ภาคที่ 5 บทที่ 66 เส้นแบ่ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 66 เส้นแบ่ง

ชุยอวี่คงเหินและอู๋เยว่ชิงเหยียนยังคงคุยกันอยู่ในคุก

เป็นตอนนั้นที่ผู้คุมตระกูลจูลงมาพร้อมลูกน้องสองคน

หน้าตาผู้คุมดูดุดันไม่น้อย ใบหน้าอวบ มือขวาถือกระบองใหญ่ เปิดประตูคุกแล้วก็ตะโกนลั่น “เจ้า ออกมา !”

เขาหมายถึงชุยอวี่คงเหิน

“อะไรกัน ?” ชุยอวี่คงเหินมองผู้คุมสายตาเย็นชา

แม้จะเป็นนักโทษ ชุยอวี่คงเหินก็ยังคงท่าทางเย่อหยิ่งสูงส่งไว้

ผู้คุมหัวร่อ “หากข้าบอกให้ออกก็ต้องออกมา จะให้ข้าพาเจ้าไปเที่ยวเล่นหรือไร ?”

ว่าแล้วเขากับลูกน้องก็รุดเข้าไปใช้กระบองฟาดชุยอวี่คงเหิน

ชุยอวี่คงเหินถูกขังพร้อมผนึกกักพลังต้นกำเนิด ร่างกายอ่อนแอกว่ามาก พริบตาเดียวก็ฟกช้ำดำเขียวไปหมด

อู๋เยว่ชิงเหยียนได้แต่หลับตาแน่น ไม่กล้าเอ่ยคำ

ยามสอนศิษย์เขารอบรู้ไม่น้อย แต่เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่เช่นนั้นจะถูกทุบตีไปด้วย

“ทีนี้เชื่อฟังได้หรือยัง ?” ผู้คุมหยุดมือแล้วหัวเราะ “ต่อไปก็ฉลาดหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าจะทุบเจ้าอีก !”

ชุยอวี่คงเหินกดไฟแค้นในใจไว้และก้มหัวตอบ “ขอรับ”

“เช่นนี้สิ ! ตามข้ามา” ผู้คุมกระชากชุยอวี่คงเหินออกจากคุก

ชุยอวี่คงเหินถูกพาไปอีกห้อง จากนั้นผู้คุมก็ออกไป

ชุยอวี่คงเหินเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้อง เมื่อเห็นเขา อีกฝ่ายก็ยิ้มกล่าว “นั่งสิ”

ชุยอวี่คงเหินมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไร้คนจึงยอมนั่ง

ชายหนุ่มก็คือซูเฉิน

เมื่อชุยอวี่คงเหินนั่งแล้ว สีหน้าซูเฉินก็เปลี่ยนทันควัน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ใช่ชุยอวี่คงเหิน บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร ? เลียนแบบเขาไปเพื่ออะไร ? จะมาตายหรือ ?”

ชุยอวี่คงเหินตกใจนัก ตอบไปทันที “เจ้าพูดอะไร ?”

ซูเฉินหรี่ตา “คิดทำไม่รู้เรื่องหรือ ? ได้ยินที่ข้าพูดไหม ?”

ชุยอวี่คงเหินชะงักไป ครู่หนึ่งจึงได้สติ “ข้าได้ยิน แต่ข้าไม่เข้าใจว่าพูดเพราะอะไร”

ทำไมซูเฉินพูดเช่นนั้น ?

ก็จะดูทีท่าอีกฝ่ายไงล่ะ

เขาอยากรู้ว่าหากจู่ ๆ ถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่ตนเองคนผู้นี้จะทำตัวอย่างไร

ตอนนี้ดูท่าว่าการตอบสนองของชุยอวี่คงเหินจะเป็นการที่ได้ยินคำถามถูกต้องหรือไม่

หากฟังผิดไปจริง ท่าทางต่อมาก็คือจะสงสัยว่าคนถามมีปัญหาด้านสมองหรือไม่ ทำไมถึงถามแบบนั้น ?

คนส่วนมากที่ถูกหาว่าปลอมเป็นคนอื่นจะพยายามหาข้ออ้างเมื่อถูกเปิดโปง ทำไมถึงบอกว่าข้าเป็นตัวปลอม ? ข้านี่แหละตัวจริง

ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณด้วยรู้ว่าตนเองเป็นตัวปลอมกลัวจะถูกคนอื่นเปิดโปง

แต่การตอบสนองของตัวจริงจะถามคำถามออกมาว่า เจ้าเสียสติหรือ ? คิดอย่างไรถึงได้ถามเช่นนี้ ?

ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างเพื่อยืนยันหรือแก้ตัวแต่อย่างใด

เพราะว่าเป็นตัวจริงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตน

หากจะต้องการการยืนยันอะไร ก็คงต้องให้ผู้กล่าวหาเป็นคนพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวปลอม ไม่ใช่ให้อีกฝ่ายเป็นคนพิสูจน์

การสอบปากคำชุยอวี่คงเหินทำให้เห็นเรื่องนี้ได้เด่นชัด

จึงเป็นสาเหตุที่ซูเฉินจำเป็นต้องศึกษาและใส่ใจ

ซูเฉินหัวเราะเมื่อได้ยินคำชุยอวี่คงเหิน “เปล่า ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าไม่เหมือนมาจากตระกูลชุยอวี่ ดูไม่เหมือนกับชนชั้นสูง”

ได้ยินแล้วชุยอวี่คงเหินก็เอ่ยเสียงดูถูก “เจ้าจะรู้อะไรเกี่ยวกับคนชั้นสูง ? แล้วรู้จักอะไรตระกูลข้าบ้าง ?”

นับตั้งแต่ต้นจนจบ ชุยอวี่คงเหินไม่คิดยืนยันตนเอง กลับตอบคำถามของซูเฉินเสียงเหยียด เป็นอีกครั้งที่แสดงท่าทางของตัวจริงออกมา

“อย่างนั้นหรือ ? เช่นนั้นเล่าเรื่องตะกูลเจ้าให้ข้าฟังสิ” ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบ

“ทำไมเจ้าถึงอยากรู้ ?” ชุยอวี่คงเหินถาม

“ข้าอยากเข้าใจฝ่ายตรงข้ามให้มากกว่าเดิมเพื่อให้เป็นฝ่ายมีอำนาจต่อรองมากกว่า” ซูเฉินตอบ

“เช่นนั้นข้ายังไม่ควรพูดอะไร”

“จะไม่ให้ความร่วมมือหรือ ?” ซูเฉินเหมือนไม่ใส่ใจแล้วลุกขึ้น “งั้นก็ช่างเถอะ”

อะไรกัน ?

ชุยอวี่คงเหินอึ้งไป

ช่างเถอะงั้นหรือ ?

หมายความว่าอะไรกัน ?

ซูเฉินเดินออกไป

ในตอนที่เดินออกไป ก็มีกลุ่มชายร่างใหญ่เดินเข้ามา

ใช้สายตาโลมเลียมองชุยอวี่คงเหิน

“พวกเจ้า…… คิดจะทำอะไรกันแน่ ?” ชุยอวี่คงเหินเอ่ย เริ่มแตกตื่นขึ้นมา

ชายทั้งสี่หัวเราะเสียงเย็นแล้วเดินเข้ามาตรงหน้าชุยอวี่คงเหิน เริ่มถอดอาภรณ์บนร่างออก

“เฮ้ย ! พวกเจ้าจะทำอะไร ?” ชุยอวี่คงเหินตกตะลึง เดิมทีคิดว่าจะถูกทุบตี แต่ทำไมพวกเขาถึงถอดเสื้อผ้าออกเล่า ?

ความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นทำให้เขากลัวยิ่งกว่าถูกทุบตีเสียอีก

คำตอบของชายทั้งสี่ทำเอาเขาสิ้นหวัง

หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะ “ก็แน่ว่าจะทำกับเจ้าอย่างไรเล่า !”

“แต่ข้าเป็นบุรุษนะ !” ชุยอวี่คงเหินตะโกนลั่น

“ก็ถูกแล้ว พวกข้าชอบบุรุษอยู่เป็นทุนเดิม……” คนทั้งสี่หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

ชุยอวี่คงเหินเป็นเหมือนกับกระต่ายขาวตัวน้อยเผชิญหน้ากับหมาป่าตัวใหญ่ทั้งสี่ คนทั้งหมดฉวยโอกาสแล้วก็โดนเขาใส่……

“มีแต่เจ้าที่คิดอะไรเช่นนี้ออกมาได้”

จูเฉินฮ่วนถอนหายใจสนใจพลางมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องผ่านผลึกแก้วตรวจสอบ

บุคคลนั้นยากที่จะเข้าใจและเลียนแบบได้ หากซูเฉินอยากเลียนแบบเขา ก็ต้องเข้าใจเป้าหมายอย่างลึกซึ้งเสียก่อน

รวมถึงการศึกษา พื้นเพ วิธีการคิด ลักษณะนิสัย ความเคยชิน และเรื่องอื่น ๆ

ไม่มีใครสามารถเลียนแบบคนอื่นได้เหมือนทุกประการ มีแต่เลียนแบบให้เหมือนมากที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปงเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเหมือนซูเฉินยามอยู่แดนคนเถื่อน ตอนยังไม่ต้องสงสัย ทุกอย่างก็ราบรื่น แต่เมื่อถูกสงสัยแล้วก็กลายเป็นปัญหา

การแสร้งเป็นเผ่าปักษานั้นยากกว่ามาก ไม่เหมือนการเดินทางเข้าแดนคนเถื่อน

เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะตอนนี้เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นคนที่มีฐานะ อีกหนึ่งเหตุผลเป็นเพราะคนที่เขาพยายามจะหลอกนั้นเฉลียวฉลาดมาก

ดังนั้นจึงต้องมีหลายคนเขาช่วย

คนไต่สวนฝีมือดีของตระกูลจูเริ่มเก็บข้อมูลพื้นเพของเชลยทั้ง 60 คนแล้ว

ใช้ทั้งการเค้นคอ ขู่เข็ญ ติดสินบน ทั้งยังใช้การสอบถามจากเชลยผู้อื่น และรวมถึงการรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองอย่างรอบคอบ ข้อมูลเผ่าปักษาแต่ละคนหนาเป็นเล่มหนังสือ อวิ๋นเป้า กังเหยียน และข้ารับใช้ดาบทั้ง 12 ไม่มีทางทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดีด้วยซ้ำ พวกเขาต่อสู้เก่ง แต่เมื่อเป็นเรื่องเช่นนี้ก็ไร้ความสามารถ

การเก็บข้อมูลยังอยู่แค่ขั้นต้นเท่านั้น หากต้องการวางแผนยังต้องทำงานกันอีกมาก

แม้ว่าซูเฉินจะฉลาด แต่สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แม้ว่าหัวเดียวที่ว่านั้นจะมีเครื่องคำนวณผลึกแก้วก็ตาม มันใช้คิดคำนวณได้ดี แต่ใช้วิเคราะห์และคาดการณ์ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ซูเฉินใช้มันเพื่อจดจำข้อมูลมากมายทั้งหลายเอาไว้ได้ แต่ใช้หลายคนวางแผนย่อมดีกว่า

แต่แน่นอนว่าเรื่องทุกอย่างยังต้องเก็บเป็นความลับ จูเฉินฮ่วนและซูเฉินเสนอเหตุการณ์สมมติให้ลูกน้องทั้งหลายฟังและแก้ปัญหา รวมถึงเรื่องการเลียนแบบคนอื่นให้เหมือนที่สุด จึงได้ความคิดดี ๆ มามากมาย

ซึ่งมีความคิดหนึ่งเตะตาซูเฉิน

พ่อบ้านคนหนึ่งของตระกูลจูเป็นคนเสนอความคิดขึ้น ในสายตาเขา อย่างไรก็ไม่สามารถเลียนแบบได้เหมือนทุกประการ

ต่างคนต่างใช้ชีวิตเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้มีลักษณะนิสัยแตกต่างกัน สัญชาตญาณเป็นสิ่งที่เลียนแบบได้ยาก ใช้เวลาเพียงไม่เท่าไหร่ก็ถูกเปิดเผยได้แล้ว แม้จะมีสัญชาตญาณคล้ายกับเป้าหมาย แต่วิถีชีวิต ความเคยชิน ความรู้ความสามารถก็ยังต่าง

ความผกผันในเรื่องเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนผันไปตามคนที่คิดอยากหลอก ยิ่งคนที่ถูกหลอกโง่เพียงไหน ก็ยิ่งมีความผกผันสูง น่าเสียดายที่งานของซูเฉินไม่ใช่การหลอกเผ่าปักษา ซึ่งนั่นนับว่ายากมาก ดังนั้นจึงสามารถเดาได้เลยว่าการหลอกเผ่าปักษาจะเป็นเรื่องยากขั้นสุด หรือก็คือมีความผกผันน้อยมาก

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เพราะว่าจึงเชื่อว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเลียนแบบอีกคนหนึ่งได้ อาจได้เพียงในระยะสั้น แต่เป็นไปไม่ได้ในระยะยาว

ในเมื่อไม่สามารถทำได้ แล้วถ้าหากเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปเล่า ? หากว่าผ่านประสบการณ์เลวร้ายมา ลักษณะนิสัยก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

ซูเฉินรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลว

แผนการต่อของชุยอวี่คงเหินจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ไม่มีอะไรน่าสะเทือนใจไปมากกว่าการถูกขืนใจอีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้จิตใจสั่นสะท้านได้มาก

ในตอนนี้ชุยอวี่คงเหินถูกถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้เลย

เห็นแล้วซูเฉินจึงเอ่ย “พอแล้ว”

พูดจบเขาก็ผลักประตูเข้าไปอยู่ตรงหน้าชุยอวี่คงเหิน จ้องตาอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด “มองข้า !”

เมื่อชุยอวี่คงเหินสบตาซูเฉินก็พลันไร้สติไป

สิ่งที่จะเกิดต่อไปจะเกิดเพียงในแดนมายาเท่านั้น ชายร่างใหญ่ทั้งสี่เดินออกจากห้องไป

ผ่านไปนาน ซูเฉินจึงสลายแดนมายา ชุยอวี่คงเหินนอนหมดแรงอยู่บนพื้น

ซูเฉินเหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นเก็บของเหลวสีขาวออกมาเทราดพื้นแล้วออกจากห้องไป

จูเฉินฮ่วนรออยู่ด้านนอก

เขาเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ปล่อยให้ถูกทำไปเสียเลย ทำไมถึงยืนยันจะใช้แดนมายา ? อย่างไรก็ไม่ต่างอยู่แล้ว เพราะส่วนมากบาดแผลที่เกิดจากการถูกขืนใจก็มักเกิดเพราะบาดแผลทางจิตใจ ส่วนบาดแผลบนร่างกายไม่ร้ายแรงเท่า”

“กับเขาอาจไม่ต่าง แต่กับข้ามันต่าง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ล้ำเส้นแบ่งตนเอง” ซูเฉินตอบ

“ล้ำเส้น ? ไม่เห็นรู้เลยว่าในหัวเจ้ามีคำศัพท์นี้อยู่ด้วย” จูเฉินฮ่วนหัวร่อ

“ถึงแม้ว่าเส้นของข้าจะอยู่ต่ำมาก แต่ก็ยังมีอยู่” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ

ซึ่งก็นับว่าถ่อมตนไม่เบา

บางทีในอดีตซูเฉินอาจใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำตามความต้องการ แต่ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นแล้ว สายตากว้างไกลขึ้น มองเรื่องราวจากมุมที่แตกต่าง วิธีคิดย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

ตอนนี้เขาไม่มองเพียงผลลัพธ์แล้ว หากเป็นไปได้เขาก็อยากทำให้ถูกต้อง

เมื่อเนตรมองโลกจุลภาคพัฒนาขึ้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องแยกชิ้นส่วนเป้าหมายอีก หากเป็นไปได้เขาก็จะพยายามไม่แยกร่างของเป้าหมายให้มากที่สุด

นับเป็นความเติบโตที่มาโดยอัตโนมัติเมื่อซูเฉินมีอายุมากขึ้น

สิ่งประดิษฐ์ของเขาสร้างขึ้นมาเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม ไม่ใช่เพื่อทำลายทุกสิ่งอย่าง

การกระทำของซูเฉินเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาตระหนักถึงจุดนี้ หากไม่จำเป็นต้องทรมานตัวทดลอง เขาก็ไม่คิดจะทรมานอีกฝ่าย

เมื่อคนเราเติบโตขึ้น จิตใจก็ต้องเติบใหญ่ขึ้นเช่นกัน ทำให้ควบคุมกำลังตนเองได้ดีขึ้น นี่เป็นบทเรียนที่ซูเฉินได้เรียนรู้ผ่านเวลาหลายปี

ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมปล่อยให้ชุยอวี่คงเหินต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายของจริง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ต่างในมุมของชุยอวี่คงเหิน

หลังจากถูกส่งกลับเข้าคุกไป ดูท่าจิตใจของเขาจะแตกสลายลงแล้ว