แค่เพียงก้าวแรกที่ทุกคนเหยียบเข้าไปในอาณาเขตเต๋า ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขามาไม่ผิดที่แน่นอน เนื่องจากบรรดาผู้คนที่อยู่ในอาณาเขตแห่งนี้แทบจะทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดนักพรตเต๋าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
“นายท่าน ทำไมคนของที่นี่ถึงบวชเป็นนักพรตกันเยอะขนาดนี้?” หยุนจื่อรุ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “อันที่จริงคนพวกนี้คือคนของสำนักเต๋าสวรรค์ทั้งหมด เส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขานั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของโลก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เอาแต่บ่มเพาะอยู่ในสำนักแค่เพียงอย่างเดียว พวกเขามักออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และเมื่อเจอสถานที่ที่ถูกใจ พวกเขาก็จะสร้างวัดและนั่งอยู่ตรง ณ จุดนั้น ๆ เป็นเวลาหลายปี นี่คือสิ่งที่เหล่าคนของสำนักเต๋าสวรรค์เป็นมาตั้งแต่โบราณกาล”
“สำนักเต๋าสวรรค์คือหนึ่งในสำนักที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเนื่องจากพวกเขาอยู่มาเป็นเวลานาน รากฐานของพวกเขาจึงหยั่งรากลึกไปจนถึงขนาดที่แม้แต่ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดยังไม่กล้าล่วงเกิน” เย่ชิงเฉิงอธิบายเสริม
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะนายหญิง?” เปียนเฉียวเฉียวถามขึ้น
เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “นั่นก็เพราะว่าทั้งอาณาเขตเต๋าแห่งนี้มันคือส่วนหนึ่งของสำนักเต๋าสวรรค์ด้วยน่ะสิ”
“นี่ท่านหมายความว่าตอนนี้พวกเราได้ก้าวเข้ามาในสำนักเต๋าสวรรค์แล้วงั้นเหรอ?” หยุนจื่อรุ่ยรู้สึกงุนงง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง พวกเราได้เข้ามาในพื้นที่ของสำนักเต๋าสวรรค์แล้ว ที่สำคัญพื้นที่ทั้งหมดของอาณาเขตเต๋าแห่งนี้เต็มไปด้วยเจตจำนงของผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ระดับเหนือขอบเขตราชันทุกคนของสำนักเต๋าสวรรค์ที่หลงเหลือทิ้งเอาไว้ให้บรรดาคนรุ่นใหม่ของสำนักได้ศึกษาแต่ถ้าหากมีศัตรูบุกเข้ามา บรรดาเจตจำนงที่สถิตอยู่ก็จะกลายเป็นอาวุธที่เอาไว้คอยขับไล่ผู้บุกรุกให้ออกไป นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีใครกล้าที่จะมาหาเรื่องสำนักเต๋าสวรรค์”
“เจ้าก็ลองคิดดูเอาก็แล้วกันว่าสำนักเต๋าสวรรค์นั้นดำรงอยู่มาเป็นล้านปี ดังนั้นสำนักของพวกเขาจะเคยมีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เหนือขอบเขตราชันมาแล้วกี่คน ซึ่งทุกคนต่างก็ทิ้งเจตจำนงของตัวเองไว้ที่นี่กันหมด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวต่างก็ครุ่นคิดและรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก
พวกนางประมาณการกันอย่างน้อย ๆ ว่าสำนักแห่งนี้น่าจะอยู่มาเป็นล้านปี ดังนั้นพวกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันขึ้นไปก็คงน่าจะมีถึงหลักแสนคนใช่ไหม?
ดังนั้นถ้าหากมีศัตรูบุกมาเมื่อไหร่ มันก็เท่ากับว่าอันดับแรกบรรดาศัตรูเหล่านั้นก็ต้องปะทะกับเจตจำนงนับแสนที่อยู่ในระดับขอบเขตราชันขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสำนักไหนที่มีกองกำลังผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันขึ้นไปได้ถึงแสนคน
แต่แน่นอนว่าทุกอย่างล้วนมีสมดุลของมัน ถึงแม้ว่าสำนักเต๋าสวรรค์จะมีเจตจำนงที่แข็งแกร่งอยู่นับแสนแต่เจตจำนงเหล่านี้ก็ไม่อาจถูกเคลื่อนย้ายได้ ทำได้แค่เพียงเป็นแหล่งความรู้ให้กับเหล่าผู้คนรุ่นใหม่ของสำนักเต๋าสวรรค์ได้ศึกษาหรือไม่ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้เท่านั้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดต่อ “แต่เหตุผลที่สำนักเต๋าสวรรค์นั้นอยู่มาได้นานขนาดนี้นั้นไม่ใช่เพราะพวกเขามีเจตจำนงที่แข็งแกร่งนับแสนคอยปกป้องเพียงอย่างเดียว เหตุผลที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือแนวคิดของสำนักพวกเขานั้นเน้นไปที่การดำรงอยู่อย่างสงบและเรียบง่าย ไม่เช่นนั้นต่อให้พวกเขาจะมีเจตจำนงที่คอยปกป้องพวกเขามากมายขนาดไหนมันก็คงไม่สามารถช่วยพวกเขาได้เช่นกัน”
ในความเป็นจริงต่อให้สำนักเต๋าสวรรค์จะมีเจตจำนงที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพูดหลักแสน ต่อให้เป็นหลักสิบล้านแต่ถ้าหากไปเจอกับตัวตนที่อยู่คนละระดับไปแล้ว ทุกอย่างก็อาจจะหายไปได้แค่ชั่วพริบตา
ยกตัวอย่างเช่นตัวตนของอัจฉริยะในอดีตที่พยายามสร้างโลกใบใหม่แต่ไม่สำเร็จจนกลายเป็นเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับในปัจจุบัน
ในอดีต ตัวตนนั้นสามารถแยกแผ่นดินของโลกออกจนกลายเป็นทวีปแบบในปัจจุบันได้ ดังนั้นนับประสาอะไรกับสำนักเต๋าสวรรค์ที่มีแค่เจตจำนงหลักแสน?
ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน จู่ ๆ ก็มีชายคุ้นหน้าผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ชายผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นคือ อู๋หลิงซี ผู้ซึ่งเป็นผู้มารับตัวหลิงว่านถิงที่อาณาเขตนภา
อู๋หลิงซีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าผู้มีพระคุณจะมาเยือนสำนักเต๋าสวรรค์ของเราเร็วขนาดนี้”
เขาไม่ต้องการให้หลิงตู้ฉิงมาที่สำนักของเขาแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งตัวตนของเทพกระบี่นั้นมีศัตรูอยู่มากมายแถมลักษณะนิสัยก็ใช่ว่าจะเมตตาอะไรนัก หากมีสิ่งใดไม่ถูกใจหลิงตู้ฉิงขึ้นมา สำนักของเขาอาจตกอยู่ในความวุ่นวายได้ง่าย ๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อยากต้อนรับข้าสักเท่าไหร่สินะ” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “ว่าแต่ลูกสาวของข้าอยู่ที่ไหน? นางสบายดีรึเปล่า?”
ใครมันจะไปอยากต้อนรับเจ้ากัน? อู๋หลิงซีคิดในใจ
แน่นอนว่าภายนอกเขาเผยรอยยิ้มกลบเกลื่อนและพูดว่า “ในตอนนี้ว่านถิงกำลังอยู่ในช่วงการทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาของสำนักเราอยู่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนนาง พวกเราจึงไม่ได้แจ้งกับนางว่าท่านได้มาถึงที่นี่เมื่อเราสัมผัสได้ถึงตัวตนของท่าน แต่ด้วยความสามารถอันเป็นอัจฉริยะของนาง ข้าคิดว่าอีกไม่นานนางคงจะออกมาเจอกับท่านได้อย่างแน่นอน ผู้มีพระคุณ ในระหว่างที่รอนี้ข้าขอพาท่านไปที่สำนักของเราก่อนเพื่อให้ท่านได้พักผ่อนหลังจากเดินทางมาไกล”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “พาข้าไปเจอกับนางก่อน ข้าต้องการที่จะรู้ว่าในตอนนี้นางกำลังทำอะไรอยู่และต้องการที่จะรู้ว่าในระหว่างที่นางอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน นางได้เจอกับความยากลำบากอะไรบ้างรึเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู๋หลิงซีถึงกับใจเต้นระส่ำ เขาเหลือบมองไปที่บรรดาทาสรับใช้ที่มีระดับการบ่มเพาะไม่ธรรมดาที่อยู่ข้างหลังหลิงตู้ฉิง จากนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ในมุมมองของพวกเรา ลูกสาวของท่านเปรียบได้ดั่งสมบัติอันล้ำค่าของสำนัก พวกเราจะกล้าสร้างความยากลำบากให้นางได้อย่างไร?”
อู๋หลิงซีนั้นอยู่ในขอบเขตราชันขั้นสูงสุด เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบรรดาทาสรับใช้ที่ติดตามหลิงตู้ฉิงมาด้วยนั้นบางคนอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิด้วยซ้ำ และที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือ เล้งเจี้ยนชิว ที่เป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเขาเคยเห็นหน้ามาก่อน
เขารู้สึกว่ามันแปลกเป็นอย่างมากที่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงพวกนี้กลายเป็นผู้ติดตามหลิงตู้ฉิง
ต้องรู้ว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงทั้งหลายต่างก็รักในศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ยินยอมติดตามใครง่าย ๆ ได้แบบนี้โดยเฉพาะกับหลิงตู้ฉิง ที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดหากลูกสาวของข้าอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใด ๆ”
หลังจากนั้นอู๋หลิงซีก็พากลุ่มของหลิงตู้ฉิงมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของอาณาเขตเต๋า หรือก็คือที่ตั้งของสำนักเต๋าสวรรค์
ในระหว่างทางที่พวกเขามุ่งหน้าไป บรรดาคนของหลิงตู้ฉิงก็ได้เห็นวัดน้อยใหญ่มากมายเกลื่อนกลาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ส่วนสำนักเต๋าสวรรค์นั้นรูปลักษณ์ของมันก็วัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาเขตเต๋าแห่งนี้
“คุณชายหลิง นี่คือเจ้าสำนักของพวกเรา เจ้าสำนักโม่หลิงซี ท่านเจ้าสำนัก นี่คือพ่อของว่านถิง คุณชายหลิงตู้ฉิง” อู๋หลิงซีแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
โม่หลิงซียิ้มและพยักหน้า “คารวะผู้มีพระคุณ!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าตอบรับ ส่วนทางด้านของเย่ชิงเฉิงก็รีบเอ่ยขึ้นทันที “คารวะผู้อาวุโสโม่ ท่านพ่อของข้า เย่ชางคงเลื่อมใสผู้อาวุโสโม่มานานแล้ว และเคยเล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟังอยู่บ่อย ๆ”
โม่หลิงซียิ้มและพูดว่า “พ่อของเจ้าสบายดีรึเปล่า?”
เย่ชิงเฉิงยิ้มและตอบกลับ “ด้วยความช่วยเหลือของสามีข้า ในตอนนี้พ่อของข้าจึงออกมาจากเขตแดนหมอกนั่นได้แล้ว”
ในเมื่อตอนนี้พ่อของนางไม่เป็นอะไรแล้ว ดังนั้นนางจึงเต็มใจที่จะประกาศเรื่องสถานการณ์ที่เคยสร้างปัญหาให้กับสำนักของนางออกไปเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าในตอนนี้สำนักของนางไม่มีปัญหาเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
โม่หลิงซีอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับสำนักของเจ้ามาก”
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณสามีของข้า!” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ
“ท่านช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก” โม่หลิงซียิ้มให้กับหลิงตู้ฉิง เขาเองก็รู้มาก่อนหน้านี้จากอู๋หลิงซีแล้วว่า หลิงตู้ฉิง คือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด
ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะมีข่าวอีกทางด้านหนึ่งปรากฏขึ้นว่าเทพที่กระบี่ที่กลับชาติมาเกิดนั้นเป็นคนของสำนักวิญญาณกระบี่ แต่เขาก็ไม่คิดจะถามอะไรเรื่องนี้กับหลิงตู้ฉิง
หลังจากทักทายกันได้สักพัก โม่หลิงซีมองไปที่เล้งเจี้ยนชิว และถามขึ้นว่า “หากข้าจำไม่ผิดท่านน่าจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เล้งเจียนชิวใช่ไหม?”
เล้งเจี้ยนชิวพยักหน้า “คารวะ เจ้าสำนักโม่!”
โม่หลิงซีถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “ผู้อาวุโสเล้งมีธุระอะไรรึเปล่าถึงได้มาที่สำนักของข้า?”
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย เนื่องจากตัวตนระดับเล้งเจี้ยนชิวไม่ควรจะมาที่สำนักของเขาโดยไม่มีเหตุสำคัญใด ๆ
เล้งเจี้ยนชิวตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่ได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว ในอนาคตข้ามีหน้าที่รับใช้นายท่านเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
โม่หลิงซีและอู๋หลิงซีต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง ใครกันเป็นนายท่าน?
แต่เมื่อพวกเขาเห็นการกระทำต่อไปของเล้งเจี้ยนชิวที่โค้งตัวคำนับให้กับหลิงตู้ฉิง พวกเขาก็ยิ่งงุนงงหนักไปกันใหญ่!