บทที่ 603 การต้อนรับอันแสนอบอุ่น
ตระกูลเทียนนั้นปวดหัวกับปัญหาของการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสายเลือดของเทียนเก๋อมาโดยตลอด
เทียนเก๋อนั้นเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะเป็นอย่างมาก เขาสามารถบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วแถมยังเป็นผู้ที่สามารถบ่มเพาะในขอบเขตประสานทะเลปราณไปได้ถึงระดับ 14 แต่ปัญหาเดียวของเขาคือสายเลือดของเขานั้นยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร
และเพื่อที่จะทำให้สายเลือดของเขาแข็งแกร่งขึ้น ล่าสุดตระกูลของเขาก็ยอมจ่ายราคาอย่างหนักเพื่อที่จะส่งตัวเขาเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
แต่น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุดมันก็ไม่สำเร็จ เทียนเก๋อไม่สามารถเข้าไปด้านในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้ แถมบรรพบุรุษของเขายังบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่ด้านหน้าทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ จากฝีมือของลั่วหยุนที่ใช้กระบี่ที่หลิงตู้ฉิงมอบให้
จากนั้นเมื่อเทียนเก๋อไม่เห็นความหวังที่จะได้เพิ่มความแข็งแกร่งของสายเลือด เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทะลวงระดับการบ่มเพาะมาอยู่ที่ระดับสวรรค์สามัญ
แต่ตอนนี้เขากลับมีทางออกของปัญหาแล้ว
หลังจากที่ได้ยินคำถามของเทียนหยูเฮง เทียนเก๋อก็เล่าเรื่องสายเลือดของหลิงยู่ชานที่แข็งแกร่งกว่าของเขาและแนวคิดการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสายเลือดของตนออกไปจนหมดทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนหยูเฮงก็แสดงสีหน้าลังเล ซึ่งเทียนเก๋อก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านลุง นี่มันเป็นโอกาสสุดท้ายของข้าแล้ว ข้าขอร้องท่านช่วยข้าด้วย! ท่านลองคิดดูสิ การให้สายเลือดที่แข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่กับไอ้เจ้านั่นที่พรสวรรค์ย่ำแย่จนถึงขนาดผ่านมา 200 ปีแล้วยังอยู่แค่ขอบเขตรวมแสงดารามันเป็นการเสียของขนาดไหน”
“จะมีก็เพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถนำตระกูลของเราให้รุ่งโรจน์ได้ หากได้รับสายเลือดนั้นมา ซึ่งข้ารับประกันได้เลยว่าข้าจะพาตระกูลเราให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าในอดีตแน่นอน”
เทียนหยูเฮงเงียบไปสักพัก จากนั้นเขาพยักหน้าและพูดว่า “สิ่งที่เจ้าพูดมันก็มีเหตุผล แต่ไม่ว่าจะยังไงอันดับแรกเขาต้องกลับไปที่สันเขาทรราชของพวกเราก่อน และให้เขาเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษและไปที่เส้นชีพจรของตระกูลเราเพื่อปรับปรุงสายเลือดของเขา จากนั้นพวกเราถึงจะค่อยลงมือ แม้ว่าเราจะเอาสายเลือดของเขาไปแต่เราก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะต้องไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ด้วย ดังนั้นอันดับแรกเจ้าจงไปหาวิธีการพาเขากลับไปที่เมืองของพวกเราก่อน”
เทียนเก๋อรีบพยักหน้ารับทันที “ข้าจะรีบคิดหาวิธีทันที ไม่ว่าจะยังไงข้าต้องพาเขากลับไปที่สันเขาทรราชให้ได้!”
ทางด้านของหลิงยู่ชาน เมื่อเขาได้มาเจอพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาแล้ว พ่อแม่ของเขากลับมีความคิดเห็นในเรื่องระดับการบ่มเพาะของเขาว่ามันต่ำเกินหากเทียบกับอายุของเขาเอง ดังนั้นพ่อแม่ของเขาจึงต้องการพาหลิงยู่ชานกลับไปที่สันเขาทรราชเพื่อปรับปรุงสายเลือดของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้
และอีกอย่างเมื่อพวกเขาได้เจอหลิงยู่ชาน มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พวกเขาจะต้องพาหลิงยู่ชานกลับไปเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ หลิงยู่ชานก็ได้แต่ต้องทำตามที่พ่อแม่เขาขออย่างช่วยไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะไปเขาก็ได้ส่งข่าวนี้กลับไปยังคฤหาสน์สราญรมณ์เพื่อให้ทุก ๆ คนรู้ก่อน จากนั้นเขาก็ตามเทียนซ่งหยูกลับไปที่สันเขาทรราช
และแน่นอนว่าการกลับไปยังสันเขาทรราชครั้งนี้ เทียนเก๋อและเทียนหยูเฮงก็ตามกลับไปด้วยพร้อมกับแผนการในใจที่หลิงยู่ชานไม่อาจคาดเดาได้ว่าภัยร้ายกำลังจะหล่นใส่หัวเขาในไม่ช้า
ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้หลิงตู้ฉิงได้เดินทางมาถึงนิกายไท่อี้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อหลิงตู้ฉิงได้มาถึงนิกายไท่อี้ เขาและพวกของเขาก็ได้เจอกับการต้อนรับแบบเต็มรูปแบบ ในชนิดที่ว่าการต้อนรับของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ที่เขาประสบมานั้นกลายเป็นนรกบนดินไปเลย
พวกเขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงราชา เจ้าสำนักออกมาต้อนรับด้วยตัวเองและจัดให้พวกเขาอยู่ในเรือนพักที่หรูหราที่สุดในนิกายพร้อมกับจัดเตรียมคนจำนวนมากมาคอยดูแลเอาใจใส่ในทุกเวลา
นิกายไท่อี้นั้นเป็นนิกายที่ถูกก่อตั้งมาได้ราว 1 แสนปี ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นก็นับได้ว่าไม่ธรรมดา พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิอยู่ 1 คน
ส่วนทางด้านกลุ่มของหลิงตู้ฉิงนั้นยกพวกกันมาจนหมดรวมไปถึงบรรดาทาสรับใช้ที่เขาได้รับมาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิเช่นกัน
และด้วยการยกพวกกันมาเยอะขนาดนี้ มันก็กลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นิกายไท่อี้ต้อนรับหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างดี จนถึงขนาดเจ้าสำนักออกคำสั่งให้ลูกสาวของตนเองมาคอยปรนนิบัติหลิงตู้ฉิงด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเผชิญกับการต้อนรับขับสู้ดีขนาดนี้ หลิงตู้ฉิงก็จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นิกายไท่อี้นานถึงครึ่งปี เพราะเขาไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจดีของนิกายแห่งนี้ได้
ครึ่งปีต่อมาพวกเขาทั้งหมดก็ใช้ประตูเคลื่อนย้ายของนิกายไท่อี้ไปโผล่ที่อาณาเขตที่อยู่ติดกับอาณาเขตวิญญาณโลหิต เพื่อที่อันดับแรกพวกเขาจะได้ส่งหนิงฉิงและเล้งหยวนที่เป็นคนของสำนักวิญญาณโลหิตให้กลับไปที่สำนักได้สะดวกก่อน
“นายท่าน ตรงจุดที่เราอยู่มันใกล้กับสำนักวิญญาณโลหิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจะให้หนิงฉิงและเล้งหยวนแยกกับพวกเราตรงนี้เลยก็แล้วกัน!” หมิงยู่ยิ้มและเอ่ยขึ้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นหนิงฉิงและเล้งหยวนก็โค้งคำนับและจากไปในทันที
ทางด้านของหลงเฉิน เมื่อเห็นว่าหนิงฉิงและเล้งหยวนจากไปจนลับตาแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า “นายท่าน ห่างออกไปอีก 2 อาณาเขตพวกเราก็จะถึงที่หมาย แต่ว่าภูเขาเอ้อหลงบ้านของข้าก็อยู่ใกล้ ๆ นี้ด้วยเช่นกัน ท่านอยากจะลองไปเยี่ยมชมบ้านของข้าสักหน่อยไหม?”
รถมังกรที่เขาลากอยู่ตอนนี้อันที่จริงมันต้องใช้มังกร 9 ตัวในการลาก ซึ่งในตอนนี้มันมีแค่เขาคนเดียวที่ลากมัน หลงเฉินจึงมีความคิดว่าถ้าหากเขาได้มีโอกาสกลับไปที่ภูเขาเอ้อหลงเมื่อไหร่ เขาจะไปตามบรรดาญาติมิตรของเขาที่สนิทสนมให้มาช่วยกันลากรถมังกร เพื่อที่คนในครอบครัวเขาทุกคนจะได้รับผลประโยชน์เหมือนกับเขา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงก็หัวเราะขึ้นและพูดว่า “มันจะดีที่สุดหากเราไม่ไปที่ภูเขาเอ้อหลงของเจ้า ขืนพวกเราไปทั้งแบบนี้มีหวังได้เกิดสงครามขึ้นแน่นอน!”
หากเหล่ามังกรที่อยู่ในภูเขาเอ้อหลงได้มาเห็นว่า หลงเฉินถูกจับมาลากรถแบบนี้ มันคงจะแปลกประหลาดเป็นอย่างมากที่พวกเขาจะไม่โมโห
แต่มันก็แน่นอนว่าถ้าหากเกิดการต่อสู้กันขึ้นจริง ๆ ในท้ายที่สุดรถมังกรของพวกเขาก็คงได้มังกรมาลากครบ 9 ตัวแน่นอน
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องไปภูเขาเอ้อหลงในตอนนี้ พวกเรามุ่งตรงไปที่สำนักเต๋าสวรรค์กันก่อน”
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงเองก็อยากที่จะไปเจอลูกสาวของเขาเร็ว ๆ ส่วนปัญหาเรื่องมังกรไม่พอลากรถนั้น เขาแน่ใจว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ในอนาคต
ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าการที่เขาจะต้องไปเจอกับลูกสาวของเขาเพื่อดูว่านางสบายดีหรือไม่
“คุณหนูว่านถิง ไปอยู่ที่สำนักเต๋าสวรรค์กว่าร้อยปีแล้ว ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าในตอนนี้คุณหนูจะเป็นอย่างไรหรือว่ามีใครรังแกนางรึเปล่า?” เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชาทันที “ข้าเตือนคนของสำนักเต๋าสวรรค์ไปแล้วในตอนนั้น หากพวกเขาไม่ฟังและกล้ารังแกลูกสาวของข้า ข้าจะทำให้พวกเขาได้เจอดี!”
เนื่องจากแผ่นหยกที่บรรจุพลังชีวิตของซือโถวเหวินหยวนยังอยู่ดี ดังนั้นมันจึงหมายความว่ายังไม่เกิดเรื่องอะไรกับหลิงว่านถิง ซึ่งมันทำให้หลิงตู้ฉิงโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง
หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี ในที่สุดกลุ่มของหลิงตู้ฉิงก็ได้เดินทางมาถึงอาณาเขตเต๋าสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักเต๋าสวรรค์