[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 46 สายตาจับจ้องของพญาเสือ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

“อวิ๋นเยี่ยทำอะไรหาย เหตุใดถึงได้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้” หลี่ซื่อหมินวางพู่กันในมือลงแล้วนวดขมับ ถามต้วนหงที่ยืนอยู่ข้างๆ 

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าอวิ๋นโหวทำหยกหาย ว่ากันว่าหยกนี้เกี่ยวข้องกับไป๋อวี้จิง ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงแทบจะบ้าคลั่ง” 

 

 

ต้วนหงดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น คราวที่แล้วที่ต้องไปตีกับฉิวหรันเค่อจนถึงตอนนี้เขายังคงเจ็บหน้าอกอยู่เลย หลังจากอวิ๋นเยี่ยหลอกใช้ตัวเองและสำเร็จประโยชน์แล้วก็ทิ้งเขาไว้ที่จวนตระกูลหลี่ไม่ได้มาสนใจไยดี ไม่แม้แต่จะหันมามองเลยสักนิด แต่ว่าเขาได้รับกระดาษมาหนึ่งแผ่น มีการเขียนอธิบายไว้ว่าเขาควรจะรับคนประเภทใดมาเป็นลูกศิษย์ แล้วยังบอกอีกว่าจะช่วยดูให้ คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อคำพูดนั้น 

 

 

“ไป๋อวี้จิง? เหตุใดตำนานนี้จึงได้มีการพูดถึงขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องที่คลุมเครือไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมีข้อโต้แย้งกันขึ้นอีกแล้ว” แม้นี่จะเป็นเพียงเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่คำว่าไป๋อวี้จิงสามคำนี้กลับดึงดูดความสนใจของหลี่ซื่อหมินได้สำเร็จ 

 

 

“ฝ่าบาทไม่รู้หรือว่าคราวนี้มีผู้ที่เก่งกล้ามายังฉางอันและบังคับให้อวิ๋นโหวส่งหยกให้เขา ผู้ที่เก่งกล้าคนนี้ฝ่าบาทเองก็รู้จัก เขามีนามว่าติงเหยี่ยนผิง” 

 

 

ได้ยินคำว่าติงเหยี่ยนผิงสามคำนี้ หลี่ซื่อหมินก็ลุกขึ้นในทันที หลังจากเดินไปมาสองก้าวก็ถามขึ้นอีกว่า “อวิ๋นเยี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ตาเฒ่าติงเหยี่ยนผิงยังจะกล้ามาที่ฉางอันอีกหรือ” 

 

 

ไม่ต้องถามหลี่ซื่อหมินก็รู้ว่าครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยโชคร้ายแน่นอน ติงเหยี่ยนผิงเป็นที่รู้จักในนามแม่ทัพปืนคู่ ศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงไม่มีใครเทียบได้ ฉายาหลัวสือซิ่นตกเป็นของคนผู้นี้ อวิ๋นเยี่ยไม่มีทางเอาเปรียบเขาได้เลย 

 

 

“ฝ่าบาทคิดผิดแล้ว อวิ๋นเยี่ยได้รับบาดเจ็บทว่าไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะสายตรวจหยุดไว้ ติงเหยี่ยนผิงคงถูกอวิ๋นเยี่ยฆ่าตายไปนานแล้ว อวิ๋นเยี่ยยังจับติงเหยี่ยนผิงได้ทั้งเป็น น่าเสียดายหลังจากที่ติงเหยี่ยนผิงถูกย้ายไปเรือนจำก็ได้รับการช่วยเหลือจากลูกสมุนของเขา ว่ากันว่ายังได้ขโมยหยกของอวิ๋นโหวไปอีกด้วย” 

 

 

หลี่ซื่อหมินถอนหายใจ กัดฟันแล้วถามต้วนหงว่า “เจ้าบอกว่าอวิ๋นเยี่ยจับติงเหยี่ยนผิงได้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ใช่แล้วฝ่าบาท ขาทั้งสองข้างของติงเยี่ยนผิงใช้การไม่ได้แล้ว แทบจะมีสภาพไม่เป็นผู้เป็นคน สายตรวจบอกว่าตอนนั้นอวิ๋นโหวโกรธที่ติงเหยี่ยนผิงทำร้ายคนรับใช้และแม่ทัพของเขา ดังนั้นจึงได้ระเบิดลง” 

 

 

“ฮ่าๆๆ คนที่ไม่ต่างกับกระต่ายก็รู้จักแยกเขี้ยวบ้างแล้ว ดูแล้วกระต่ายน้อยตัวนี้ได้เติบโตเป็นกระต่ายตัวใหญ่เสียแล้ว ในเมื่อติงเหยี่ยนผิงกลายเป็นคนพิการก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่ว่าเราอยากรู้เกี่ยวกับไป๋อวี้จิงเป็นอย่างมาก หยกชิ้นนั้นฮองเฮาก็เคยเห็น รัชทายาทเองก็เคยเห็น ชิงเชวี่ยก็เคยเอามาเล่น แต่เจ้านั่นกลับไม่ยอมให้เราดู รู้ว่าเขากลัวว่าเราจะหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ที่ทำให้อายุยืนจนเป็นภัยต่อประเทศ หรือว่าเจตจำนงของเราไม่มั่นคงพอขนาดนั้นเชียวหรือ กล้าดูถูกเรา ช่างสมควรตาย ต้วนหง ของเซ่นไหว้ในวังเหล่านั้นได้เวลาจัดการแล้ว อวิ๋นเยี่ยทำหยกหายไป ดีเลย เมื่อเราหากลับมาได้ก็ต้องเป็นของเรา เมื่อถึงตอนนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ ดูสิว่ามันจะทำให้เราหมกมุ่นได้หรือไม่” 

 

 

ต้วนหงเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้า ฮองเฮาเคยบอกไว้นานแล้วว่าไม่อนุญาตให้พูดถึงไป๋อวี้จิงต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ว่าวันนี้ฝ่าบาทถามขึ้น ไม่ตอบก็ไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตอนเขาไปศาลเจ้าที่วังหลังจึงเดินอ้อมไปเพื่อหลีกเลี่ยงตำหนักเหลี่ยงอี๋ที่ฮองเฮาประทับอยู่ 

 

 

ข่าวลือจากเจียงหูบอกว่าตำหนักของเหล่าเซียนได้ถูกค้นพบแล้ว หากต้องการขอพรให้อายุยืนก็ต้องไปที่ไป๋อวี๋จิงก่อน ส่วนเส้นทางไปยังไป๋อวี้จิงนั้นถูกสลักอยู่บนหยก ขอเพียงแค่เข้าใจความลับของหยกนี้ก็จะพบวิธีที่ถูกต้องในการไปสู่ไป๋อวิ๋จิง หยกนี้เดิมทีถูกครอบครองโดยอวิ๋นเยี่ยหรือท่านโหวเขตหลานเถียน แต่ไม่ทันระวังถูกติงเหยี่ยนผิงขโมยไป ตอนนี้ได้อาศัยอยู่ที่เจียงหู ความสุขจะมีแก่ผู้มีอำนาจที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนอนกินองุ่นอยู่บนเก้าอี้ ได้ยินรายงานจากหลิวจิ้นเป่าก็หัวเราะจนตัวงอ แต่ว่าบนใบหน้ายังคงมีความวิตกกังวลอยู่ โบกมือไล่หลิวจิ้นเป่าออกไป ตัวเองถอนหายใจแล้วพูดกับจั่งซุนชงที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “ของสิ่งนั้นเจ้าก็เคยเห็น ก็ไม่ใช่หยกที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ความสำคัญนั้นไม่น้อยเลย ตอนนี้ทำให้โลกวุ่นวายไปหมด เจ้าว่าควรจะทำอย่างไรดี” 

 

 

“สำหรับข้าแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี เจ้ามีของสิ่งนั้นอยู่ในมือมาหลายปีก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนนี้ฉางอันมีแต่ความวุ่นวาย ทุกที่มีแต่คนตาย แต่ว่าพระภิกษุกับนักบวชลัทธิเต๋าเลิกทะเลาะกันแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเป้าหมายจึงไม่ทะเลาะกันเองแล้ว แต่กลับส่งสายตาจับจ้องไปที่หยกของเจ้า เจ้าดูไม่ออกหรือว่าฉางอันเงียบสงบมากขึ้น หยกชิ้นนั้นเป็นทางออกให้กับทุกคนรวมถึงฝ่าบาทด้วย มิเช่นนั้นจะเป็นความอัปยศของต้าถังที่ถูกเอาเปรียบโดยลัทธิบูชาไฟและนักบวชลัทธิปีศาจ จึงเป็นการดีมากที่ตอนนี้ทุกคนต่างพากันไปตามหาหยก เสด็จพ่อข้าบอกว่าตระกูลเราก็ส่งคนไปตามหาแล้วเช่นกัน แต่ว่าหากหาเจอเจ้าก็อย่าคิดว่าจะเอากลับคืนไปได้เลย นี่คือคำพูดของเสด็จพ่อที่บอกให้ข้ามาบอกเจ้าด้วยตัวเอง” 

 

 

“ไม่ว่าสุดท้ายใครจะเป็นคนหาเจอก็ไม่มีใครคืนให้ข้าทั้งนั้น ข้าเข้าใจดี ตอนนี้ข้าจะถือว่าของสิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อน ใครหาเจอก็เป็นของคนนั้น คนของตระกูลอวิ๋นมีกำลังน้อย ไม่ออกตามหาแล้ว เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเสียกำลังคนโดยใช่เหตุ และหากพวกเจ้าได้หยกไปข้าก็จะยอมรับ แต่ว่าพวกเจ้าต้องพาซ่านอิงกลับมาให้ข้าด้วย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ากลับคำ” 

 

 

ในเวลานี้เป็นการเจรจาของตระกูลอวิ๋นและตระกูลจั่งซุน ไม่ใช่การเจรจาระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับจั่งซุนชง พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาจะไม่ยอมง่ายๆ ในเรื่องผลประโยชน์ของกันและกัน ซึ่งจะไม่มีการออมมือโดยเด็ดขาด 

 

 

จั่งซุนชงพยักหน้าแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ทำร้ายซ่านอิง ส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าก็ไม่ได้สนใจ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่” จั่งซุนชงต้องการจะยืนยันความหมายในคำพูดของอวิ๋นเยี่ย 

 

 

“ใช่แล้ว เอาตามนี้ พวกเจ้าอยากได้หยกก็เอาหยกไป แต่ว่าเห็นแก่ความเป็นสหายของเจ้าและข้า อย่าได้ทำร้ายซ่านอิง ต้ายาร้องไห้มาหลายวันแล้ว” 

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเองก็รักต้ายาเหมือนน้องสาวเช่นกัน จะไม่มีวันให้นางสูญเสียสามีในอนาคตแน่นอน” พูดจบก็ยกมือคำนับแล้วเดินจากไป 

 

 

อวิ๋นเยี่ยได้ต้อนรับแขกอย่างจั่งซุนชงมาเจ็ดแปดรอบแล้วในวันนี้ ทุกคนมาเพื่อบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่าเมื่อหาหยกได้ก็จะไม่คืนให้แล้ว อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่อยากได้กลับคืนมา ขอเพียงแค่อย่าทำร้ายซ่านอิงก็พอ 

 

 

ต้ายาเดินออกมาจากห้องโถงด้านหลัง นั่งกอดเข่าอวิ๋นเยี่ยเหมือนแมวน้อยไม่ได้พูดอะไรสักคำ นางไม่กล้าจินตนาการว่าตอนนี้ซ่านอิงต้องเผชิญกับความน่ากลัวแบบไหน คนเกือบทั้งโลกกำลังตามหาเขาและติงเหยี่ยนผิง ได้แต่หวังว่าคำสัญญาของพี่อวิ๋นจะเป็นจริงตามนั้น 

 

 

ขณะที่ซ่านอิงหันกลับไปมองกำแพงเมืองถงกวนอันสูงใหญ่ทางด้านหลัง นึกอยากจะแบกอาจารย์ไว้ข้างหลังแล้วเดินทางต่อ ตลอดทางที่ผ่านมานี้เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าต่อสู้มาแล้วทั้งหมดกี่ครั้ง ศัตรูเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน 

 

 

หากมีแค่ตัวเองเพียงคนเดียวก็คงจะไม่ยุ่งยาก เข้าไปในป่าบนภูเขา เขาเชื่อว่าต่อให้ศัตรูมากขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเองก็จะหนีไปได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ต้องดูแลอาจารย์ด้วยจึงทำได้เพียงเดินไปตามถนนใหญ่เท่านั้น อาจารย์บอกว่าขอเพียงแค่ไปถึงที่แม่น้ำฮวงโหก็จะปลอดภัย และตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นแม่น้ำฮวงโหแล้ว 

 

 

เขาไม่สนใจความเจ็บปวดทางกาย เพียงแค่นึกในใจว่าอวิ๋นเยี่ยซึ่งปฏิบัติต่อตนเองเหมือนญาติพี่น้องแล้วยังเตรียมยกน้องสาวสุดที่รักให้กับตัวเอง แต่สิ่งที่ตอบแทนอีกฝ่ายกับเป็นการขโมยสมบัติของเขาไป ช่วยศัตรูของเขาอีก แค่คิดก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องโหดร้ายที่เกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือจากตัวเอง รู้สึกเหมือนว่ายามนี้ต้ายาคงกำลังร้องไห้มองดูเขาจากด้านหลัง มันทำให้เขาปวดใจเหมือนโดนมีดกรีด 

 

 

รอมาสักพักก็ไม่เห็นว่าอาจารย์จะปีนขึ้นหลังตัวเอง แต่ทว่าเขากลับรู้สึกมีอาการชาที่ซี่โครง จนล้มลงไปนอนบนโคลนและไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้เพียงมองดูอาจารย์ที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

ติงเหยี่ยนผิงยืนอย่างมั่นคง มีท่อนไม้มัดไว้กับขาข้างที่หัก ขาอีกข้างที่เขาคิดว่าใช้การไม่ได้แล้วกลับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ตัวเองยังแบกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถแม้แต่ยืนขึ้นเองได้ เหตุใดตอนนี้จึงยืนได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ 

 

 

“เสี่ยวอิงลูกศิษย์ข้า เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ดี แบกอาจารย์วิ่งไปถึงสามร้อยลี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตลอดทางมานี้เห็นว่าทักษะการใช้ดาบของเจ้าพัฒนาขึ้นมาก ในฐานะอาจารย์ข้ารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ตอนนี้เจ้าต้องช่วยข้าหนึ่งเรื่องก็คือนอนรอความตายอยู่ที่นี่ รอให้ทหารที่ไล่ล่าพวกนั้นมาจับเจ้าไปสอบปากคำ อาจารย์จะได้มีเวลาหนีมากขึ้น อาจารย์ต้องการจะหายไปจากโลกใบนี้สักพัก” 

 

 

เมื่อติงเหยี่ยนผิงพูดจบกำลังจะเดินจากไปก็ได้ยินซ่านอิงถามเขาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ทำไม ท่านไม่กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะจับตัวภรรยาและลูกๆ ของท่านเพื่อระบายความโกรธแล้วหรือ” 

 

 

ติงเหยี่ยนผิงหยุดเดินแล้วหันกลับมาพูดกับซ่านอิงว่า “เสี่ยวอิง เจ้าไม่เคยได้รับรู้ความเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าชีวิตนั้นมีค่าแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยเป็นปีศาจที่อยู่เหนือปีศาจ เขาชอบเล่นกับจิตใจของคนมากที่สุด ในวินาทีที่ข้ากำลังจะตายข้าก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเมื่อไม่มีผู้หญิงแล้วก็หาใหม่ได้ เมื่อไม่มีลูกชายแล้วก็คลอดใหม่ได้ ตราบใดที่ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าแย่งโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปของอวิ๋นเยี่ยมา การให้ภรรยาและลูกชายเป็นที่ระบายความโกรธของเขานั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว” 

 

 

เมื่อพูดประโยคนี้จบติงเหยี่ยนผิงก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่ามาแต่ไกล เขาย่อตัวลงแล้วมุดเข้าไปในโพรงหญ้าก่อนจะหายไปจากสายตา 

 

 

ซ่านอิงน้ำตาไหล ตัวเองถูกพ่อทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากกับแม่ การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของติงเหยี่ยนผิงได้สะท้อนภาพลวงตาทั้งหมดเกี่ยวกับพ่อของเขา บวกกับพี่ใหญ่อย่างอวิ๋นเยี่ยและคนรู้ใจอย่างต้ายาทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ขาดอะไรเลย แต่ว่าในนาทีนี้เขากลับรู้สึกหมดหนทางเป็นอย่างมาก ติงเหยี่ยนผิงแทงหนามไม้เล็กๆ ใต้ซีกโครงของเขา หนามไม้นี้ทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ แม้แต่จะอ้าปากยังยากลำบาก 

 

 

เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ใกล้จะมาถึง ซ่านอิงหลับตาลงพยายามอย่างหนักที่จะจดจำทุกอย่างที่ตัวเองและต้ายาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน 

 

 

“ต้ายา ท่านพี่ของเจ้าชอบกินไส้หมู พรุ่งนี้ข้าจะเอาไส้หมูมาสู่ขอเจ้า หากไม่พอเงินเดือนข้าหนึ่งปีนี้ก็ยกให้เขาทั้งหมด…” 

 

 

“เจ้าอย่ากลัวไปเลย ข้าจะอยู่บนต้นไม้คอยดูแลเจ้าทั้งคืน รีบไปนอนเถิด…” 

 

 

“ท่านพี่จอมงกของเจ้านั่นแหละที่บังคับข้า มิเช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเป็นขโมยหรอก ข้าชอบเป็นโจรป่ามากกว่า” 

 

 

เมื่อนึกถึงต้ายาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซ่านอิง เด็กสาวที่บอบบางเหมือนกับดอกไลแลค ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องอีกแล้ว แต่ว่านางยังมีพี่ชายที่หัวแข็ง นางคงจะมีความสุขไปตลอดชีวิตได้ 

 

 

“ตายหรือยัง หากยังไม่ตายก็ลุกขึ้นมา!” ได้ยินเสียงแหบๆ ดังขึ้น ซ่านอิงลืมตาขึ้นมา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าใบหน้าอันเ**่ยวย่นของอู๋เสอจะดูเป็นมิตรและเป็นกันเองเช่นนี้