[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 45 รับโทษแทน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลังจากเห็นโลกมาแล้วมากมาย อวิ๋นเยี่ยก็ลองสำรวจตัวเอง ไป๋อวี้จิงกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปแล้วจริงๆ มักจะมีคนที่คิดไม่ถึงมาหาเรื่องอยู่เสมอๆ นับนิ้วดูแล้วไม่มีสักคนที่รับมือง่าย มีทั้งความรู้มีทั้งฝีมือ แม้แต่ติงเหยี่ยนผิงที่นอนเหมือนตายทั้งเป็นอยู่บนเตียงตอนนี้ก็ยังคงคิดถึงแต่หยกอวี้ไผ 

 

 

เขาบังคับให้ซ่านอิงขโมยหยกอวี้ไผมาให้ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังมองความคิดของชาวถังไม่ออก เอาแต่จ้องจะฆ่าลูกศิษย์ของตัวเอง แล้วทำไมยังหายใจอยู่เช่นนี้ได้อีก ซ่านอิงที่เย่อหยิ่งก็ไม่เคยปฏิเสธ เขาไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยตั้งหลายครั้งหลายหน แต่มักจะพูดได้ครึ่งเดียวก็หน้าแดงแล้วหนีออกไปตลอด 

 

 

ตอนที่ฉิวหรันเค่อจากไป เขาก็เอาหยกอวี้ไผอีกชิ้นหนึ่งให้อวิ๋นเยี่ย หยกทั้งสองชิ้นมองดูก็รู้ว่าแตกออกมาจากหยกชิ้นเดียวกัน หากเอาหยกสองชิ้นนี้มาวางด้วยกันจะเห็นว่ารอยในส่วนบนของหยกสามารถเชื่อมติดกันได้ 

 

 

เคยเอาไปไว้ใต้แสงอาทิตย์ดู ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเกิดขึ้น จากนั้นก็ลองเอาไปไว้ใต้แสงพระจันทร์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้แต่ใช้แสงจ้าก็ไม่มีผล หยกอวี้ไผก็ยังเป็นหยกอวี้ไผ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจสักนิด 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนึกถึงหยกอวี้ไผที่ตัวเองเคยทำขึ้นมาเมื่อปีก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว ตอนนั้นเขาว่างไม่มีอะไรทำ นึกถึงวิธีการทำโบราณวัตถุของรุ่นหลังขึ้นมา เขาจึงทำการทดลอง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว 

 

 

ใต้ต้นโบตั๋นในสวนดอกไม้ อวิ๋นเยี่ยเอาผ้าซับเหงื่อปิดจมูก ใช้ความพยายามไปไม่น้อยกับการฝืนใจขุดกระดูกแกะ คุ้ยหาในกองกระดูกอยู่ตั้งนานถึงได้หาหยกที่ถูกโคลนห่ออยู่เจอ หยิบมันออกมาแล้วจากนั้นก็ฝังกระดูกกลับเข้าไปที่เดิม อย่ามองว่าดอกโบตั๋นนั้นสวยงาม อันที่จริงแล้วดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้กินเนื้อชนิดหนึ่ง หากบ้านใครมีแกะตาย วัวตาย หมาตาย คนตายก็เอาใส่ฝังไว้ใต้ต้น ผ่านไปสองสามปีดอกโบตั๋นต้นก็จะบานสะพรั่ง 

 

 

ในตอนที่ได้ชมดอกโบตั๋นในพระราชวัง ตอนนั้นเขาพูดอะไรออกมาสักประโยคหนึ่งที่ทำให้จั่งซุนโมโห แล้วยังไล่เขาออกจากพระราชวัง และต่อไปก็ไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้ดอกโบตั๋นอีก หากฝ่าฝืนจะถูกสับเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้ 

 

 

มานึกดูแล้วเขาเพียงแค่ถามออกไปว่าดอกโบตั๋นบานสะพรั่งขนาดนี้ต้องกินเนื้อคนไปไม่น้อยแน่ๆ ใช่หรือไม่ ประโยคนี้แค่ฟังก็รู้ว่ากำลังชื่นชมความงามของดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่ง จั่งซุนต้องโมโหขนาดนั้นเชียวหรือ นอกจากคำว่าวัวสันหลังหวะก็ไม่มีคำอื่นอธิบายได้เหมาะสมอีก 

 

 

เมื่อกลับมายังสำนักศึกษา หลักจากปิดประตูให้ดีก็พบใครคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดหยกอยู่ข้างใน เดิมทีเป็นหยกโบราณเพียงแค่แกะสลักใหม่เล็กน้อยจึงดูไม่ต่างไปจากหยกแบบเดิมมากนัก รูปร่าง วัสดุ และการแกะสลัก แทบมองไม่เห็นความแตกต่างเลยสักนิด ส่วนลวดลายข้างบนนั้นอวิ๋นเยี่ยตกแต่งให้มันหรูหราแต่ยังคงลักษณะเดิมไว้ อย่างเช่นเพิ่มเส้นสองเส้นในพื้นที่ว่างเข้าไป แต่ถ้าในส่วนที่มีเส้นเยอะเกินไปก็ลดจำนวนเส้นลง เช่นนี้ถึงจะพอดีและค่อนข้างสอดคล้องกับความสวยงามในสายตาของอวิ๋นเยี่ย 

 

 

บนหยกมักจะมีกลิ่นคาวอ่อนๆ ตอนที่ท่านลุงหลีสือแกะสลักมาให้ยังไม่มีกลิ่นนี้ แต่เมื่ออวิ๋นเยี่ยนึกได้ว่าหยกชิ้นนี้อยู่ในท้องของแกะที่ตายไปแล้วนานกว่าสองปี เขาก็เข้าใจทันที ตระกูลอวิ๋นมีอำพันทะเลที่ผสมไว้แล้ว บอกให้เชิ่นซินนำออกมาขวดหนึ่ง เอาหยกใส่ลงไป เขาไม่เชื่อว่ากลิ่นหอมที่รุนแรงเช่นนี้จะกลบกลิ่นเหม็นของหยกไม่ได้ 

 

 

สามวันต่อมาอวิ๋นเยี่ยก็หยิบหยกออกมา ให้เชิ่นซินที่จมูกดีราวกับจมูกสุนัขลองดมดู เขาไม่ได้กลิ่นแปลกๆ ของหยกแล้ว และเอาแต่พูดเสียดายอำพันทะเลอันแสนมีค่ามีราคา 

 

 

ในเมื่อหยกสองชิ้นนั้นมองอะไรก็ไม่ออก เขาจึงเลิกสนใจมันแล้วไปขุดหลุมหน้ารังมดในสำนักศึกษาแทน จากนั้นก็ฝังกล่องเล็กๆ ที่บรรจุหยกลงไป อวิ๋นเยี่ยคิดไม่ออกว่ายังจะมีใครขุดกล่องนี้ออกมาได้ สำหรับหลี่ไท่ที่ลองเล่นหยกอวี้ไผมาแล้วสองวัน ข้อสรุปสุดท้ายก็คือมันเป็ยเพียงแค่หยกสองชิ้น และเมื่อเขาหมดความสนใจในของบางสิ่ง เขาก็ไม่มีวันสนใจมันอีก 

 

 

ในที่สุดพิธีศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ซื่อหมินก็จบลงได้เสียที เขาจัดพิธีไปสองเดือนเต็ม แม้แต่การสอบครั้งใหญ่ที่ควรจะจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ยังต้องล่าช้า เขาไม่สามารถรักษาสมดุลของสำนักศึกษาและลูกศิษย์คนอื่นๆ ได้จึงต้องกัดฟันเลื่อนการสอบไปปีหน้าแทน และกำลังพิจารณาข้อเสนอของอวิ๋นเยี่ยที่บอกว่าสามปีจัดสอบใหญ่เพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น 

 

 

ในที่สุดหยกที่แขวนอยู่บนเตียงของอวิ๋นเยี่ยก็หายไปแล้ว มันทำให้อวิ๋นเยี่ยโล่งใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าติงเหยี่ยนผิงเองก็หายไปแล้ว และคนที่หายไปด้วยต้องเป็นซ่านอิงอยู่แล้ว เด็กคนนี้เห็นความผูกพันสำคัญกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก สุดท้ายเขาก็ทนต่อความยืนหยัดของติงเหยี่ยนผิงไม่ได้ ขโมยหยกไปให้อาจารย์ของตัวเองจนได้ 

 

 

ที่ข้างนอกห้องหิมะกำลังโปรยปรายตกลงมา เป็นผลส่วนหนึ่งจากลมทางตอนเหนือ ท่ามกลางสภาพอากาศเช่นนี้ซ่านอิงคงพาคนพิการที่เหลือแค่ขาข้างเดียวออกไปไหนได้ไม่ไกลหรอก รออีกสักหน่อยดีกว่า ให้พวกเขาออกไปไกลอีกนิด อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ความผูกพันคนหนึ่ง 

 

 

อวิ๋นน้อยลากท่านพ่อของตัวเองเพราะอยากออกไปเล่นหิมะ เขาพึ่งจะทำเช่นนั้นก็ถูกท่านแม่ปรามด้วยการตบไปที่ก้นสองที อวิ๋นน้อยวัยสองขวบครึ่งรู้ดีอยู่แล้วว่าบ้านหลังนี้คำพูดของใครใหญ่ที่สุด แค่ท่านพ่อเป็นคนพาตัวเองไป ถึงแม้ว่าจะทำให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะไม่มีใครกล้าว่าอะไร 

 

 

หิมะแรกในกวนจงมักจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ เพราะเมื่อหิมะตกลงบนพื้นก็กลายเป็นน้ำทันที ผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นโคลน ในเมื่อลูกชายชอบเล่นโคลน คนเป็นพ่อมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เล่นกับลูก หิมะบนกำแพงสวนดอกไม้เป็นชั้นหนา สองพ่อลูกพากันปั้นลูกบอลหิมะและโยนลูกบอลหิมะใส่หลิวจิ้นเป่าอย่างสนุกสนานเป็นที่สุด 

 

 

“ท่านโหว ซ่านอิงหายตัวไปเมื่อคืนนี้ ข้าน้อยไปดูมาแล้ว ติงเหยี่ยนผิงก็หายไปเช่นกัน หรือว่าซ่านอิงจะปล่อยเขาไป? ท่านอย่าได้โทษซ่านอิง เขาเป็นเพียงคนที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันมากเกินไปเท่านั้น” 

 

 

“เจ้ากำลังจะบอกว่า ในเมื่อซ่านอิงพาอาจารย์ของตัวเองหนีไปแล้ว ตระกูลเราก็ควรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขายังขโมยหยกที่สำคัญที่สุดในตระกูลไปด้วย หยกที่ซีถงมอบให้ข้า” 

 

 

หน้าของหลิวจิ้นเป่าแดงก่ำขึ้นมาทันที ซ่านอิงพาอาจารย์หนีไป เขาคิดว่าน่าจะพอให้อภัยกันได้ แต่กลับขโมยของมีค่าของตระกูลไปด้วย เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพาลูกชายเล่นโคลนต่อไป ลานหน้าบ้านเต็มไปด้วยความโกลาหล มีม้าเร็ววิ่งออกไปแจ้งความก่อน จากนั้นหลิวจิ้นเป่าที่พกอาวุธครบครันก็พาองครักษ์สี่สิบกว่านายจูงสุนัขล่าห้าหกตัววิ่งห้อตะบึงออกไปที่ถนน หากซ่านอิงคิดอยากจะออกไปให้ไกล เขาต้องใช้รถม้าเท่านั้น 

 

 

ปิดหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นภายในสิบไมล์ก็ยังไม่พบข่าวคราว ซ่านอิงวิ่งออกไปไกลกว่าสิบไมล์ตั้งนานแล้ว หลิวจิ้นเป่าอยากจะเพิ่มรัศมีค้นหาไปอีกห้าสิบไมล์แต่กลับถูกเหล่าจวงตบหัวเข้าให้ ใครจะกล้าหาญรวมฉางอันเข้ามาด้วย 

 

 

ในเมื่อกำลังคนขาดแคลน เหล่าไล่ที่ค่ายทหารเรือจึงได้รับคำสั่งจากอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยมีสิทธิที่จะเคลื่อนย้ายทหารสามร้อยนายได้ จากนั้นทุกที่ก็เต็มไปด้วยทหารสวมชุดเกราะตามหาซ่านอิงและติงเหยี่ยนผิง ทั่วทั้งฉางอันต่างพากันคาดเดาว่าที่จริงแล้วตระกูลอวิ๋นถูกขโมยอะไรไปกันแน่ เหตุใดถึงไม่จบไม่สิ้นเสียที 

 

 

กองทัพเรือทางทิศตะวันออกของเมืองได้รับคำสั่งจากอวิ๋นเยี่ยแล้ว บอกให้พวกเขาคอยจับตามองคนที่ขาขาดไปข้างหนึ่ง หากมีคนแบบนั้นต้องการจะขึ้นเรือต้องได้รับการตรวจสอบจากตระกูลอวิ๋นเสียก่อน สำหรับกองทัพเรือใหม่ของอวิ๋นเยี่ย ทั้งหมดเริ่มทำงานอย่างขยันขันแข็งทันที 

 

 

เมื่อกลุ่มนักเลงเล็กๆ และพวกอันธพาลท้องถิ่นในเมืองฉางอันได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีเงินหนึ่งพันเหรียญเป็นรางวัล พวกเขาก็รีบออกปฏิบัติการทันที หอนางโลม โรงเตี๊ยม ไม่ยอมปล่อยไปสักที่ 

 

 

หลังจากที่ได้รับข่าว เหล่าแม่ทัพของตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว และตระกูลฉินอวี้ฉือ ต่างก็พากันเข้าร่วมทีมสายตรวจทันที หลังจากที่เฮ่อเทียนซังรู้ข่าว ในฐานะผู้ถือลูกธนูทองคำ เขาก็รีบเอาภาพวาดไปติดทั่วกวงจงทันที 

 

 

หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยระบายอารมณ์ที่ลานหน้าบ้านเสร็จแล้วเขาก็มาที่ลานหลังบ้าน พึ่งจะพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองก็เห็นต้ายาคุกเข่าอยู่ที่พื้นโคลน ร้องไห้ราวกับแมว เดิมทีตาของนางก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ร้องไห้แบบนี้ต่อไปอาจจะทำให้ตาบอดได้ 

 

 

เขาก้มตัวลงไปดึงต้ายามาไว้ในอ้อมแขน พานางไปนั่งลงบนเก้าอี้และพูดกับนางว่า “ข้ากำลังตามล่าติงเหยี่ยนผิง แค่ชายเฒ่าผู้นั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับซ่านอิง แค่เอาหยกกลับคืนมาได้ก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เรื่องของผู้ชาย เจ้าจะกังวลอะไร กลับไปนอนหลับให้สบายเถิด ตื่นมาก็ไม่มีอะไรแล้ว” 

 

 

ต้ายาที่เอาแต่ก้มหน้าหยิบจดหมายจากอกมาให้พี่อวิ๋นดู จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่ำมากกว่าเดิม 

 

 

อวิ๋นเยี่ยต้องกลั้นขำขณะอ่านจดหมายอำลาของซ่านอิงจนจบ บอกว่าอาจารย์เลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ถึงแม้ว่าอาจารย์ต้องการจะฆ่าตนก็ตาม เขาก็ไม่อาจลืมบุญคุณไปได้ ครั้งนี้เขาต้องช่วยเหลืออาจารย์ แค่พาอาจารย์ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จากนั้นเขาจะกลับมาเอง กลับมาฆ่าตัวตายรับโทษ 

 

 

“ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ได้เลี้ยงเขาให้ออกมาเป็นหมาป่าขี้ขลาดตาขาว ให้ความสำคัญกับความผูกพันเป็นเรื่องที่ดี แต่การหยิบฉวยเอาสมบัติของตระกูลเราไปด้วยก็ออกจะทำเกินไปสักหน่อย ข้าไม่เอาเรื่องเขาได้ แต่ว่าหยกชิ้นนั้นต้องเอากลับคืนมาให้ได้” 

 

 

ต้ายาแกะห่อผ้าเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง ค่อยๆ ผลักไปให้พี่อวิ๋นของนาง อวิ๋นเยี่ยเปิดดู ทันใดนั้นเขาก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในห่อผ้าเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่เขาเอาให้ต้ายาเมื่อสองสามปีนี้ แล้วยังมีของที่ท่านย่า ซินเย่ว น่ารื่อมู่ ท่านอา ท่านป้าเอาให้นาง นางต้องการจะใช้หนี้ให้ซ่านอิง 

 

 

“อะไรกัน สิ่งของพวกนี้ก็เป็นของตระกูลเรา เจ้าคิดจะเอาของของตระกูลเรามาใช้หนี้ให้เจ้านั่นอย่างนั้นหรือ ของพวกนี้เป็นสินสอดทองหมั้นของเจ้า จงเก็บไว้ให้ดี” 

 

 

เมื่อต้ายาเห็นว่าพี่อวิ๋นไม่รับมันไว้นางก็ร้องไห้ออกมาทันที กอดอวิ๋นเยี่ยขอร้องให้เขาปล่อยซ่านอิงไป สองสามปีนี้ความเข้าใจของนางที่มีต่อพี่อวิ๋นก็คือพี่อวิ๋นเป็นผู้ที่ทำได้ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรยากสำหรับพี่อวิ๋นของนาง และในเมื่อพี่อวิ๋นต้องการจะจับซ่านอิงก็แสดงว่าจะต้องตามจับกลับมาได้แน่นอน เมื่อครู่นางยังเห็นเขาส่งทหารออกไปตั้งหลายนาย แต่ละคนหน้าตาดุร้าย หากเกิดอะไรขึ้น ซ่านอิงคงจะไม่รอดแน่ๆ 

 

 

“ท่านพี่ หากเป็นเพียงแค่สมบัติชิ้นเดียว เจ้าก็รับปากต้ายาซะเถิด ตระกูลของเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพย์สมบัติ จะหายไปสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่สำคัญ ถือซะว่าเป็นสินสอดทองหมั้นของต้ายา” 

 

 

ซินเย่วทนดูไม่ได้อีกต่อไป นางขอร้องแทนต้ายาด้วยความระมัดระวัง 

 

 

“หากมันเป็นแค่ของเล่น ข้าจะสนใจหรือ บนหยกนั้นบันทึกเส้นทางของไป๋อวี้จิงเอาไว้ หากมันถูกเผยแพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนตายกี่คน ดังนั้นจึงต้องเอากลับมาให้ได้” 

 

 

ได้ยินท่านพี่พูดแบบนี้ ซินเย่วก็หุบปากทันที เรื่องของไป๋อวี้จิงนางก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง มันเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่หยกธรรมดาๆ 

 

 

“ต้ายา เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะพาซ่านอิงกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน เพียงแต่ว่าหยกชิ้นนั้นก็จะต้องเอากลับมาให้ได้ด้วยเช่นกัน” 

 

 

เมื่อได้ยินพี่อวิ๋นรับปาก ต้ายาถึงได้วางใจ นางรู้ดีว่าหากเป็นแค่สมบัติธรรมดาพี่อวิ๋นไม่มีทางสนใจ เขารักและเอ็นดูนางมากมายขนาดนั้น ไม่มีทางสนใจสมบัติอะไรนั่นแน่นอน นางอดไม่ได้ที่จะแอบด่าซ่านอิงอยู่ในใจ เอาอย่างอื่นไปไม่ได้หรือไง ทำไมต้องเอาหยกชิ้นนั้นไปด้วยเล่า