ในอาณาจักรใต้นั้นมีป่าเขาอยู่มากมาย มองไปสุดลูกหูลูกตา ต่างเต็มไปด้วยสีเขียวขจี

ประเทศเทียนหวู ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรใต้ อยู่ในมุมที่ค่อนข้างสงบสุข ขาดแคลนทรัพยากร ความเข้มข้นของพลังฟ้าดินจิตก็แสนธรรมดา

และในตอนนี้เอง บริเวณใกล้เคียงกับป่าเขาฝืนหนึ่ง เงาร่างสามสี่สายก็ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ หนึ่งในนั้น คือยายแก่เผ่าหงส์ที่เคยประมือกับหลัวซิวมาสองครั้งนั่นเอง

ผลการฝึกตนของยายแก่เผ่าหงส์ผู้นี้ไม่สูงนัก อยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นสามเท่านั้น แต่สถานะของนางกลับไม่ธรรมดา เป็นคนรับใช้ของเจ้ายุทธจักรหงส์ นามว่าเฟิ่งหลี

ที่ด้านหน้าของยายแก่เผ่าหงส์ คือชายวัยกลางคนไว้เคราผู้หนึ่ง นามว่าเฟิ่งจาง มีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นหนึ่ง

อีกด้านหนึ่ง ยังมีชายชราในชุดคลุมแดง มีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นสอง

และคนที่สี่นั้น รูปร่างหน้าตาดูค่อนข้างอ่อนโยนละเอียดอ่อน มีรอยยิ้มชั่วร้ายบาง ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า

ในบรรดาสี่คนนี้ มีเพียงผลการฝึกตนของชายที่ละเอียดอ่อนผู้นี้ที่สูงที่สุด อยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นห้า

คนผู้นี้มีนามว่าเฟิ่งหยุนเซี๋ย เป็นบุตรหลานของผู้อาวุโสบางท่าน

“ท่านหลี แค่เจ้าหนุ่มที่มีผลการฝึกตนในแดนมกุฎยุทธ์คนหนึ่งเท่านั้น ให้แดนมหายุทธ์อย่างพวกเราทั้งสี่คนมาล่าสังหาร มันจำเป็นด้วยหรือ?” เฟิ่งหยุนเซี๋ยเบ้ปากกล่าว

ที่เข้าเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงเพราะเขาถูกใจสตรีที่เจ้ายุทธจักรหงส์นำกลับมาด้วยนางนั้น

เขาได้ยินมาว่าสตรีนางนั้นเป็นอัจฉริยะที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณ หากสามารถฝึกวิชาคู่ร่วมกับนางได้ ก็จะสามารถดูดซับพลังของเลือดหงส์ กลั่นแปรสายเลือดของตนเอง ผลประโยชน์นั้นสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องกล่าวใด ๆ

“คุณชายหยุนเซี๋ยอย่าได้ประมาทไป เจ้าเดรัจฉานน้อยนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้เข้าไปฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งปี ฝีมือจะต้องพัฒนาขึ้นมาไม่น้อยแน่”

“ต่อให้ร้ายกาจเพียงใดก็เป็นแค่มกุฎยุทธ์เท่านั้นเอง นอกเสียจากมันจะสามารถบรรลุแดนมหายุทธ์ได้ภายในเวลาหนึ่งปี” เฟิ่งหยุนเซี๋ยกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ในสายตาของเขาต่อให้เป็นมกุฎยุทธ์ที่ร้ายกาจเพียงใดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเอง

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฟิ่งหยุนเซี๋ย เฟิ่งหลีรู้ว่าต่อให้พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ เชื่อว่าพอได้พบกับหลัวซิวเข้า คุณชายหยุนเซี๋ยผู้นี้ก็จะได้เห็นความสามารถของอีกฝ่ายเอง

ก็ไม่แปลกที่ยายแก่เฟิ่งหลีจะระมัดระวังเช่นนี้ เพราะในตอนที่หลัวซิวยังมีผลการฝึกตนในแดนมกุฎยุทธ์ขึ้นหนึ่งอยู่ ก็ยังมีความสามารถในการต่อกรกับตนเองได้ หลังจากที่เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝีมือจะต้องเพิ่มขึ้นมามากแน่ ตนอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงได้เรียกกำลังเสริมมา

“สถานที่แห่งนี้เป็นเส้นทางสู่สำนักไท่เสวียนเพียงเส้นทางเดียว พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม แบ่งออกไปจับตาดูทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ ทันทีที่พบเห็นเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น แจ้งให้คนอื่นรับรู้ทันที” เฟิ่งหลีเอ่ยขึ้น

“เมื่อข้าพบมันเข้า จะต้องกำจัดมันได้ภายในสามกระบวนท่าอย่างแน่นอน” เฟิ่งหยุนเซี๋ยพูดขึ้นมาอย่างลอย ๆ จากนั้นก็กระโดดลอยตัวขึ้น เหาะไปยังทางทิศตะวันออก

เฟิ่งหลีขมวดคิ้ว มองไปยังชายชราในชุดคลุมแดงผู้นั้น “เจ้าตามคุณชายหยุนเซี๋ยไป จำเอาไว้ว่าจะต้องคุ้มครองความปลอดของคุณชายให้ดี”

“ขอรับ” ชายชราในชุดคลุมแดงตอบรับ และเหาะเหินเดินอากาศไปยังทิศตะวันออก

ส่วนยายแก่เฟิ่งหลีและเฟิ่งจางนั้น ได้มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ เก็บซ่อนกระแสพลังเอาไว้ รอให้หลัวซิวมาติดกับ

นางได้รับข่างมาก่อนหน้านี้แล้วว่า หลัวซิวได้ออกมาจากเมืองหลัวเทียนเป็นที่เรียบร้อย และทางที่เขามุ่งหน้าไปนั้น ก็คือเส้นทางในการกลับสำนักไท่เสวียนนั่นเอง

ดังนั้นเฟิ่งหลีถึงได้พาคนมาซุ่มสังหารอยู่ที่นี่ ก็เพื่อกำจัดให้ได้ภายในครั้งเดียว ตรงนี้อยู่ไม่ไกลจากสำนักไท่เสวียนนัก เชื่อว่าเมื่อเดินมาถึงตรงนี้ หลัวซิวจะต้องคลายความระแวงลงแน่

“เจ้าตามมาทำไม? มีข้าอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอแล้ว” เฟิ่งหยุนเซี๋ยสังเกตเห็นชายชราในชุดคลุมแดงที่ตามมาด้านหลัง จึงขมวดคิ้วกล่าว

“คุณชายหยุนเซี๋ย ในเมื่อท่านหลีได้บอกแล้วว่าหลัวซิวผู้นั้นไม่ธรรมดา จะต้องระวังให้มากถึงจะดี”

“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจำกัดไม่ได้แม้แต่มกุฎยุทธ์ผู้หนึ่ง? หรือเจ้าคิดว่ามีคนที่สามารถบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ภายในหนึ่งปี?” เฟิ่งหยุนเซี๋ยกล่าวเย้ยหยัน