“พี่ใหญ่กลับมาเร็ว ๆ นะ!” หลิงเทียนหยุน หลิงฟ่างหัวและคนอื่น ๆ เอ่ยขึ้น
หลิงยู่ชานหัวเราะ “แน่นอน ที่นี่ก็เป็นบ้านข้าเหมือนกัน แน่นอนว่าข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว!”
หลังจากเอ่ยคำลากับบรรดาน้อง ๆ ของเขาจนเรียบร้อย หลิงยู่ชานก็หันมาพูดกับหมิงจู้ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าจะรีบกลับมา”
หมิงจู้ตอบกลับด้วยสีหน้าเป็นกังวล “รีบกลับมานะข้าเป็นห่วง”
อันที่จริงนางอยากไปกับหลิงยู่ชานด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากนี่มันคือการเดินทางครั้งแรกของหลิงยู่ชานเพื่อไปพบพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งไม่มีใครเดาได้ว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นนางจึงรออยู่ที่นี่ก่อนเพื่อความปลอดภัย
หลังจากบอกลากับทุกคนเรียบร้อยแล้ว หลิงยู่ชานก็เข้าไปพบกับเหลียงเฟ่ยเอ๋อ
อันที่จริงหลิงยู่ชานก็รู้ดีว่าเหลียงเฟ่ยเอ๋อต้องการทำอะไร เพราะทุกครั้งที่พวกเขาต้องออกเดินทาง เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็มักจะเรียกให้พวกเขาทุกคนมาหานางแบบนี้เหมือนกัน
“ป้าเฟ่ย ข้ามาแล้ว!” หลิงยู่ชานพูดขึ้น ในขณะที่เขายืนอยู่หน้าประตูเรือนของเหลียงเฟ่ยเอ๋อ
“เข้ามาได้” เหลียงเฟ่ยเอ๋อตอบกลับ
เหลียงเฟ่ยเอ๋อมองไปที่หลิงยู่ชานที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางด้วยรอยยิ้มและพูดขึ้นว่า “ข้าแตกต่างจากคนอื่น ๆ ข้าไม่กังวลเลยสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในท้ายที่สุด!”
หลิงยู่ชานหัวเราะ
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดต่อ “หลังจากที่เจ้าเจอกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้าแล้ว จงรีบกลับมาทันที! พ่อของเจ้าได้เดินทางออกไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลากว่า 100 ปีแล้ว ซึ่งจากที่ข้าคำนวณมันก็คงจะใกล้ถึงเวลาที่เขาจะกลับมาแล้ว เจ้าควรจะรู้ดีว่าทุกครั้งที่พ่อของเจ้ากลับมา เขาจะมีของดีมาฝากให้กับทุกคนเสมอ หากเจ้ากลับมาช้าหรือกลับมาไม่ทัน เจ้าอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพ่อของเจ้าเลยก็ได้”
หลังจากพูดจบ เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็หยิบหม้อเอกภพออกมาและเทของเหลวที่อยู่ด้านในออกมารดศีรษะหลิงยู่ชาน 3 หยด
หลิงยู่ชานยิ้มและพูดว่า “ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด”
“ไปเถอะ” เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้า
หลังจากนั้น หลิงยู่ชานก็ลุกจากไปและร่ำลาเหล่าผู้คนอีกรอบ จากนั้นเขาก็ติดตามเทียนฟางและเทียนคงออกไปยังอาณาจักรเลือดทระนงที่อยู่ด้านนอกทะเลชางหมาง
เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเลือดทระนง และคู่สามีภรรยาตระกูลเทียนได้เห็นหน้าหลิงยู่ชานเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกเขาก็รีบวิ่งมาหาทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” แม่แท้ ๆ ของหลิงยู่ชาน เหมาลี่ รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าอบอุ่น
หลิงยู่ชานยิ้มและตอบกลับว่า “ที่ผ่านมาข้าสบายดี ข้าสบายดีมาก ๆ เลยล่ะ”
ในตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา
ในระหว่างที่ครอบครัวได้มาพบหน้ากัน เทียนเก๋อก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ท่านลุงท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านได้เจอกับลูกชายของพวกท่านที่พลัดพรากกันไปนานแล้ว? ไหนล่ะเขาอยู่ไหน?”
เทียนซ่งหยู พ่อของหลิงยู่ชานรีบพูดขึ้นแนะนำทันที “นี่คือญาติผู้น้องของเจ้า เนื่องจากเขาเพิ่งเจอกับเราและยังไม่ได้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ดังนั้นชื่อของเขาจึงยังไม่ถูกเปลี่ยน ในตอนนี้เขาชื่อหลิงยู่ชาน! ชาน นี่คือญาติของเจ้า เทียนเก๋อ เขาคือโอรสสวรรค์ของสันเขาทรราชของตระกูลเรา และเขายังมีพรสวรรค์จนสามารถบรรลุขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ก่อนที่จะทะลวงขอบเขตไปยังรวมแสงดาราได้ ในอนาคตพวกเจ้าจะต้องเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าควรทำความรู้จักกันไว้”
เนื่องจากเทียนเก๋อนั้นเป็นโอรสสวรรค์ดังนั้น เทียนซ่งหยูจึงจำเป็นต้องให้เกียรติชายหนุ่มผู้นี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนตระกูลเดียวกัน แต่ในตระกูลของพวกเขาก็ยังมีการแบ่งชนชั้นกันอยู่
หลิงยู่ชานยิ้มและพยักหน้า “ยินดีที่ได้พบ!”
เทียนเก๋อพยักหน้าตอบรับพลางสำรวจหลิงยู่ชานไปในขณะเดียวกัน จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่าจะอายุ 200 ปีแล้วใช่ไหม? ทำไมระดับการบ่มเพาะของเจ้าถึงยังอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 10 อยู่เลย?”
หลิงยู่ชานยิ้มและตอบกลับ “ระดับการบ่มเพาะของข้าค่อนข้างพัฒนาช้าน่ะ!”
อันที่จริงแล้วด้วยความสามารถของหลิงยู่ชานในตอนนี้ เขาสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาได้อย่างสบาย ๆ
และเหตุผลที่ระดับการบ่มเพาะของเขาไม่สูงนักนั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเน้นแต่การสร้างรากฐานให้มั่นคงเป็นหลัก ซึ่งในตอนนี้รากฐานของเขานั้นนับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดเป็นรองแค่เพียงหลิงตู้ฉิงเพียงคนเดียว
ส่วนเรื่องการถูกถามเกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะเช่นนี้ เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เนื่องจากเขาเป็นคนที่มีบุคลิกใจเย็นและไม่โอ้อวดอะไรกับใครอยู่แล้ว เขาจึงไม่รู้สึกถือสาอะไร
เทียนเก๋อพยักหน้าและหัวเราะ “อันที่จริงตระกูลเทียนของเรานั้นนับเรื่องระดับการบ่มเพาะเป็นที่สอง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเรายึดถือก็คือความแข็งแกร่งของสายเลือด เมื่อเจ้ากลับไปที่สันเขาทรราชของเราและกราบไหว้บรรพบุรุษเมื่อไหร่ สายเลือดของเจ้าจะได้รับการปรับปรุงให้เข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมันจะทำให้เจ้ายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ว่าแต่ตอนนี้เจ้าปลุกสายเลือดของเจ้าไปถึงไหนแล้ว?”
หลิงยู่ชานพยักหน้าและตอบว่า “ข้าปลุกมันได้แค่เพียงบางส่วนเท่านั้น”
เทียนเก๋อยิ้มและพูดว่า “ไหนขอข้าดูสักหน่อยว่าเจ้าปลุกมันไปได้ถึงไหนแล้ว”
เมื่อพูดจบเทียนเก๋อก็ยื่นมือออกไป
หลิงยู่ชานมองไปที่เทียนซ่งหยูก่อน จากนั้นเขาจึงยื่นมือไปจับมือของเทียนเก๋อ
จากนั้นเมื่อทั้งคู่จับมือกัน ร่างของทั้งคู่ก็ปล่อยหมอกสีเลือดออกมาจากร่างส่งผลให้กฎของสวรรค์และโลกที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นไม่นาน เทียนเก๋อก็พยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ พอแล้ว ญาติข้า ความแข็งแกร่งของสายเลือดของเจ้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว มันเกือบที่จะอยู่ในระดับเดียวกันกับของข้าแต่ยังห่างกันอยู่เล็กน้อย ท่านลุงท่านป้า ถ้าลูกชายคนนี้ของท่านได้กลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษและได้รับการปรับปรุงสายเลือดเมื่อไหร่ ข้าเกรงว่าเขาคงจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกมากเลยทีเดียว”
เทียนซ่งหยูหัวเราะ “ขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ไม่ว่าจะยังไง เขาก็คงไม่สามารถแข็งแกร่งไปกว่าเจ้าแน่นอนอยู่ดีใช่ไหม”
เทียนเก๋อยิ้ม “อันที่จริง มันเป็นเพียงแค่ข้าที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าก็เท่านั้นเอง เอาล่ะ ท่านลุงท่านป้า ขอคงไม่รบกวนการพบปะของพวกท่านมากไปกว่านี้แล้ว ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วพวกเราค่อยพบกันใหม่”
เมื่อพูดจบ เทียนเก๋อก็หันหลังจากไปทันที แต่หลังจากที่ลับสายตาผู้คนไปแล้ว สีหน้าของเขาก็กลายเป็นมืดหม่น
ในระหว่างที่เดินกลับไปยังเรือนของตนเอง เขากู่ร้องในใจ ‘ทำไม? ทำไม? ข้าเป็นถึงโอรสสวรรค์แต่กลับมีสายเลือดที่แข็งแกร่งสู้ไม่ได้กับไอ้คนที่ถูกทิ้งไว้ในที่กันดารแบบนี้?’
ก่อนหน้านี้ตอนที่ตรวจสอบความแข็งแกร่งของสายเลือด เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสายเลือดของเขานั้นด้อยกว่าของหลิงยู่ชาน
แต่ด้วยการที่เขามีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า เขาจึงแอบใช้พลังของระดับการบ่มเพาะของตัวเองเกื้อหนุนสายเลือดของเขาให้ไม่แสดงอาการที่ถูกข่มเอาไว้ออกมา ไม่เช่นนั้นเขาคงจะแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว
เทียนเก๋อในตอนนี้ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งคลุ้มคลั่งมากขี้นในใจเท่านั้น จนในที่สุดก็นึกได้ว่าในตระกูลเทียนนั้นมีวิชาลับต้องห้ามอยู่วิชาหนึ่ง ซึ่งมันอาจเป็นทางออกของเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เทียนเก๋อก็หันไปหาเทียนหยูเฮงที่กำลังเดินตามเขามาด้วยสายตาบ้าคลั่งและพูดว่า “ท่านลุง ครั้งนี้ท่านต้องช่วยข้า ในที่สุดข้าก็พบวิธีที่จะทำให้สายเลือดของข้าพัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้ว!”
เทียนหยูเฮง เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นทันทีและรีบถามว่า “วิธีไหนกัน?”