สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นเทพฟ้า อัจฉริยะพวกนั้นส่วนใหญ่ต่างก็จมหายไปในหมู่ผู้คน หรือแม้กระทั่งดับชีวิตไป

ในอนาคตหลัวซิวจะกลายเป็นเทพฟ้าได้หรือไม่นั้น จื่อเยียนเองก็ไม่อาจแน่ใจ ที่นางบอกว่ามีความเป็นไปได้เพียงริบหรี่นั้น เป็นเพราะหลัวซิวมีพรสวรรค์ที่ค่อนข้างสูง

แต่นี่ก็หมายความว่าหลัวซิวมีกำลังแฝงที่สามารถกลายเป็นเทพฟ้าได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถกลายเป็นเทพฟ้าได้อย่างแน่นอน

“เจ้าหนุ่ม ขอให้เจ้าโชคดี” จื่อเยียนมองไปในอากาศ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ปในการจากไป และปรากฏตัวขึ้นบนแท่นศิลาที่อยู่ด้านหน้าสำนักหลัวเทียนก้อนนั้น

วินาทีที่หลัวซิวปรากฏตัวขึ้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวที่อยู่ด้านในสำนักหลัวเทียนก็สัมผัสได้ทันที

“ผู้อาวุโส”

หลัวซิวได้มาถึงสำนักหลัวเทียน และโค้งตัวคารวะเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

“ฮ่า ๆ หลัวซิวตอนนี้ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังไปทั่วโลกแสงดาวเลยนะ! แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้รับอันดับหนึ่งจากการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์!” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

หลัวซิวมีหน้ามีตาจากการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา เพราะเขาเป็นคนแนะนำหลัวซิวเอง ดังนั้นการแสดงออกของหลัวซิวยิ่งโดดเด่น รางวัลที่เขาได้รับก็จะยิ่งสูง

เมืองศักดิ์สิทธิ์ต้องการอัจฉริยะ หากผู้ใดแนะนำอัจฉริยะที่โดดเด่นให้กับเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็จะต้องได้รับรางวัลจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นธรรมดา

และเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็คือตัวแทนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกแสงดาวนั่นเอง

ส่วนสี่แก๊งใหญ่นั้น อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเมืองศักดิ์สิทธิ์

ก่อนที่หลัวซิวจะออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ก็ได้ออกมากันหมดแล้ว การจัดอันดับในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงได้ถูกผู้คนภายนอกรับรู้เป็นธรรมดา

หลัวซิวโผล่ขึ้นมาได้อันดับที่หนึ่งไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้คนที่รับรู้ต่างไม่คิดไม่ฝันจริง ๆ

เพราะการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่การประลองยุทธ์ อัจฉริยะหนุ่มสาวมากมายต่างก็ไม่มีใครที่จะปิดบังความสามารถที่แท้จริง ล้วนแต่จะแสดงออกอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้เข้าสายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวยังสามารถได้อันดับหนึ่งมาครอบครองได้ ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็ตามเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวและหลัวซิวต่างก็ทราบดี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

ไม้เรียวระหงกลางป่า อยู่ท่ามกลางพายุลมฝน พูดได้ว่ามันอันตรายมาก

“หลัวซิว ผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายแล้ว ดูท่าสิ่งที่เจ้าได้รับในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่น้อยเลยทีเดียว ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ มีสถานะนี้แล้ว ผู้คนโดยทั่วไปไม่กล้าที่จะแตะต้องเจ้า” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกล่าวออกมาเช่นนี้

“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลัวซิวเข้าใจจุดประสงค์ของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเป็นอย่างดี เมื่อมีสถานะผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ ก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว หากผู้ใดกล้าแตะต้องเขา ก็จะต้องไตร่ตรองดูว่าจะรับมือกับโทสะของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้หรือไม่

และเมื่อมีสถานะผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ การเคลื่อนไหวในโลกแสงดาวของหลัวซิว ก็จะสะดวกขึ้นมาไม่น้อย

ดังนั้นลาดตระเวน ก็คือลาดตระเวนตรวจสอบกำกับนั่นเอง ในความหมายบางประการ ถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในยุทธภพ เป็นหน้าเป็นตาของสี่แก๊งใหญ่รวมทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์

แม้ว่าโดยปกติแล้วผลการฝึกตนของผู้ลาดตระเวนล้วนอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ น้อยมากที่จะมีแดนมหายุทธ์ แต่ก็แทบจะไม่มีใครกล้าลงมือต่อผู้ลาดตระเวนเลย เพราะการกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการท้าทายอำนาจของเมืองศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตามบนโลกใบนี้ มักมีบางคนที่ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเมืองศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถึงได้บอกว่าผู้คนโดยทั่วไปไม่กล้าที่จะแตะต้องหลัวซิว แต่คนที่ไม่ธรรมดาเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ว่านี้

จากนั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ได้มอบป้ายประจำตัวผู้ลาดตระเวนให้กับหลัวซิว จากนั้นหลัวซิวก็ได้กล่าวลาเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เพื่อกลับไปที่สำนักไท่เสวียนสักหน่อย

“การเดินทางในครั้งนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ด้วยนิสัยของเจ้ายุทธจักรหงส์ผู้นั้น แม้ว่าไม่ถึงขั้นที่ต้องลงมือสังหารเจ้าด้วยตนเอง แต่ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่” ก่อนที่จะจากไป เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ได้กล่าวตักเตือน

……