
“งั้นเอาเป็นมาช่วยผมจัดที่ทางหน่อยก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา

ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นช่วงที่พิพิธภัณฑ์ปิดแล้วและมีข้อห้ามไม่ให้คนเข้าไปอย่างเด็ดขาดแต่กับซูจิ้งนั้นเป็นข้อยกเว้น
ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของการที่คนที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างเขาจะห้ามเจ้าของเข้าไปในที่ของตัวเองก็คงเป็นเรื่องที่โง่เง่ายิ่งนัก
ซูจิ้งได้เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปเลือกกล่องแก้วมาใบหนึ่งแล้วใส่ตำราบรรพกาล “ตำราการรักษาแผนจีนสมัยฮั่นตะวันออก” ลงไปในนั้น
เมื่อเสร็จแล้ว เขาได้ส่งข้อความไปบอกเฉินฮง แต่หลังจากผ่านไปนานเขายังไม่เห็นเฉินฮองส่งอะไรกลับมาเขาก็ทำเพียงนิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป
เขารู้ดีว่าเฉินฮงนั้นสุขภาพไม่ค่อยดีจึงทำให้ร่างกายของเขาต้องพักผ่อนมากกว่าคนอื่น เขาจึงเลือกที่จะไม่โทรไปกวนในช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน ยังไงซะข้อความนี้เขาก็ส่งไปแล้ว พรุ่งนี้ตื่นมายังไงก็คงจะเปิดอ่านอยู่ดี

เช้าวันถัดมา เฉินฮงและผู้อาวุโสซงได้รีบมุ่งตรงมาที่พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ในทันที เฉินฮงได้รีบถามออกมาว่า “ตำราโบราณที่คุณซูนำมาเมื่อคืนตั้งไว้ที่ไหนกัน”
“ที่ส่วนจัดแสดงฝั่งตะวันออกถัดจากศพในตำนานครับ” ชายคนที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ได้ช่วยซูจิ้งจัดที่ทางเมื่อคืนได้พูดออกมา ด้วยการที่ยังเช้าอยู่จึงไม่ใช่ช่วงเวลาเปลี่ยนกะของเขา
เฉินฮงและผุ้อาวุโสซงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้รีบวิ่งไปตำแหน่งที่ว่าในทันที ชายหน่วยรักษาความปลอดภัยเองได้แต่มองตามไปแบบงงๆพลางนึกในใจว่า
ตำราเมื่อคืนนั่นก็แค่ตำราโบราณไม่ใช่เหรอ เขาเองก็ได้มีโอกาสเห็นไปเมื่อคืน ดูๆไปก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนี่นา นี่เขาต้องให้ความสนใจกับตำรานั้นเป็นพิเศษรึเปล่าหว่า
แต่อีกล่ะนะ นอกจากพวกเขาจะต้องดูแลรูปปั้นแอตแลนติส ศพในตำนาน หัวผักกาดหยก และของสุดยอดอย่างอื่นอีก เพิ่มอีกสักอย่างหนึ่งจะเป็นอะไรไป

เฉินฮงและผู้อาวุโส​ซงที่พุ่งตรงไปยังปีฝั่งตะวันออกของพื้นที่จัดแสดงนั้น ทั้งสองก็ได้เห็นตำราแพทย์โบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกตั้งอยู่ โดยมันอยู่ท่าทางที่กางออกมาให้เห็นสองหน้า
เพียงสองหน้านั้นพวกเขาก็ได้เห็นวิธีการรักษาได้อย่างมากมายพร้อมทั้งรายละเอียดของโรคที่เรียกได้ว่าแม้แต่ตำราในปัจจุบันหลายเล่มก็ยังต้องอาย และด้วยการยืนยันจากเอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนแน่แล้วว่าตำรานี้คือของจริง
“พระเจ้า นี่เป็นตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆอย่างนั้นเหรอ” ผู้อาวุโส​ซงพูดออกมาในขณะที่จ้องมองด้วยความตื่นเต้น
“ในเมื่อผู้อาวุโสเอี้ยและผู้อาวุโสโจวตรวจสอบแล้วย่อมไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่ ว่าแต่มันเป็นไปได้ยังไงกัน” เฉินฮงเองก็ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
“งั้นเราลองเปิดดูกันหน่อยก็แล้วกัน” ทั้งสองที่ไม่เชื่ออยู่ก่อนแล้วก็ได้ทำการเปิดกล่องแก้วที่คลุมเอาไว้อย่างระมัดระวังก่อนที่จะนำตำรามาเปิดดูอย่างเบามือ
คนนอกไม่มีทางเปิดกล่องแก้วนี้ได้โดยไม่สัญญาณเตือนภัยอย่างแน่นอน มีเพียงเฉินฮงที่เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลที่นี่เท่านั้นที่รู้วิธีเปิดกล่องนิรภัยพวกนี้
นอกจากนี้ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนักประเมินชั้นสูงและคอยดูแลสมบัติมากมายของซูจิ้ง นี่เองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความไว้วางใจอย่างสูงสุดเช่นเดียวกันที่ซูจิ้งมอบให้เขา
ยิ่งทั้งสองได้อ่านตำราบรรพกาลนี่มากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งแสดงตื่นเต้นออกมามากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าเขานั้นไม่พบความเสียหายใดเลยในส่วนของลายมือที่เขียนรายละเอียด กระดาษ หรือแม้แต่ส่วนอื่นๆ
และที่สำคัญที่สุดดูเหมือนว่าตำรานี้มาจากช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆ เมื่อรวมกับผลการประเมินจากโจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อแล้วล่ะก็ยิ่งทำให้ไม่มีข้อผิดพลาดในการประเมินช่วงอายุนี้เลยแม้แต่น้อย
“ตำรานี่อยู่รอดมาถึงปัจจุบันนี่ได้ยังไงกันเนี่ย” ผู้อาวุโส​ซงทำได้เพียงพูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ขนาดศพอายุกว่าห้าพันแปดร้อยปีเขายังหามาได้เลย นับประสาอะไรกับตำราเล่มนี้ คงจะบอกได้เพียงว่าคุณซูของเรานี้สุดยอดจริงๆ หลังจากพิพิธภัณฑ์นับแต่วันนี้ ฉันกลัวว่าพิพิธภัณฑ์ของพวกเราต้องลุกเป็นไฟอีกครั้งเป็นแน่ นี่จะยิ่งดึงดูดให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในจีนและต่างประเทศเขามาหาเราอย่างแน่นอน” เฉินฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

สิ่งที่เฉินฮงได้คาดเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว เมื่อพิพิธภัณฑ์นี้ได้เปิดทำการและมีคนทราบว่ามีการจัดแสดงตำราการแพทย์โบราณตั้งแต่ยุคสมัยช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วจะเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการโบราณคดีอีกครั้ง แถมยังการเป็นที่พูดคุยกันในอินเตอร์เน็ตไปทั่ว
“มันต้องเป็นของปลอมแน่ๆ จะเป็นไปได้ยังไงกันที่จะมีตำราจากช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นที่สภาพสมบูรณ์ขนาดนี้เหลือรอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้”
“เห็นด้วย ฉันยังไม่เคยเห็นตำราไหนเลยนะที่เหลือรอดมาจากยุคได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนพูดอีกว่าตำราเล่มนั้นมีวิธีการป้องกันและควบคุมโรคเรื้อนอีกด้วย นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ในสมัยราชวงศ์ฉิงซึ่งเป็นช่วงปีหลังจากนั้นโรคเรื้อนละบาดและตอนนั้นยังทำอะไรกันไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกกัน”
“แต่ทั้งดอกเตอร์เอี้ย ดอกเตอร์โจว ผู้อาวุโสเฉินและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆต่างก็ประเมินและยืนยันมาแล้วนะว่าเป็นของจริงน่ะ”
“ฉันเพิ่งจะได้ข่าวมาว่ามีทีมนักโบราณคดีอีกสองทีมได้ไปทำการตรวจสอบและผลการตรวจสอบก็คือไม่ต่างกัน นั่นก็คือตำรานี้มีอายุอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆ”
“โคตรจะเหลือเชื่อเลย”
“นอกจากวัตถุจากดินแดนที่สาบสูญแอตแลนติส ศพในตำนาน ไหนจะตำราในสมัยบรรพกาลนี่อีก ซูจิ้งจะท้าทายสวรรค์มากไปแล้วถึงได้มีของโบราณมากมายขนาดนี้ หรือหมอนี่จะไปทะลวงสวรรค์มาแล้วจริงๆ”
นอกจากนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้วงการโบราณคดีต้องหวั่นไหวอีกครั้งแล้ว นี่ทำให้แม้แต่วงการการแพทย์ก็ยังต้องสั่นสะเทือนไม่ต่างกัน เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต่างก็มุ่งตรงไปยังพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์นี้ทันทีที่ทราบข่าวเพื่อนจะศึกษาตำราโบราณนี้ในทันที
แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ศึกษาแต่อย่างใด สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นเพียงเนื้อหาในส่วนที่แสดงการรักษาและป้องกันโรคเรื้อนและเนื้อหาการรักษาโรคอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกเขานั้นเห็นต่างจากนักโบราณคดีในทันที พวกเขาเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่าความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันยังไงก็ดีกว่าในโบราณกาลอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าพวกเขาต่างก็ไม่เชื่อตำรานี้อย่างที่สุด

อย่างไรก็ตามซูจิ้งไม่ได้สนใจเรื่องความขัดแย้งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำอย่างอื่นอยู่ เขาไปยังโรงพยาบาลกังเฟิ่ง(ท้าทายสายลม)ที่ตั้งอยู่ในเมืองจงหยุนด้วยกันกับลูฉินหมิง เฉิงหนาน และทีมกฎหมายของบริษัท
เขาได้พบกับประธานในปัจจุบันของโรงพยาบาลพร้อมกับสืบสวนเรื่องราวต่างๆที่ประธานคนนี้ได้ทำเอาไว้
หากเป็นคนทั่วไปแล้วพวกเขานั้นคงทำการสืบสวนเรื่องนี้อย่างลับๆ แต่กับซูจิ้งนั้นเขาคิดว่านั่นมันไม่ได้ทำให้ประธานคนนี้สะทกสะท้านอย่างแน่นอน
เขานั้นเลือกที่จะเข้ามาถามตรงๆ ด้วยความผิดที่มากมายขนาดนี้เขาสามารถตรวจจับการโกหกของคนๆนี้ได้ไม่ยากนักอย่างแน่นอน นี่จะช่วยทำให้เขาประหยัดเวลาได้อย่างมาก
ซูจิ้งได้รู้ในทันทีถึงเหตุผลที่เจ้าของที่นี่อยากจะเปลี่ยนมือโรงพยาบาลของเขา เหตุผลแรก ตอนนี้โรงพยาบาลได้สูญเสียความมั่นใจจากประชาชนไปแล้ว
สืบเนื่องมาจากเรื่องที่เขาได้ถูกหลอกให้ใช้ยาปลอมในการรักษาผู้คนจนทำให้เกิดปัญหากับคนไข้บ่อยครั้งจนพวกนั้นมาเรียกร้องให้เขาชดใช้
บางคนปล่อยหมามาเยี่ยวใส่รถเขาชนิดแทบจะใช้ล้างรถได้เลย บางคนก็มาเจาะลมรถของเขา บางคนถึงกับเข้ามาล็อคตัวเขาไว้ที่หน้าประตูโรงพยาบาลด้วยซ้ำ
ตอนนี้ตัวเขานั้นราวกับเป็นหนูที่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอยู่กลางทะเลทรายเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าราคาที่เจ้าของโรงพยาบาลนี้ตั้งเอาไว้จะไม่สูงมาก แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ของโรงพยาบาลนั้นไม่สู้ดีนักทำให้ราคาที่ซูจิ้งได้รับการเสนอมาถูกกดให้ต่ำลงไปอีก และนี่เองก็เป็นราคาที่ซูจิ้งถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ของโรงพยาบาลในตอนนี้ และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ซูจิ้งจะหากำไรเล็กน้อยด้วยการกดราคาให้ต่ำลงอีกครั้ง
“คุณซู ราคาที่คุณเสนอมามันไม่เกินไปหน่อยเหรอ นี่จะไม่ให้ผมมีชีวิตอยู่แล้วรึไงกัน ผมไม่เหมือนกับคุณที่เงินนั้นไม่มีค่าแต่กับตัวผมนั้นยังคงต้องรายจ่ายมากมายอยู่อีกนะ คุณเองก็มีเงินมากมายอยู่แล้วทำไมถึงยังจะกดราคาที่ผมเสนอไปอีกกัน” ผอ.จ้าวพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นี่ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย คุณเคยหาเงินได้มากมายมาก่อนหน้านี้ และส่วนต่างพวกนี้ก็ไม่ใช่เงินสำหรับผมเองหรอกนะ เงินส่วนต่างนี่มันเอาไว้ใช้รักษาคนป่วยและคนเจ็บที่ได้รับผลมาจากการใช้ยาห่วยๆของคุณ นี่มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ
“แต่ว่าผมถูกหลอกนะ” ผอ.จ้าวพูดออกมาพลางทุบโต๊ะ
“แล้วยังไง ในเมื่อแกเป็นคนโง่ให้โดนหลอก จะว่าถูกหลอกก็ไม่เชิงด้วยเพราะแกได้รับผลประโยชน์มานี่ ปัญหาที่แกเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็มาจากการที่แกให้ค่าชดเชยได้ไม่เพียงพอไม่ใช่รึไง
หากแกอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วปัดตูดออกไปเฉยๆแน่นอนว่าฉันไม่ยอมง่ายๆแน่ๆ ให้ฉันบอกแกตรงๆเลยนะว่าฉันไม่สนใจก็เงินส่วนต่างเพียงน้อยนิดพวกนี้แม้แต่น้อย ฉันแค่ไม่ชอบแกก็เท่านั้น
เหตุผลก็เพราะแกทำให้คนไข้ได้รับอันตรายจากการที่แกใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐาน เชื่อรึเปล่าว่าต่อให้แกไม่ยอมขายโรงพยาบาลนี้ ฉันสามารถกดดันให้โรงพยาบาลของแกต้องปิดตัวลงและได้มันมาเปล่าๆเลยด้วยซ้ำ
เอาล่ะถึงเวลาที่แกต้องเลือกแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมและดุร้าย เขาไม่ได้ไว้หน้าผอ.จ้าวคนนี้เลยแม้แต่น้อย
“แก…..” ผอ.จ้าวทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืนพลางจ้องไปที่หน้าของซูจิ้งอย่าแข็งกร้าว แต่เมื่อเขาได้สบตากับซูจิ้งพลางคิดถึงปูมหลังของเขา ผอ.จ้าวก็เลิกคิดจะทำเรื่องโง่ๆไป เขารู้ดีว่าสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมาไม่ใช่แค่การหลอกลวงขู่ให้เขากลัวอย่างแน่นอน