ภาคที่ 5 บทที่ 67 สอบปากคำ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 67 สอบปากคำ

ชุยอวี่คงเหินไม่รู้ว่าตนกลับมายังคุกเมื่อไหร่หรืออย่างไร

เขานอนนิ่งอยู่ที่มุมคุก จ้องฟ้าสายตาโศก ไม่ว่าอู๋เยว่ชิงเหยียนจะคุยด้วยอย่างไรเขาก็ยังแน่นิ่ง

เห็นแล้วอู๋เยว่ชิงเหยียนก็พอเดาเรื่องได้ แม้จะรู้สึกเศร้าโศกในใจนักหนา แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม

ซูเฉินและคนอื่น ๆ คอยสังเกตเรื่องราวไปเรื่อย

ทำให้ซูเฉินเข้าใจความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์ได้ดียิ่งขึ้น

แต่สำหรับชุยอวี่คงเหิน นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

เช้าวันต่อมา ชุยอวี่คงเหินก็ถูกนำตัวเข้าห้องอีก

ยังเป็นซูเฉินที่นั่งอยู่ในนั้น

“นั่งสิ” เขาเอ่ย

ชุยอวี่คงเหินจ้องซูเฉินด้วยความเกลียดชัง ไม่ขยับกาย

“โอ้ ? ยังมีเรี่ยวแรงมาเกลียดข้าอีกหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ

ชุยอวี่คงเหินยังคงเงียบ

“เช่นนั้นอีกสักรอบเป็นไง ?”

ซูเฉินลุกขึ้นจากไป คนทั้งสี่เดินเข้ามาอีกครั้ง

อะไรกัน ?

ชุยอวี่คงเหินอึ้งไป

…จะมีอะไรน่ากลัวกว่าการถูกขืนใจไปคราหนึ่งได้อีก ?

ก็การถูกขืนใจเป็นครั้งที่สองอย่างไรเล่า !

ชุยอวี่คงเหินตกใจนักกับความโหดร้ายของซูเฉิน ทั้งที่เขาไม่ให้ความร่วมมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ภาพเมื่อวานก่อนเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

เขาถูกถอดชุด ซูเฉินโยนเขาเข้าโลกมายา หลังจากผ่านประสบการณ์ในนั้นมาแล้วก็โยนเขากลับเข้าคุก จะได้ยิ่งจมอยู่ในห้วงความเจ็บปวดนานขึ้น

ในวันที่สาม เมื่อชุยอวี่คงเหินถูกพาตัวกลับมาในห้อง เขาก็เชื่อฟังดีขึ้นมาก

ก่อนซูเฉินจะบอกให้นั่ง เขาก็นั่งลงเองแล้ว

แต่ซูเฉินกลับส่ายหน้ากล่าว “ยังไม่ได้บอกให้นั่งเลย ดูท่าจะทำตามคำสั่งได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่คนเราเรียนรู้ได้”

พูดจบก็ออกไปอีกครั้ง

ชุยอวี่คงเหินรู้สึกราวกับจะสิ้นสติ

เจ้าบ้านั่นคิดทรมาณเขา !

เรื่องราวทำร้ายจิตใจถึงสามครั้งทำให้ชุยอวี่คงเหินสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งใด ๆ และเพราะมันลึกล้ำถึงขั้นจิตใจ ชุยอวี่คงเหินจะไม่มีทางชินชากับมัน หรือก็คือแม้เรื่องจะเกิดอีกร้อยหน เขาก็ยังรับมือมันได้ยากอยู่ดี

ครั้งต่อมาที่ซูเฉินพาตัวเขาออกมา เขาก็ไม่กล้าขัดคำซูเฉินสักนิด

ชุยอวี่คงเหินถูกนำมาอยู่ในห้องเล็กห้องเดิม

ซูเฉินว่า “นั่ง”

ชุยอวี่คงเหินนั่งลงอย่างว่าง่าย

ซูเฉินเอ่ย “บอกเรื่องวิชาอาร์คาน่าของเจ้ามา”

ชุยอวี่คงเหินเตรียมจะพูดเรื่องตระกูลตนเอง ไม่คิดว่าจะถูกถามเรื่องวิชาอาร์คาน่า ตกใจชั่วครู่แล้วจึงถามขึ้น “อยากรู้เรื่องอะไร ?”

“รู้จักวิชาอาร์คาน่าประเภทไหนบ้าง ?”

อย่างไรก็มีข้อมูลบางอย่างที่ไม่อาจหามาได้ ดังนั้นจึงต้องเค้นเอาข้อมูลจากชุยอวี่คงเหินเอง

ชุยอวี่คงเหินชะงักเล็กน้อย

เขารู้ว่าตนมีโอกาสลังเลไม่มาก คิดได้เล็กน้อยแล้วจึงตอบ

เมื่อกำลังจะตอบ ซูเฉินเอ่ยคำขึ้น “ก่อนจะพูดอะไร ข้าขอเตือนไว้อย่าง ข้ามีวิชาพิเศษที่จับได้ว่าเจ้าโกหกอยู่หรือไม่ อย่าคิดหลอกลวงข้า ไม่เช่นนั้นจะต้องชดใช้ บอกความจริงข้ามา ตอบคำข้าแล้วจะดีต่อตัวเจ้า ทั้งยังไม่ทำให้ข้าเสียเวลา จะไม่เชื่อข้าแล้วลองดูก็ได้ แต่เชื่อคำข้าเถอะ ว่าข้ารู้แน่”

ชุยอวี่คงเหินจ้องซูเฉินอยู่นานก่อนพยักหน้าแล้วอธิบายวิชาอาร์คาน่าที่ตนเชี่ยวชาญแต่โดยดี

ในฐานะปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 ชุยอวี่คงเหินเชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าหลายวิชา คร่าว ๆ คือรู้วิชาอาร์คาน่ากว่าร้อย แต่สามารถใช้ได้ราวสิบ ซูเฉินจึงไร้ทางเลือก ต้องฝึกให้เชี่ยวชาญทั้งหมด เคราะห์ดีที่ผลึกแก้วของเขาทำให้ซูเฉินจดจำวิชาอาร์คาน่าได้รวดเร็ว อย่างไรวิชาจิตก็เก่งกาจด้านการจดจำและคำนวณอยู่แล้ว ทำให้ซูเฉินเหนือกว่าในด้านการเรียนรู้วิชาอาร์คาน่า

ซูเฉินให้ชุยอวี่คงเหินเขียนวิชาอาร์คาน่าที่เคยใช้ทั้งหมดออกมา

ชุยอวี่คงเหินรู้ว่าอีกฝ่ายอยากเรียนวิชาอาร์คาน่าที่เขามี แต่สำหรับเขาไม่เป็นปัญหา วิชาอาร์คาน่าที่เขาเชี่ยวชาญไม่ใช่วิชาล้ำค่าหายาก และถึงจะใช่ แต่ก็ไม่คุ้มที่ต้องถูกทรมานเพื่อปกป้องความลับ

ดังนั้นจึงยอมเขียนวิชาอาร์คาน่าทั้งหมดที่รู้โดยดี

ในความคิดเขา ซูเฉินเพียงจะทดสอบเขาเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าซูเฉินอยากเรียนวิชาอาร์คาน่าทั้งหมดที่เขาเชี่ยวชาญจริง ๆ

เมื่อทำหน้าที่เสร็จ ซูเฉินก็สั่งต่อ “เขียนชื่อคนในตระกูลทั้งหมด และคนในลัทธิของเจ้า”

แม้ตระกูลจูจะเก็บข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่คำจากปากชุยอวี่คงเหินจะสมบูรณ์และตรงจุดมากกว่า ซูเฉินอยากเค้นเอาทุกอย่างที่ชุยอวี่คงเหินรู้ออกมา

ครั้งนี้ ชุยอวี่คงเหินเริ่มรู้สึกแปลกขึ้นมาจริง ๆ

เมื่อลังเลเช่นนี้ ซูเฉินก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ยืนขึ้นทำท่าจะเดินออกไปเท่านั้น

ชุยอวี่คงเหินเห็นแล้วรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไร ร้องทักไว้เสียงกังวลทันที “ข้าเขียน ข้าเขียนแล้ว !”

ซูเฉินจึงนั่ง

หลังจากผ่านประสบการณ์น่ากลัวมาแล้ว ชุยอวี่คงเหินก็เรียนรู้สิ่งหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องเชื่อฟัง แต่ต้องฟังอย่างไร้ความลังเลด้วย

นั่นก็เพราะซูเฉินไม่เผื่อเวลาให้เขาได้คิด

ชุยอวี่คงเหินไม่โง่ หากซูเฉินให้เวลาเขาคิด ก็จะรู้ต้นตอปัญหาทันที ดังนั้นจึงสั่งให้ชุยอวี่คงเหินทำตามทันทีที่ได้รับคำสั่ง เปลี่ยนความหลัวให้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาทำตามในทันที

เมื่อไม่คิดอยากประมวลปัญหาและทำตามคำสั่งซูเฉินเท่านั้น ซูเฉินจึงเริ่มถามประหลาดขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น

“นอกจากคนในตระกูลและในลัทธิแล้ว เจ้ามีสหายอื่นใดอีกบ้าง ?”

“สมัยเด็กเคยทำเรื่องชั่วร้ายใดบ้างหรือไม่ ?”

“เหตุการณ์ใดที่ทำให้เจ้าประทับใจ ?”

“เรื่องใดที่ไม่อาจลืม ?”

“เจ้าชอบใครบ้าง ?”

“ใครชอบเจ้าบ้าง ?”

“ใครกวนใจเจ้า ?”

“แล้วเจ้าไปกวนใจใครบ้าง ?”

“เคยทำให้ใครผิดหวังหรือไม่ ? แล้วใครเคยทำเจ้าผิดหวังบ้างไหม ?”

“เจ้ามีความทะเยอทะยานอะไร ? เคยอยากเป็นผู้นำตระกูลหรือไม่ ? หรืออยากเป็นนักบวชนิกายแห่งพระแม่ไหม ?”

“คิดอย่างไรกับสถานการณ์ทางการเมืองในแดนของเจ้าในปัจจุบัน ? อาจารย์เจ้าคิดเห็นอย่างไร ? เจ้ามองเขาว่าอย่างไร ? แล้วเขามองเจ้าว่าอย่างไร ?”

“เจ้ากุมความลับใครไว้ไหม ? แล้วมีใครกุมความลับเจ้าบ้าง ?”

คำถามซัดสาดมาไม่รู้จบ โจมตีชุยอวี่คงเหินทุกทิศทาง

ชุยอวี่คงเหินไร้เวลาคิด จึงได้แต่ตอบไปตามตรง

กระนั้นก็ยังเริ่มรู้สึกบางอย่าง

เขาจ้องซูเฉินด้วยความหวาดกลัว

ราวกับมองปีศาจ

“เจ้า… คิดจะมาแทนที่ข้าหรือ ?”

แม้วิชาแปลงกายจะไม่นับว่าแปลก ไม่ได้หายากจนไม่เคยได้ยิน หากชุยอวี่คงเหินยังไม่รู้เรื่องก็คงเป็นไอ้โง่แล้ว

“ก็อาจจะ”

นับเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินตอบคำถามของเขา

ถึงตอนนี้จะซ่อนไปก็ไร้ประโยชน์

“เจ้าไม่มีทางสำเร็จแน่ ! เรามีวิธีตรวจสอบลับที่ทำให้ไม่อาจมีคนเผ่าอื่นแอบเข้าไปได้ !” ชุยอวี่คงเหินเอ่ยเสียงเครียด

“ข้าเลยเตรียมตัวอยู่นี่ไง พวกข้าทำได้แน่” ซูเฉินหัวเราะ อธิบายให้ชุยอวี่คงเหินฟังอย่างหาได้ยาก

ชุยอวี่คงเหินจ่องซูเฉินด้วยความตะลึงอยู่นาน “ในเมื่อยอมรับออกมาแล้ว จะสังหารข้าแล้วกระมัง ?”

“ไม่ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก” น่าแปลกที่ซูเฉินส่ายหน้า “ถึงเจ้าจะตอบทุกอย่างมาจนถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าข้ายังขาดอะไรบ้าง ข้าอาจจะลืมถาม หรือเจ้าอาจจะลืมบอกมาก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้หรอก ข้ารู้ว่าเจ้าโกหกไหม แต่เจ้าจะลืมบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ข้าจึงยังสังหารเจ้าทิ้งไม่ได้ ต้องเก็บเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจหาคำตอบได้อีก อย่างเจ้าว่า… เผ่าปักษาระแวดระวังนัก ข้าจึงต้องไว้ชีวิตเจ้า”

“ไว้ชีวิตข้า ? นี่เจ้าคิดจะ……” ชุยอวี่คงเหินจ้องเขาเขม็ง

“ใช่ ข้าจะพาเจ้ากลับเผ่า หรือก็คือเจ้าจะเป็นคนที่พาข้ากลับไปเผ่าปักษา” ซูเฉินหัวเราะ

เขายืนขึ้นแล้วเอ่ย “เอาล่ะ เจ้าตอบคำถามข้าแล้ว หากยังอยากมีชีวิตอยู่ก็จงทำตามคำข้าทุกคำเสีย”

เขาวางมือลงบนศีรษะชุยอวี่คงเหิน

“เจ้าคิดจะทำอะไร ?” ชุยอวี่คงเหินร้องขึ้นเสียงตกใจ

“ลบความทรงจำในวันนี้ของเจ้า ข้าเพิ่งคิดค้นวิชานี้ขึ้นมาได้ ยังไม่คุ้นมือเท่าไหร่ หากไม่อยากตายก็ให้ความร่วมมือจะดีกว่า หากล้างความจำไม่ได้ ก็ลบล้างตัวตนเจ้าทิ้งเสียเลย”

ชุยอวี่คงเหินรู้สึกอึดอัดนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ไม่แปลกที่ซูเฉินตอบคำถามเขาตามตรง ก็เพราะเตรียมวิชาไว้แล้วนี่เอง

“ไม่ต้องห่วง ล้างแค่ความทรงจำวันนี้เท่านั้น” ซูเฉินว่าต่อ

การเลือกล้างความทรงจำไม่ใช่เรื่องง่าย หากเป้าหมายต่อต้านก็จะทำไม่สำเร็จ

ชุยอวี่คงเหินมีแต่ต้องยอมทำตาม

ชุยอวี่คงเหินอาจต่อต้านตามสัญชาตญาณหากซูเฉินอยากล้างความทรงจำทั้งหมด แต่หากเป็นแค่ของวันนี้ก็จะต่อต้านน้อยกว่ามาก ทั้งยังโอกาสที่จะได้รอดกลับบ้านไป ทำให้แรงต่อต้านลดลงจนต่ำสุดจนถูกล้างความจำได้ง่าย ทั้งยังปลดการป้องกัน เปิดทางให้ซูเฉินค้นจิตใจได้อย่างง่ายดาย

น่าเสียดายที่ซูเฉินไม่อาจดูความทรงจำเต็ม ๆ ของชุยอวี่คงเหินได้ กระนั้นก็ยังเข้าใจความลึกล้ำและความลับของจิตอีกฝ่ายได้พอสมควร

ในตอนที่กำลังเค้นข้อมูลอยู่ ก็ทำการทดลองด้านจิตไปในเวลาเดียวกัน

ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน !

เมื่อซูเฉินวางมือลงบนหน้าผากชุยอวี่คงเหิน ชุยอวี่คงเหินพลันรู้สึกถึงความคุ้นเคยขึ้นมา

แล้วก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ จ้องซูเฉินด้วยความตกตะลึง

ก่อนถามขึ้น “หากข้าลืมเรื่องวันนี้ เจ้าจะถามข้าวันอื่นอีกหรือไม่ ?”

“ใช่แล้ว” ซูเฉินยิ้มบาง

“เป็นวิชาพิเศษที่เจ้าบอกว่าจะทำให้รู้ว่าข้าโกหกงั้นหรือ ?”

หากถูกล้างความจำไป ชุยอวี่คงเหินก็คงจำไม่ได้ว่าตนเองโกหกอะไรไว้บ้าง ทำให้ซูเฉินรู้ได้ว่าเขาพูดโกหกหรือเปล่า

หากการตอบคำถามครั้งที่สองไม่ตรงกัน ซูเฉินจะรู้ทันที

ไม่แปลกที่ซูเฉินมั่นใจนักว่าจะรู้

เมื่อได้ยินชุยอวี่คงเหินแล้ว ซูเฉินก็หัวเราะ

“แล้วเจ้าคิดว่าวันนี้ข้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหก ?”

ชุยอวี่คงเหินชะงักไป

หรือว่า….

“นี่เป็นการถามครั้งที่ 12 แล้ว แต่สัญญาเลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน” เสียงซูเฉินสะท้อนอยู่ในหูชุยอวี่คงเหินราวกับเสียงเพรียกจากปีศาจ