[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 44 มีนายพรานเพิ่มอีกสองคน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ต้าถังมักจะมีกฎเกณฑ์อยู่เสมอ แม้ขุนนางทุกคนจะมีความเป็นอิสระแต่ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมีวิกฤตการณ์เกิดขึ้น ตัวเองย่อมต้องเอาชนะด้วยตัวเอง แต่เมื่อภัยอันตรายมาถึงทุกคน ทุกคนต่างก็พากันลุกขึ้นมาโจมตีด้วยกัน 

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้กฎข้อนี้มาตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะกังวลเรื่องที่ส่งภรรยาและลูกออกไป แต่เขาจะแอบซ่อนตัวไม่ได้เด็ดขาด ท่านย่าเข้าใจ ซินเย่วก็เข้าใจ แต่ความเห็นแก่ตัวของความรักทำให้นางจงใจลืมกฎข้อนี้ไป นางอยากจะพาท่านพี่ของตัวเองไปแอบซ่อนตัวอยู่ไกลๆ 

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยถูกคนรับใช้ของสำนักศึกษาแบกกลับมา ซินเย่วเกือบจะเป็นลม นางกังวลว่าร่างที่ถูกแบกกลับมาจะเป็นศพ พระเจ้าคุ้มครอง นางเห็นท่านพี่นอนยิ้มให้นางอยู่บนเปลหาม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของนางจึงยิ้มออกมาได้ ขอแค่เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร 

 

 

แบกเปลหามเข้ามาในบ้านทั้งหมดสี่เปล เห็นติงเหยี่ยนผิงที่น่าสังเวชนอนอยู่บนเปล ซ่านอิงขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เท้าข้างหนึ่งของเขาเหลือแค่กระดูก อีกข้างหนึ่งก็ดูบิดเบี้ยว แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยบาดแผล คนที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นคนนี้เป็นอาจารย์ผู้สูงส่งมาตลอดของตัวเอง 

 

 

ฉิวหรันเค่อเอะอะโวยวายจะกลับบ้านหลี่จิ้ง เขาไม่อยากอยู่ที่บ้านของตระกูลอวิ๋นต่อไปอีกแม้แต่นาทีเดียว แต่อวิ๋นเยี่ยให้เขาอยู่ที่นี่ ซุนซือเหมี่ยวจะรักษาแผลให้พวกเขา หนามเหล็กพวกนั้นขึ้นสนิมหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่อยากให้พวกเขาเป็นบาดทะยักตาย เช่นนั้นเขาคงไม่มีคำอธิบายให้หลี่จิ้งจริงๆ 

 

 

“ไอ้สารเลว มานี่ หรือต้องให้ข้าขอร้องเจ้า?” ติงเหยี่ยนผิงเรียกซ่านอิง 

 

 

ซ่านอิงเดินเข้าไปหาติงเหยี่ยนผิงด้วยความเคยชิน แต่เขากลับเห็นว่ามีน้ำตาอยู่ในเบ้าตาของติงเหยี่ยนผิง เขาพูดกับซ่านอิงด้วยความสั่นเทาว่า “ข้าไม่ขออะไรจากเจ้า ข้าขอแค่ให้เจ้ารีบไปที่เกาะโจวซัน ไปบอกอาจารย์หญิงของเจ้า บอกให้นางพาลูกออกไปอยู่ที่อื่น อยู่ที่นั่นไม่ได้แล้ว บอกให้นางเลี้ยงลูกของข้าให้โตเป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ใต้ดิน ข้าก็จะขอบคุณความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของนาง” 

 

 

ฟังคำขอร้องเช่นนี้ของเขา ซ่านอิงก็พยักหน้าลง และจู่ๆ เขาก็นึกถึงปัญหาที่ร้ายแรงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และรีบถามว่า “ให้ข้าบอกน้องหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เขาจะได้แก้แค้นให้กับเจ้าในอนาคต” 

 

 

ช่วยพูดให้คนอื่นก็ต้องพูดให้หมด ซ่านอิงไม่สนใจว่าศัตรูของอาจารย์คือใคร สิ่งที่ควรพูดก็ควรจะพูด เขาไม่มีทางปิดบังเพราะว่าศัตรูของอาจารย์คืออวิ๋นเยี่ย 

 

 

“เรื่องแก้แค้นช่างมันเถอะ เด็กคนนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นเยี่ย จำไว้ให้ดี อวิ๋นเยี่ยคือคนที่ชั่วร้ายที่สุดบนโลกใบนี้ ข้าแค่หวังว่าลูกชายของข้าจะแต่งงานมีลูกใช้ชีวิตที่ไร้ความกังวล ส่วนเรื่องแก้แค้นให้ช่างมันไปเถอะ ปีนี้ข้าอายุแปดสิบห้า ไม่ว่าจะตายเช่นไรก็ไม่ถือว่าตายก่อนวัยอันควร ปล่อยมันไปเถอะ” 

 

 

ซ่านอิงนั่งอยู่บนเบาะพูดคุยเรื่องของอวิ๋นเยี่ยกับอู่เสอ เขาคิดไม่ออกว่าอวิ๋นเยี่ยทำให้อาจารย์ของเขากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร และทำให้อาจารย์ของเขาแม้แต่แก้แค้นก็ยังไม่กล้าพูดถึง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ 

 

 

เขาอุ้มอาจารย์ออกมาจากเปลหาม แล้วพากลับไปที่ห้องของตัวเอง หยิบมีดขึ้นมาก่อนจะพูดกับอาจารย์ว่า “ขาของท่านใช้งานไม่ได้แล้ว ศิษย์ต้องตัดกระดูกทิ้ง แล้วค่อยเชิญอาจารย์ซุนมาดูขาอีกข้างหนึ่งให้ท่าน ไม่รู้ว่ายังรอดอยู่หรือไม่” 

 

 

ติงเหยี่ยนผิงพยักหน้า เห็นแสงแวววาวของมีดผ่านไป และขาขวาที่มีแต่กระดูกของเขาก็ตกลงไปที่พื้น ซ่านอิงนำผ้าลินินมาห่อกระดูกไว้ แล้วเอามาวางข้างหมอนของติงเหยี่ยนผิง หยิบกาน้ำชามาแล้วค่อยๆ ป้อนให้เขา 

 

 

เสียงกรีดร้องของฉิวหรันเค่อที่อยู่ข้างห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ซุนซือเหมี่ยวกำลังทำความสะอาดสนิมออกจากบาดแผลให้เขา หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ฉิวหรันเค่อยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมดภายในอึกเดียว เขากะจะเมาให้รู้แล้วรู้รอด อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ เขาแทบจะไม่กล้าไปเจอหน้าหลี่จิ้งและภรรยาของเขา 

 

 

เฮ่อเทียนซังถือไม้เท้าเดินไปรอบๆ อวิ๋นเยี่ยไม่หยุด ทุกคนล้วนแต่ขยับไปไหนไม่สะดวก อยากจะหลบไปก็หลบไม่ได้ 

 

 

“อวิ๋นโหว ข้าน้อยได้ตรวจสอบวัดและตำหนักที่ถูกโจมตีอย่างละเอียดแล้ว ข้าน้อยเห็นว่ามันเป็นฝีมือของกลุ่มเดียวกัน อาวุธของพวกเขาแปลกมาก ล้วนแต่เป็นดาบที่มีรูปร่างโค้งมน ไม่เหมือนกับดาบของจงหยวนเลยแม้แต่น้อย ในวันที่เกิดเหตุ มีเพียงเจ้าและองค์ชายสองสามคนที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุด อวิ๋นโหวโปรดลองนึกดูว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินคำพูดของเฮ่อเทียนซัง เขาแทบจะลุกขึ้นจากเบาะมาทันที เขาตกใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อมันเป็นกับดัก ทำไมถึงต้องใช้อาวุธแปลกๆ ด้วย นึกถึงภาพฝูงนกที่โบยบินในคืนนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกสงสัย ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าจะขัดแย้งกัน แต่การต่อสู้กันอย่างโจ่งแจ้งประเจิดประเจ้อเช่นนี้ มันไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเลยสักนิด เมื่อก่อนเขามักจะคิดว่าพระภิกษุและนักบวชลัทธิเต๋านั้นโง่เขลา หรือว่าข้างในนั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่ 

 

 

คิดแบบนี้เขาก็ส่งคนไปเรียกหลิวจิ้นเป่ามา เมื่อเห็นหลิวจิ้นเป่าเจ็บป่วยเขาก็ยิ่งเกลียดติงเหยี่ยนผิงมากกว่าเดิม ตอนนี้คนในครอบครัวล้วนบาดเจ็บและล้มป่วยกันหมด เป็นเพราะไอ้สารเลวเฒ่าผู้นี้คนเดียว 

 

 

“คืนนั้น เขาเห็นเหตุการณ์โจมตีระหว่างพวกเขาด้วยตาตัวเอง มีเรื่องอะไรเจ้าก็ถามเขา หลิวจิ้นเป่า หัวหน้าสายตรวจเฮ่อถามอะไรเจ้าเจ้าก็ตอบไป อย่าปิดบัง” 

 

 

พูดจบก็บอกให้คนรับใช้พาตัวเองกลับไปยังสวนหลังบ้าน ตอนนี้เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา 

 

 

หัวเข่าของอวิ๋นเยี่ยแค่ถูกหินตั๊กแตนเขวี้ยงใส่ แต่ก็ช้ำเป็นวงใหญ่ๆ ต้องใช้เวลาพักผ่อนสักวันสองวันถึงจะหายเป็นปกติดี แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่อยากลุก เขานั่งอยู่บนรถเข็นก็สบายดี เพลิดเพลินไปกับการดูแลของภรรยาอยู่ในสวนหลังบ้าน แม้แต่กินข้าวยังรู้สึกขี้เกียจกินด้วยตัวเอง 

 

 

น่ารื่อมู่ชอบดูแลวีรบุรุษ ท่านพี่ของนางคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ไอ้สารเลวทั้งสามคนต่างก็ถูกท่านพี่ตีจนพิการ ตอนนี้พวกเขายังร้องคร่ำครวญอยู่ที่ลานหน้าบ้าน มีแค่ท่านพี่ที่เข้มแข็งที่สุด แม้แต่นอนหลับฝันก็ยังไม่ร้องสักคำ เมื่อคืนยังคันไม้คันมือ วีรบุรุษก็ควรเป็นเช่นนี้ 

 

 

“น่ารื่อมู่ เคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ชอบกินลูกพลับที่สุด หากเจ้าชอบก็กินให้มากๆ หน่อย เมื่อขาข้าดีขึ้นแล้ว ข้าจะไปหามาเพิ่มให้ หลังจากเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็เอากลับไปกินที่ฉ่าวหยวนด้วย” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้าหลบลูกพลับที่น่ารื่อมู่เอามาป้อนให้เขากิน ผลไม้ชนิดนี้กินแค่ลูกสองลูกก็พอแล้ว กินเยอะเกินไปจะทำให้แม้แต่อึก็อึไม่ออก นอกจากลูกพลับที่มีน้ำค้างแข็ง แบบนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นของดี 

 

 

ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดถึงฉ่าวหยวน น่ารื่อมู่ก็ชอบอกชอบใจแต่ก็โศกเศร้าเล็กน้อย นางฝันอยากกลับไปที่ฉ่าวหยวนอันกว้างใหญ่ แต่ว่าที่นี่ก็เป็นบ้านของนางเหมือนกัน นางชอบฉ่าวหยวน และก็ชอบเขาอวี้ซันเช่นเดียวกัน ที่หนึ่งทำให้ตัวเองมีความสุข อีกที่หนึ่งทำให้ตัวเองอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเลือกเช่นไร  

 

 

อวิ๋นเยี่ยยิ้ม เขาดึงน่ารื่อมู่เข้ามากอดในอ้อมแขน ลูบผมที่เรียบเนียนของนางเบาๆ และพูดว่า “เจ้าเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดในฉ่าวหยวน เจ้าอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะกลับไปยังฉ่าวหยวน กลับไปในความฝันของเจ้า ข้ารู้สึกว่าการที่ให้เจ้ามาอยู่ที่นี่เป็นการทรมานเจ้าอย่างหนึ่ง มันไม่ยุติธรรมกับเจ้าเลย ไปเถอะ อีกสองวันข้าจะฉีดวัคซีนให้ลูกชายและลูกสาวของเรา และรอให้พวกเขาผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไป เมื่อหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิ เจ้ากับฮ่วนเหนียงก็พาลูกสาวของเรากลับไปยังฉ่าวหยวน หยุนซีจะกลายเป็นพ่อบ้านคนใหม่ของเจ้า ใช้ชีวิตให้มีความสุข เมื่อเจ้าเบื่อฉ่าวหยวนแล้วค่อยกลับมาที่นี่ แล้วอีกอย่าง ข้าเองก็จะไปเยี่ยมเจ้าที่ฉ่าวหยวน” 

 

 

น้ำตาของน่ารื่อมู่ทำให้เสื้อของตัวเองเปียกชุ่มไปหมด อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเสียใจ แต่ความเสียใจนี้กลับอยู่ได้ไม่นาน ซินเย่วมาแล้ว นางจงใจบิดตัวไปมาอยู่ตรงนอกประตู แล้วก็เดินกลับมามองราวกับกำลังจับผิดอยู่ 

 

 

“อยากดูก็เข้ามาดู ไม่ต้องแอบดูลับๆ ล่อ ข้าเห็นแล้วโมโห” 

 

 

“ท่านสองคนแอบกอดหอมกันลับหลังข้าแล้วยังไม่อนุญาตให้ข้าดู มา ให้ข้าดูหน่อยซิ ย๊า เจ้านี่มันจริงๆ เลย ท่านพี่พึ่งจะสวมเสื้อผ้าก็เปียกน้ำลายเจ้าไปหมด ไม่สนใจเลยว่าคนทำเสื้อผ้าลำบากแค่ไหน” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยยกมือขึ้นตบที่ก้นของซินเย่วไปทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตาร้องไห้แดงก่ำขนาดนั้นยังจะพูดว่าเป็นน้ำลาย นางไม่ชอบเห็นอวิ๋นเยี่ยรักและเอ็นดูน่ารื่อมู่เป็นที่สุด นางมักจะรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ควรเป็นของนางแค่คนเดียว  

 

 

ซินเย่วถือโอกาสมุดเข้าไปอ้อนในอ้อมแขนของท่านพี่ ผลักน่ารื่อมู่ออกไปไกลๆ โชคดีที่รถเข็นของอวิ๋นเยี่ยใหญ่พอ สองคนเบียดกันอยู่ก็พอได้ ตอนนี้น่ารื่อมู่หยุดร้องไห้แล้ว และมาเกาะอยู่บนหลังของอวิ๋นเยี่ยราวกับลิง อวิ๋นเยี่ยพยายามลุกออกจากรถเข็น เดินออกมาได้สองก้าวก็หอบออกมาอย่างแรง… 

 

 

วันสบายๆ มักจะผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อบนท้องฟ้ามองไม่เห็นนกหงเยี่ยนอีกต่อไป หลิวจิ้นเป่าส่งรายงานการตรวจสอบของเฮ่อเทียนซังมาให้ดู หลังจากอ่านจนจบแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ปิดปากหัวเราะขึ้นมา พวกคนโง่บนโลกใบนี้ หลี่ซื่อหมินคิดว่าตัวเองคือเปี้ยนจวงที่กำลังนั่งมองดูเสือต่อสู้กันอยู่บนภูเขา ใครจะคิดว่าคนที่เฝ้าดูเสือสองตัวต่อสู้กันไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ศาสนาไป้หั่วและศาสนาหมัวหนีล้วนแต่ต้องการเข้ามาแทรกแซง พวกเขาหวังว่าศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าจะเสื่อมโทรมโดยเร็ว ตัวเองจะได้เข้ามาแทนที่ หลายปีมานี้เนื่องจากวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกถูกพวกคนที่ตะโกนว่า ‘อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่’ ผลักดันศาสนาของเอเชียกลางและเอเชียตะวันตกมาสู่ต้าถัง ความจริงแล้วหนึ่งในคนเหล่านั้นนับถือในศาสนาไป้หั่วและศาสนาหมัวหนีเป็นหลัก 

 

 

การที่กองทัพเข้าไปโจมตีชนเผ่าเซวียเหยียนถัวและชนเผ่าเกาชังในครั้งนี้ มีการนำสมบัติล้ำค่ากลับมาด้วยนับไม่ถ้วน แต่ก็นำสิ่งเลวร้ายกลับมาด้วยไม่น้อย เก้าสกุลแห่งเจาอู่ที่เชื่อในศาสนาหมัวหนีถือโอกาสนี้เข้ามาในฉางอัน เมื่อพวกเขาได้ติดต่อกับศาสนาไป้หั่วที่เข้ามาก่อนหน้านี้ พวกเขาพบว่าต้าถังคือสรวงสวรรค์ในการเผยแพร่ศาสนา ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเข้ากันไม่ได้ราวน้ำกับไฟ เมื่อเห็นโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจลงมืออย่างแน่วแน่ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยหัวเราะไม่หยุดบอกให้ซือซือไปเชิญพ่อของนางมา ครั้งก่อนแค่ถูกคนฟันเข้าที่หลัง ทว่าตอนนี้แม้แต่ขาก็พิการแล้ว ในระหว่างที่เดินมีเลือดไหลออกมาตามขากางเกง 

 

 

อวิ๋นเยี่ยหัวเราะและยื่นรายงานการตรวจสอบในมือให้กับเจวี๋ยหย่วน เขาเตรียมที่จะดูปฏิกิริยาของพระภิกษุผู้นี้ ตัวเองถูกคนอื่นเล่นงานราวกับลาโง่ ไม่รู้ว่าเขาจะโมโหหรือไม่ 

 

 

เจวี๋ยหย่วนเชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีทางโกหกเขา เขาแค่รู้สึกหงุดหงิดอยู่เท่านั้นเพราะสองสามวันที่ผ่านมานี้ต้องต่อสู้อย่างดุเดือด ร่างกายไม่ได้พักผ่อน เขาถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดสีดำออกมา 

 

 

ซือซือตกใจจนร้องไห้ แต่อวิ๋นเยี่ยกลับก้มลงมองเลือดที่เจวี๋ยหย่วนถ่มออกมา หัวเราะและพูดกับซือซือว่า “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม พ่อของเจ่าถ่มมันออกมาเป็นเรื่องที่ดี หากถ่มไม่ออกคงจะเป็นเรื่องใหญ่ เอาล่ะ เด็กดี อาจารย์พาเจ้าไปที่ห้องครัว วันนี้เราทอดลูกชิ้นกินกัน อย่ารบกวนพ่อเจ้าพักผ่อน” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเจวี๋ยหย่วนที่มีสีหน้าซีดเซียวซึ่งกำลังยืนพิงกำแพงอยู่ เขาพาซือซือเดินออกไป ตอนนี้ สิ่งที่ไต้ซือเจวี๋ยหย่วนต้องการคือความสงบ ไม่ใช่การปลอบโยน