เล่มที่ 26 เล่มที่ 26 ตอนที่ 753 เหมือนแผนชั่วบางอย่าง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ตงหลิงหวงนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไป และทำความเคารพฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน “เสด็จพ่อ”

อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงยังคงเป็นผู้บัญชาการจอมทัพ ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจึงควรให้เกียรติตงหลิงหวง

ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ตรัสสิ่งใด ทำเพียงพยักพระพักตร์และให้ตงหลิงหวงยืนขึ้น

ตงหลิงหวงนั่งลงในตำแหน่งซ้ายมือของฮ่องเต้ ซึ่งเป็นตำแหน่งตรงข้ามกับท่านเฟิง สายตาของนางจับจ้องไปที่ท่านเฟิงอย่างเย็นชา

กล่าวตามตรง นางรู้สึกไม่ดีอย่างมากต่อคนผู้นี้

ทุกคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศในเวลานี้มีความอึดอัดเล็กน้อย

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินทรงกระแอมเบาๆ เพื่อขจัดความรู้สึกอึดอัดเหล่านั้นออกไป ก่อนจะแนะนำตงหลิงหวง

“หวงเอ๋อร์ นี่คือท่านเฟิง เป็นที่ปรึกษาของพ่อ”

“โอ้? จริงหรือ! ” ตงหลิงหวงคิ้วกระตุกเล็กน้อย “ท่านเฟิงคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ทั้งยังเก่งกาจด้านการทำนายต่างๆ กระมัง? ”

ท่านเฟิงครุ่นคิดและกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกลับขมวดพระขนง และตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นชาเล็กน้อย “เจ้ากำลังพูดอันใด เจ้าคิดว่าท่านเฟิงเป็นผู้ใด? ”

ใบหน้าของตงหลิงหวงปรากฏความสงสัย นางมองท่านเฟิงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“โอ้? ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ? ข้ายังคิดว่าที่ปรึกษาทุกคนล้วนมีความรู้เรื่องเหล่านี้! อดีตที่ปรึกษาที่อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้มิใช่หรือ? ”

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกระชากเสียงเย็นชา “อย่าเสียมารยาทกับท่านเฟิง ให้ท่านเฟิงไปเทียบกับคนเหล่านั้นได้อย่างไร? ”

ตงหลิงหวงจงใจสร้างเรื่องยุ่งยาก “โอ้? กล่าวได้ว่า เสด็จพ่อทรงโปรดปรานท่านเฟิงเป็นพิเศษ! หรือว่าท่านเฟิงยังมีความสามารถด้านอื่นอีก? ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของตงหลิงหวง ก่อนที่ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจะตรัสสิ่งใด ท่านเฟิงก็ยกแขนที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสีดำขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ในฝ่ามือของเขาราวกับมีควันสีขาวค่อยๆ ควบแน่น

ในเวลาเดียวกัน ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเล็กด้านข้างตงหลิงหวงก็ค่อยๆ เลื่อนออกจากโต๊ะ เมื่อท่านเฟิงยกฝ่ามือขึ้นสูง ถ้วยน้ำชาก็ลอยอยู่กลางอากาศ

แม่ทัพทั้งห้าที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมทั้งฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ต่างแสดงท่าทางตกใจเล็กน้อย แววตาของท่านเฟิงเผยความชื่นชมยินดี

พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ทั้งพวกเขายังฝึกวรยุทธ์ในขั้นสูง ทว่าเรื่องเกี่ยวกับการใช้พลังภายในเคลื่อนย้ายวัตถุ พวกเขาไม่สามารถฝึกฝนได้ถึงระดับขั้นนี้อย่างแน่นอน

ตงหลิงหวงคิ้วกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ทว่าการแสดงออกที่แปลกประหลาดทั้งหมดถูกสะกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ และใบหน้าของนางไม่ปรากฏร่องรอยความรู้สึกที่ ‘เพิ่มความทะเยอทะยานให้ผู้อื่น และทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง’

ทันใดนั้น ท่านเฟิงก็รวบรวมพลังภายในไว้ที่ฝ่ามือของเขาและปล่อยพลังออกไป ถ้วยที่ลอยอยู่กลางอากาศด้านข้างตงหลิงหวงพลันแตกละเอียด

ทว่าสิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นคือ เมื่อชิ้นส่วนถ้วยที่แตกตกลงบนพื้น มันกลับประกอบกันเป็นรูปถ้วยเหมือนเดิม แม้จะมีรอยร้าว ทว่าไม่ได้กระจัดกระจาย

“เยี่ยม! ”

แม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งในบรรดาแม่ทัพทั้งห้าอดยกมือชื่นชมไม่ได้

ใบหน้าของคนที่เหลือต่างเผยให้เห็นความตกตะลึง ขณะที่พวกเขากำลังจะปรบมือ ตงหลิงหวงกลับเหลือบมองด้วยท่าทางเย็นชา แม่ทัพใหญ่ทั้งห้าพลันแสดงท่าทางขึงขัง

ตงหลิงหวงกวาดตามองท่านเฟิงด้วยท่าทางเย็นชา “ก็แค่กลเม็ดเล็กน้อยเท่านั้น! ”

นางพูดพลางสับมือเปล่าลงบนถ้วยน้ำชาด้านข้างท่านเฟิงให้แยกออกเป็นสองส่วน

พระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเปลี่ยนไปทันที

“หวงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอันใด? จริงๆ เลย… นับวันเจ้ายิ่งทำตัวเหลวไหลไปใหญ่แล้ว”

ตงหลิงหวงไม่พูดอันใด ท่านเฟิงลุกขึ้นอย่างสงบและกล่าวกับตงหลิงหวงว่า “กระหม่อมได้เรียนรู้ทักษะการป้องกันตัวเพียงเล็กน้อย จะกล้าโอ้อวดต่อพระพักตร์รัชทายาทได้อย่างไร องค์รัชทายาท เมื่อครู่สิ่งที่กระหม่อมแสดงออกมาช่างน่าอับอายยิ่งนัก องค์รัชทายาทโปรดอย่าได้ใส่พระทัย”

แม้เขาจะพูดเช่นนั้น ทว่าตงหลิงหวงรู้อยู่แก่ใจดี

อีกฝ่ายจงใจยกยอนาง

แม้วรยุทธ์ของนางไม่ได้อ่อนด้อย ทว่านางก็ไม่สามารถแสดงพลังภายในเหมือนที่เขาทำเมื่อครู่นี้ได้อย่างแน่นอน

ดังนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ธรรมดาเลย

อย่างไรก็ตาม เวลานี้เสด็จพ่อสนใจในตัวคนผู้นี้อย่างมาก ไม่ใช่เวลาที่นางจะทำตามอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง

“ท่านเฟิงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ลำบากท่านแล้ว ตอนนี้ก็สายมากแล้ว มิสู้ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด! ข้ากับรัชทายาทมีบางเรื่องต้องหารือกัน”

ตงหลิงหวงไม่รอให้ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินพูดสิ่งใดต่อ และไม่รอให้อีกฝ่ายหนึ่งพูดตอบ นางรีบพูดกับแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ด้านข้างว่า “แม่ทัพผาง รบกวนเชิญท่านเฟิงไปพักผ่อนด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

แม่ทัพผางตอบรับอย่างรวดเร็ว “ท่านเฟิง เชิญทางนี้! ”

ก่อนออกไป ท่านเฟิงทำความเคารพฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกับตงหลิงหวง และเดินตามแม่ทัพผางออกไป

หลังจากนั้น ตงหลิงหวงจึงสั่งให้แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ท่านออกไป

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินไม่พอพระทัยกับท่าทีของตงหลิงหวงในคืนนี้เป็นอย่างมาก พระพักตร์ของพระองค์บึ้งตึง

ภายในใจของตงหลิงหวงยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธ

ทันทีที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อ ท่านกำลังทำอันใด? ท่านรู้หรือไม่ว่าแคว้นตงเฉินของเราภายนอกทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น ทว่าสถานการณ์รอบด้านนั้นยากลำบากเพียงใด?

ทางเหนือมีแคว้นเป่ยอี้ที่คอยโอกาสโจมตีตลอดเวลา ทางใต้มีแคว้นหนานหลี ทิศตะวันตกยังมีแคว้นจงหนิง สถานการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ง่ายที่จะรับมือ

แม้ทางทิศตะวันออกจะติดกับวังตงไห่ติงเทียน ทว่าท่านกับข้าต่างรู้ดีว่าวังตงไห่ติงเทียนนั้นอันตรายที่สุด พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่ามีอันตรายมากเพียงใด ศัตรูอยู่ในความมืดส่วนพวกเราอยู่ในที่แจ้ง หากวันหนึ่งกองกำลังของวังตงไห่ติงเทียนหันมาเป็นศัตรูกับพวกเรา พวกเราอาจต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดโดยไม่ทันตั้งตัว

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสด็จพ่อเชื่อใจคนแบบนี้ได้อย่างไร? ”

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินเคราสั่น ทั้งพระพักตร์ยังเคร่งขรึมอย่างมาก

“หากข้าไม่เชื่อคนแบบนั้น หรือว่าจะให้ข้าเชื่อเจ้า? แคว้นตงเฉินของเราต่อสู้กับแคว้นหนานหลีมาหลายเดือนแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผลลัพธ์อันใด เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ เจ้ารู้ดีแก่ใจยิ่งกว่าข้า”

ฮ่องเต้ตรัสเพียงคำเดียว ตงหลิงหวงก็ถูกต้อนจนมุมแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ นางไม่มีสิ่งใดจะพูด

ผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามคือมู่หรงฉี นางยอมรับว่าเห็นแก่หน้ามู่หรงฉีอยู่บ้าง

มีหลายครั้งที่นางสามารถตัดศีรษะมู่หรงฉีได้ด้วยตนเอง ทว่านางกลับทำไม่ลง

เรื่องเหล่านี้นางอาจปิดบังเหล่าทหารได้ ทว่าข้างกายของนาง นอกจากเหล่าทหารแล้ว ยังมีคนของเสด็จพ่อที่คอยสอดแนมอีกด้วย

ต่อให้สิ่งที่นางทำจะไม่มีข้อบกพร่อง ทว่านางไม่อาจปิดบังคนของเสด็จพ่อที่คอยสอดแนมนางได้

เมื่อเห็นตงหลิงหวงไม่พูดอันใด ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินจึงกระชากเสียงเย็นชา และตรัสว่า “เป็นอย่างไร? พูดไม่ออกใช่หรือไม่? ”

ตงหลิงหวงระงับอารมณ์ของตนไว้ ใบหน้าไม่ปรากฏร่องรอยความบกพร่องอันใด

“แน่นอน ลูกมีเรื่องจะทูลเสด็จพ่อ”

“พูด! ”

ตงหลิงหวงขยับเข้าไปใกล้ฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน “เสด็จพ่อ ท่านทราบหรือไม่ว่ามู่หรงฉีเป็นคนอย่างไร!

แม้แต่มู่หรงเฟิงและจงเนี่ยทั้งสองร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลีเป็นผู้ที่น่าเกรงขาม ดังนั้นศึกสงครามระหว่างแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลีครั้งนี้จึงไม่อาจเอาชนะได้โดยง่าย”

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินกระชากเย็นชา “หึ ไม่ต้องพูดถึงความเก่งกาจของผู้อื่น และทำลายขวัญกำลังใจของตนเอง ข้ายังไม่รู้ถึงความสามารถของเจ้าอีกหรือ? เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่คุนหลุน ต่อให้ทางด้านกลศึกสงคราม เจ้าจะสู้คนผู้นั้นไม่ได้ ทว่าแม่ทัพใหญ่ทั้งสองร่วมต่อสู้กับเจ้า เจ้ายังแพ้เขาอยู่อีกหรือ? ”

ตงหลิงหวงขมวดคิ้วทันที “ผู้ใดบอกว่าหวงเอ๋อร์แพ้? ”

“ต่อให้ไม่แพ้ เจ้าก็ควรจับเขามาให้ได้! ”

เรื่องนี้ ตงหลิงหวงไม่มีสิ่งใดจะพูดจริงๆ และยิ่งพูดมากเท่าไรก็ยิ่งมีข้อบกพร่องมากขึ้นเท่านั้น

ฮ่องเต้แคว้นตงเฉินขมวดพระขนงเล็กน้อย “เอาเถิด ข้าจะไปพักผ่อนเช่นกัน ฤดูหนาวใกล้เข้ามาทุกที ทั้งช่วงนี้สภาพอากาศก็ไม่ใคร่จะดีนัก การต่อสู้กับแคว้นหนานหลีต้องทำอย่างเร่งด่วน ต้องตัดสินแพ้ชนะให้ได้ภายในเจ็ดวันนี้ และกองทัพของข้าต้องเป็นฝ่ายชนะ จะแพ้ไม่ได้”

เวลาเจ็ดวัน?

เป็นไปได้ยังไง!!!

ทั้งสองแคว้นทำสงครามกันตลอดทั้งเดือน ยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ จะตัดสินแพ้ชนะภายในเจ็ดวันได้อย่างไร?

นอกจากตงหลิงหวงจะตกใจแล้ว นางยังรู้สึกถึงแผนการอันตรายบางอย่าง